สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดที่จะทำมาโดยตลอดคือการขายปลีก
เพราะตลอดยุค 80 สิ่งที่ทำเงินได้มากที่สุดในธุรกิจเสื้อผ้าหาใช่การผลิต แต่เป็การค้าปลีก มหาเศรษฐีหลายคนของยุค 90 ล้วนสร้างเนื้อสร้างตัวจากการเปิดแผงค้าขาย และเสื้อผ้าก็เป็ตัวเลือกหนึ่งของการเปิดแผงขายของที่ง่ายที่สุด
ที่เซี่ยเสี่ยวหลานจดทะเบียนตราสินค้าให้กับ “หลานเฟิ่งหวง” ก่อนหน้านี้ ก็เพราะอยากเชื่อมห่วงโซ่ธุรกิจค้าปลีกไว้ด้วยกัน แผนการต่อไปของเธอคือการเปิดร้าน ‘หลานเฟิ่งหวง’ อีกหนึ่งสาขาที่ปักกิ่ง และชวนหลิวเฟินมาช่วยดูแล
ให้ซางตูและปักกิ่งเป็ศูนย์กลางสองแห่ง และค่อยๆ แผ่รัศมีออกไปโดยรอบ
หาก้าเปิดสาขาทุกเมืองมณฑลทั่วทั้งประเทศ เงินทุนของเซี่ยเสี่ยวหลานคงแบกรับไม่ไหวอย่างแน่นอน ในยุค 80 ที่การโทรคมนาคมยังไม่สะดวกสบาย การบริหารจัดการจึงเป็เื่ยากยิ่งนัก สิ่งที่เธออยากทำคือค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป ให้ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เริ่มจากการเป็ร้านค้าปลีก จากนั้นค่อยทำป้ายแบรนด์ของตัวเอง... ซึ่งก็คือการรับเสื้อผ้าค้าส่งมาจากแหล่งอื่น จากนั้นก็หาโรงงานติดป้ายแบรนด์สินค้าของตนลงไปก็เป็อันเสร็จสิ้น
คนที่ทำธุรกิจลักษณะนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีทีมออกแบบของตัวเอง เพียงรับผิดชอบดูแลร้านค้าปลีกสาขาย่อยเท่านั้น หากเปิดกิจการค้าปลีกปลายน้ำแบบนี้ สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานคือต้องเลือกทำเลที่ดี ตึกของย่าอวี๋ที่มีปัญหาด้านกรรมสิทธิ์กับโรงงานผลิตฝ้ายที่สามของรัฐบาล ซึ่งก็คือหน้าร้านของหลานเฟิ่งหวงในปัจจุบัน อนาคตเซี่ยเสี่ยวหลานก็ตั้งใจว่าจะซื้อมาเป็ของตัวเอง
คนที่ทำธุรกิจแบบจับต้องได้ อีกสามสิบปีข้างหน้า กำไรสุทธิประจำปีของบริษัทมหาชนยังเทียบกับราคาอสังหาริมทรัพย์หนึ่งแห่งในเมืองชั้นหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลาน้าทำธุรกิจ ทว่าขณะเดียวกันเธอก็ไม่อยากทิ้งเื่การถือครองอสังหาริมทรัพย์ และเดิมทีเธอตั้งใจแล้วว่าจะซื้ออสังหาเตรียมเอาไว้
อยู่ๆ เฉินซีเหลียงก็ผุดไอเดียขึ้นมาอย่างกะทันหันว่าอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง แม้ข้อเสนอนี้จะกะทันหันไปบ้าง แต่พอเซี่ยเสี่ยวหลานมาคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ที่จริงมันก็ไม่ได้ยากอะไร ตอนนี้การแข่งขันของธุรกิจเสื้อผ้ายังไม่ดุเดือดนัก ทว่าในปี 1984 ใครบ้างจะอยากทำแบรนด์สินค้าของตัวเอง?
