หลังจี้เจียงหยวนขอลาหยุด จากนั้นหนิงเสวี่ยก็หยุดตามไปด้วย
วันที่สองจี้เจียงหยวนยังคงลาหยุด หนิงเสวี่ยก็ขอลากลับบ้านเช่นกัน
ข้อสงสัยของเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
เธออยากถามทังหงเอินมากว่า อดีตภรรยาของเขาเป็คนแบบไหน เนื่องจากทังหงเอินน่าจะคือคนที่รู้ดีที่สุด
แต่พอฉุกคิดได้ว่าทังหงเอินเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดได้ไม่นาน อาการป่วยที่กระเพาะอาหารไม่ควรได้รับกระตุ้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอดทนเก็บเื่นี้ไว้ ไม่บอกทังหงเอินเป็การชั่วคราว
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างกะทันหันติดต่อกันสองวัน ทำให้ภาคเหนืออากาศหนาวยิ่งกว่าเดิม ชาวหยางเฉิงอย่างโจวลี่ิ่ ปัจจุบันนอกจากไปเข้าเรียนแล้ว เธอแทบไม่ก้าวเท้าออกจากประตูห้องพักแม้แต่ก้าวเดียว
อาหารก็ฝากหยางหย่งหงช่วยซื้อให้ ในหอพักใครว่างมักจะผลัดกันซื้อข้าวให้เธอ
ก่อนเสื้อขนเป็ดแบบยาวถูกส่งมาถึงมือของโจวลี่ิ่ เธอยืนกรานว่าตนไม่อาจต้านทานลมหนาวสุดเืเย็นของภาคเหนือได้
หิมะแรกของปักกิ่งประจำปีนี้มาเยือนแล้ว
คังเหว่ยก็กลับมาจากเผิงเฉิงแล้วเช่นกัน เขานำข่าวเื่สภาพธุรกิจของ ‘อันเจียวัสดุ’ รวมถึง ‘แผนธุรกิจ’ ที่เฉินซีเหลียงเป็คนทำขึ้นกลับมาด้วย
“งานที่ร้านได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้หลิวเทียนเฉวียนแนะนำงานให้กับทางร้านอยู่บ้าง ทว่าพอแตกหักกับลุงหลิว เทียนเฉินจึงไม่สั่งสินค้าจากร้านเราอีก ดังนั้นการที่ยอดขายลดลงจึงเป็เื่ปกติ แต่ผลกระทบไม่มากนัก หลังหลิวเทียนเฉวียนถูกเรียกตัวกลับฮ่องกง กลับมาเผิงเฉิงคราวนี้ เขามาพร้อมกับลูกชายเ้าของเครือเชิงหรงของฮ่องกง”
ลูกชายเ้าของเครือเชิงหรง คังเหว่ยไม่ได้ใส่ใจเท่าไร แถมยังแอบดีใจอีกด้วย
พานซานบอกแล้วว่า ภายในตระกูลตู้นั้นวุ่นวายมาก หลิวเทียนเฉวียนเป็พี่ชายเมียน้อยของตู้เชิงหรง แต่ลูกชายเ้าของคนที่ว่าคือลูกชายของเมียหลวง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็ศัตรูกัน คุณชายใหญ่ตู้มาที่เผิงเฉิงแบบนี้ หลิวเทียนเฉวียนคงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม เมื่อเป็เช่นนั้นเขายังจะว่างมาหาเื่หลิวหย่งอีกหรือ
คุณชายใหญ่ตู้เองก็คงเจรจาแต่ธุรกิจใหญ่ๆ ไม่มีเวลามาสนใจร้านขายวัสดุเล็กๆ อย่างแน่นอน
ตอนนี้เผิงเฉิงมีโครงการก่อสร้างอยู่ทุกหนทุกแห่ง เซี่ยเสี่ยวหลานเคยบอกไว้ ไม่มีลูกค้าที่เราหาไม่ได้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับวิธีหาลูกค้าว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อมีตลาดก็เท่ากับมีโอกาส อย่างไรย่อมมีคนซื้อวัสดุก่อสร้างอย่างแน่นอน แม้โคมไฟคริสตัลราคาแพงจะขายออกยาก แต่โคมไฟราคาถูกจะขายไม่ได้เชียวหรือ? เก็บเล็กผสมน้อย ขายั้แ่สีทาผนังยันพื้นกระเบื้อง ไม่ว่าสินค้าชนิดใดก็สามารถทำเงินได้ทั้งสิ้น
แม้หลิวเทียนเฉวียนจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา แต่ตลาดตกแต่งภายในหาได้ถูก ‘เทียนเฉิน’ ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวไม่ เมื่อไม่มีการเอื้อเฟื้อจาก ‘เทียนเฉิน’ เป็ครั้งคราวเช่นนี้ คังเหว่ยกับไป๋เจินจูกลับยิ่งกระตือรือร้นในการออกไปหาลูกค้าด้วยตนเอง ธุรกิจที่ร้านได้รับผลกระทบแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แต่หลังได้ยอดสั่งสินค้าใหม่มา แนวโน้มที่ร้านจะไปได้สวยกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
คังเหว่ยตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่าตนเป็คนมีงานมีการต้องทำที่ปักกิ่ง เขาไม่อยากออกจากเผิงเฉิงแม้แต่น้อย เพราะทุกครั้งที่ได้คำสั่งซื้อใหม่มา ความรู้สึกภาคภูมิใจนั้นยากจะสรรหาคำมาอธิบายออกมาได้
“ตลาดของเผิงเฉิงใหญ่มาก มีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามาทุกวัน ร้านขายวัสดุตกแต่งภายในอื่นขายสินค้าอย่างกระจัดกระจาย แทบไม่มีร้านไหนที่ขายครบครันเหมือน ‘อันเจีย’ ดูจากแนวโน้มตอนนี้ ฉันคิดว่าอีกสักครึ่งปีก็คงทำกำไรได้แล้วล่ะ!”