ใช้การอัดโฆษณาถี่ๆ เป็การเปิดตัว ก็สามารถทำแบรนด์เสื้อผ้าให้ติดตลาดได้อย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ติดใจในความสามารถของเฉินซีเหลียงสักนิด สหายเฉินซีเหลียงในฐานะ ‘ผู้บุกเบิก’ ยังขาดแค่ประสบการณ์เท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงมักให้คำแนะนำกับเขาอยู่เสมอ ต่างจากชาติก่อนที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้อนาคต ก่อนเข้าสู่ยุคมิลเลเนียมเธอยังเป็เพียงพนักงานขายที่ยุ่งอยู่กับการขยายตลาด ดังนั้นเถ้าแก่เฉินผู้มีทรัพย์สินเกินร้อยล้านย่อมไม่แยแสพนักงานขายตัวเล็กๆ อย่างเธอแน่นอน
สิ่งที่ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานลังเลคือพลังกายและเงินทุนของตัวเอง เธอจะสามารถร่วมทุนกับเฉินซีเหลียงได้หรือไม่
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าขอเวลาคิด ดังนั้นเฉินซีเหลียงร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ โชคดีที่เขาจัดการปัญหาเื่เสื้อกันหนาวขนแกะได้แล้ว เฉินซีเหลียงจึงสามารถอยู่ปักกิ่งต่อได้อีกสองวัน ่นี้เขาฝากกิจการค้าส่งให้เพื่อนช่วยดูแล แต่อย่างไรเพื่อนก็คงไม่ขยันขันแข็งเท่าเขาอยู่ดี ห่วงธุรกิจก็ห่วง แต่ก็ต้องรอคำตอบจากเซี่ยเสี่ยวหลานน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานออกทุนได้มากน้อยแค่ไหน? ร้านวัสดุก่อสร้างคงทำกำไรไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน รายได้ที่มั่นคงในแต่ละเดือนมีแค่ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เท่านั้น เมื่อรวมกับเงินที่เธอมีอยู่อีกแสนกว่าหยวน ก็เป็เงิน 1,630,000 หยวน ซื้อพันธบัตรรัฐบาล 6,000 หยวน ซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด 15,000 หยวน และต้องคืนเงินให้กับโจวเฉิงอีก 20,000 หยวน หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงเหลือเพียง 122,000 หยวน
จะซื้อบ้านอย่างไรก็ต้องใช้เงินหลายหมื่น แต่เงินที่เอาออกมาใช้ได้มีแค่ไม่กี่หมื่นหยวนเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปฏิเสธเฉินซีเหลียงในทันที เพราะคิดถึงสิ่งที่โจวเฉิงเขียนไว้ในจดหมายว่า การค้าบุหรี่ที่ยุติบทบาทลงไปนั้นได้เงินมาก้อนใหญ่และเงินจำนวนนี้ยังว่างอยู่ เขาถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่ามีคำแนะนำอะไรหรือไม่
ถ้าเธอไม่ร่วมมือกับเฉินซีเหลียง แต่ขอเงินก้อนนี้จากโจวเฉิงเพื่อนำมาลงทุนแทนเขาจะได้หรือไม่?
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เื่ผิด แต่คงไม่สามารถนำเงินทั้งหมดมาลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ที่ปักกิ่งเพียงอย่างเดียวได้ หลายปีที่รอให้มูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น โจวเฉิงก็ต้องลำบากพึ่งเงินเดือนเพียงอย่างเดียวในการดำรงชีวิต เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าเธอควรหาทางที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
อีกอย่างเงินลงทุนของโจวเฉิง เวลาเฉินซีเหลียงตัดสินใจอะไรคงต้องระมัดระวังมาก
โจวเฉิงกับเฉินซีเหลียงไม่เคยรู้จักกัน และแม้โจวเฉิงจะไม่เคยเบ่งอำนาจข่มใคร แต่เถ้าแก่เฉินก็ยังคงรู้สึกเกรงใจอยู่ดี!
เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจว่าวันอาทิตย์นี้เธอจะไปที่หน่วยเพื่อปรึกษากับโจวเฉิง
เื่ครั้งก่อนผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ไปเยี่ยมโจวเฉิงที่หน่วยอีกเลย ทว่าจะหลบเลี่ยงไปตลอดคงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากันสักวันอยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจแล้ว่เวลาที่ตกต่ำที่สุดตลอดสองปีนี้ เธอจะสู้ไปกับโจวเฉิง
—----------------------------------
บ่ายวันศุกร์ ผู้จัดการใหญ่อู่ให้คำตอบกลับมาแล้ว
หลายวันมานี้ ผู้จัดการใหญ๋อู่ใช้เส้นสายของตนอย่างเต็มที่ ทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงานเก่าแก่ รวมถึงลูกค้าของธนาคาร ผู้จัดการใหญ่อู่พลิกหาทั่วปักกิ่ง ในที่สุดก็สามารถช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานสืบข้อมูลของบ้านที่้าขายทอดตลาดมาได้
เขาได้เชิญนักศึกษาเซี่ย ลูกค้าเกรดเอไปดูบ้านด้วยกัน
“มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง อยู่ที่ซอยหนานหลัวกู่...”