จากการคาดการณ์ของคังเหว่ย ระยะเวลาสั้นลงทุกครั้ง
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็เช่นกัน ตอนแรกเธอคาดว่าคงต้องลงเงินกับร้านวัสดุอย่างน้อยสักสองปี
เปิดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม อีกครึ่งปีก็จะสามารถทำกำไรได้? เท่ากับว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานหวังว่าสถานการณ์จะเป็ไปอย่างที่คังเหว่ยคาดการณ์ไว้จริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานอ่าน ‘แผนธุรกิจ’ ของเฉินซีเหลียงอย่างละเอียด รูปแบบการเขียนย่อมไม่เป็ไปตามมาตรฐาน แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ให้ความสำคัญเื่นี้ สิ่งที่เธอสนใจคือเนื้อหา เฉิงซีเหลียงใช้เวลานานขนาดนี้ ในที่สุดก็เรียบเรียงความคิดของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน เขาทำธุรกิจขายเสื้อผ้าสตรีอยู่ และคิดว่าการขายเสื้อผ้าสตรีนั้นทำกำไรได้ดีที่สุด
เสื้อผ้าสำหรับสาววัยรุ่นเวลานี้ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากเด็กสาววัยสิบกว่าปีที่พอมีเงินจับจ่ายใช้สอย ส่วนใหญ่ยังคงเรียนหนังสืออยู่
เงินค่าขนมได้เท่าไร มากพอจะซื้อเสื้อผ้าสักชุดหรือเปล่า?
พ่อแม่ยุค 80 ไม่ค่อยใส่ใจเื่การแต่งกายของลูกหลาน อีกทั้งในบ้านก็ไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว แล้วจะแต่งตัวให้สวยไปทำไมกัน? สนใจแต่เื่แต่งตัวรังแต่จะทำให้เสียสมาธิเื่การเรียน ความคิดแบบนี้จะยังคงเป็ค่านิยมของสังคมไปอีกนาน
กลุ่มเป้าหมายของเฉินซีเหลียงตรงกับกลุ่มลูกค้าของหลานเฟิ่งหวง
สุภาพสตรีวัย 20-35 ปี คือผู้หญิงโสดที่เพิ่งเริ่มทำงาน ผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงาน ผู้หญิงที่แต่งงานมาแล้วไม่เกิน 15 ปี พวกเขาเหล่านี้คือบุคคลที่ใส่ใจเื่การแต่งกายมากที่สุด ่อายุยี่สิบไม่จำเป็ต้องกังวลเื่ครอบครัว เงินเดือนอาจจะไม่เยอะนัก ทว่าการหาเงินสักสองเดือนเพื่อซื้อชุดสวยๆ สักชุด จะทำให้พวกเธอรู้สึกไม่เสียดายวัยสาว ส่วนคนที่แต่งงานแล้วและมีฐานะดีมักอยากปกป้องชีวิตแต่งงานเอาไว้ แถมยังรักสวยรักงาม อีกทั้งผู้หญิงวัยนี้ยังเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น ส่วนผู้หญิงที่อายุมากกว่านั้นหน่อย อาจจะมีฐานะทางการเงินที่ดีกว่า แต่คนกลุ่มนี้เวลาซื้อเสื้อผ้าไม่ได้ดูที่รูปแบบอีกต่อไป พวกเธอจะให้ความสำคัญกับเื่ของคุณภาพ
สตรีวัย 40 ปีขึ้นไป มักจะเลือกเสื้อผ้าแนวสุขุม และไม่มีข้อผิดพลาด
พวกเธอ้าซื้อเสื้อผ้าดีๆ สักชุดที่สามารถใส่ได้ไปอีกนานหลายปี
สิ่งที่เฉินซีเหลียง้าคือกลุ่มลูกค้าที่เปี่ยมไปด้วย ‘พลังซื้อ’ เห็นเสื้อผ้าแบบใหม่ก็อยากได้ ยอมที่จะอดกินอาหารดีๆ เก็บออมเงินมาเพื่อซื้อเครื่องแต่งกาย
ส่วนการขายเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายนั้นจำเป็ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อเปิดตลาด
ดังนั้นตอนนี้ควรจับตลาดที่ทำเงินได้มากที่สุดไว้ก่อน
เขาไม่อยากจับตลาดหมู่บ้านรอบตัวเมือง คนชนบทสมัยนี้ไม่มีเงินให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย และแน่นอนว่าคนในหมู่บ้านเล็กๆ ทำใจใช้เงินลำบาก หากหลานเฟิ่งหวงเปิดร้านที่อันชิ่ง กิจการจะไปได้สวยเหมือนที่ซางดูหรือ?
เฉินซีเหลียง้าตีตลาดในเมืองใหญ่ เขาเลือกมาแล้วสามเมืองคือ ปักกิ่ง หยางเฉิง และเซี่ยงไฮ้
เปิดหน้าร้านของแบรนด์ก่อนสามที่ จากนั้นค่อยพยายามนำสินค้าเข้าไปวางขายตามห้างสรรพสินค้าในแต่ละพื้นที่
เมืองแรกที่เฉิงซีเหลียงเลือกคือปักกิ่ง เห็นได้ชัดว่าสาเหตุที่เขาเลือกที่นี่เพราะหลายปีต่อจากนี้เซี่ยเสี่ยวหลานคงอยู่ที่ปักกิ่งอย่างแน่นอน เถ้าแก่เฉินผู้นี้ช่างเ้าเล่ห์เหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเฉินซีเหลียงได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน แม้แต่ชื่อแบรนด์ก็คิดไว้แล้วเสร็จสรรพว่าจะให้ใช้ชื่อ ‘露娜 (ลู่น่า)’ แน่นอนว่าคงไม่เขียนเป็ภาษาจีน เฉิงซีเหลียงคิดว่าควรเขียนว่า ‘Luna’ พวกลูกค้าน่าจะชอบมากกว่า เื่นี้ช่วยไม่ได้ เพราะปัจจุบันสินค้านำเข้ากำลังเป็ที่นิยม ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้ชื่อภาษาอังกฤษ ย่อมมีอำนาจทางการแข่งขันมากกว่าการใช้ชื่อภาษาจีน
ผู้บริโภคมองแวบแรกแล้วจะคิดว่า นี่คือสินค้าจากแบรนด์ต่างประเทศ
คำว่า Luna มีต้นกำเนิดมาจากภาษาละติน โดยความหมายคือ ‘เทพธิดาแห่งดวงจันทร์’ เหมาะจะเป็ชื่อแบรนด์เสื้อผ้าสตรีเป็ที่สุด
ธุรกิจเสื้อผ้าของเถ้าแก่เฉินในชาติก่อนไม่ใช่แบรนด์ ‘Luna’ แต่เป็ชื่อที่มีกลิ่นอายของประเทศบ้านเกิดเหมือนกับ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ชาตินี้หลังถูกเธอเป่าหูบ่อยครั้งเข้า หลายๆ สิ่งก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นตามคาด
แผนธุรกิจของเถ้าแก่เฉินพอจะผ่านเกณฑ์ได้อย่างเฉียดฉิว แผนธุรกิจนี้ไม่ได้มีไว้ให้เซี่ยเสี่ยวหลานตรวจสอบ แต่มันคือความคิดของเฉินซีเหลียงที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วนั่นเอง
เวลาแบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่เธอจะคุยกับเฉินซีเหลียงเสียที
เฉินซีเหลียงเสนอให้ลงทุน 400,000 หยวน เขากับเซี่ยเสี่ยวหลานลงขันกันคนละ 200,000 หยวน… ชัดเจนว่าเถ้าแก่เฉินไม่รู้เลย ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานใช้เงินซื้อเรือนสี่ประสานไปแล้ว เงิน 200,000 หยวนคงเป็ราคาที่เขาประเมินจากคุณค่าในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานออกมาคร่าวๆ และคิดว่าน่าจะเป็เงินที่เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถนำออกมาใช้ได้
น่าเสียดายที่แค่หนึ่งในห้าของเงินก้อนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยังไม่มีให้!
เงินของโจวเฉิงยังคงฝากไว้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานส่งโทรเลขไปหาเฉินซีเหลียง บอกให้เขามาคุยกันที่ปักกิ่ง หลังได้รับโทรเลขเถ้าแก่เฉินก็รู้สึกดีใจเหลือเกิน
เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานได้เจอกับจี้เจียงหยวนอีกครั้ง ก็พบว่าเขาผอมลงไปมาก และที่แขนซ้ายก็มีผ้าตาข่ายสีดำผูกไว้อยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานอ้าปากเล็กน้อย เธอทำได้เพียงพูดออกไปว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”
เวลาแบบนี้จะให้เธอฟ้องเขาได้อย่างไรเล่า?!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้