ยังไม่ทันเห็นบ้านด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ดีใจแล้วหลังจากได้ยินชื่อทำเลที่ตั้ง ซอยหนานหลัวกู่ คือถนนท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่ปักกิ่งใช้วัฒนธรรมหูท่ง [1] และสถาปัตยกรรมเรือนสี่ประสาน [2] มาเป็จุดขาย หากบ้านที่นี่ยังไม่ถูกใจ คงเป็การกลั่นแกล้งผู้จัดการอู่เกินไปแล้ว
แน่นอนว่าผู้จัดการใหญ่อู่ไม่รู้เื่ที่อนาคตมันจะถูกพัฒนาจนกลายเป็ถนนสายท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ หลักๆ เขาแค่รู้สึกว่าบ้านที่นี่ดูโอ่อ่า ในสมัยราชวงศ์โบราณ ถนนและตรอกซอกซอยแถบนี้เต็มไปด้วยเหล่าขุนนาง จวนอ๋องอันหรูหราก็มีให้เห็นอยู่ทุกที่... จวนอ๋อง ผู้จัดการใหญ่อู่คงหามาให้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีหน่วยงานอนุรักษ์สมบัติทางวัฒนธรรมคอยดูแลอยู่ และเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็คงไม่อาจเอื้อมถึง
แต่นอกจากจวนอ๋องแล้ว พวกทายาทรุ่นหลังที่ได้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมาก็มีไม่น้อย ขอเพียงเสนอราคาอย่างเหมาะสม พวกเขาย่อมยินดีขายมรดกทิ้ง
มรดกพวกนี้เดิมทีเป็ของรัฐบาล ทว่าหลายปีก่อนรัฐเพิ่งออกนโยบายคืนกรรมสิทธิ์ให้แก่ประชาชน ย่าอวี๋เองก็เป็หนึ่งในกรณีนี้เช่นกัน
ผู้จัดการใหญ่อู่เดินพลางแนะนำเ้าของบ้านไปด้วย
“เขาไม่อยากอยู่ประเทศจีน ทว่าจะขอทุนเพื่อออกไปต่างประเทศก็ไม่ไหว เลยอยากขายบ้านเพื่อเอาเงินไปสร้างธุรกิจที่ต่างประเทศ...”
สีหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ชาติก่อนเธอเคยอ่านเื่สั้นที่กล่าวว่า ในยุค 80 มีคนยอมขายเรือนสี่ประสานที่อยู่ใกล้กับหอกลอง [3] ของปักกิ่งในราคาสองล้านหยวน และนำเงินนั้นออกไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ ยอมเป็พนักงานล้างจานใช้แรงงาน ลำบากตรากตรำทุกรูปแบบ สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปสามสิบปี ในที่สุดเขาก็สามารถเก็บเงินได้สองล้านยูโร และอยากกลับมาใช้ชีวิตวัยเกษียณที่ประเทศบ้านเกิด แต่กลับพบว่าบ้านที่ตนขายไปในตอนนั้น หลังผ่านการขายทอดตลาดครั้งแล้วครั้งเล่า และมีมูลค่าถึงแปดสิบล้านหยวน!
เื่สั้นนั้นอาจเป็เื่แต่ง แต่สถานการณ์นั้นคือความจริง
สำหรับผู้กล้าเช่นนี้ ประธานเซี่ยทำได้เพียงอวยพร หากเธอเตือนเขาว่าอย่าขายบ้าน อยู่ที่ปักกิ่งต่อเถิด จะไปต่างประเทศทำไม รอให้เรือนสี่ประสานราคาขึ้นก็พอ... คนเขาคงคิดว่าเธอกำลังพูดจาเหลวไหลน่ะสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานกับผู้จัดการใหญ่อู่ขี่จักรยานคนละคัน ระหว่างพูดคุยกันก็มาถึงซอยหนานหลัวกู่ในที่สุด
เมื่อมาถึงสถานที่ที่ผู้จัดการใหญ่อู่บอก ก็พบว่าหน้าบ้านหลังนั้นกำลังอยู่ในสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย
“ยังมีหัวใจอยู่หรือไม่ คุณขายบ้านทิ้งแล้วไล่พวกเราออกไป? จะบอกให้ว่าไม่มีทาง! พวกเราไม่มีทางย้ายออกไป นี่คือบ้านที่รัฐจัดสรรให้กับพวกเรา...”
“ใช่ ฉันจะรอดู ใครกันที่กล้าซื้อบ้านหลังนี้!”
“คงเป็พวกหัวใจเน่าฟอนเฟะสินะ”
ชายหนุ่มวัยสามสิบตอนต้นถูกคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อมอยู่ เขาถอยหลังจนติดกำแพง
มิน่าล่ะ ถึงอยากขายบ้าน
ที่แท้บ้านหลังนี้เพิ่งได้คืนมาจากรัฐบาล แต่กลับคุม ‘ผู้เช่า’ ไม่อยู่น่ะสิ
เชิงอรรถ
[1]หูท่ง 胡同 ชื่อเรียกตรอกซอกซอยแคบระหว่างที่พักอาศัยของชาวจีนในกรุงปักกิ่ง
[2]เรือนสี่ประสาน หรือ ซื่อเหอย่วน 四合院 คือชื่อเรียกที่อยู่อาศัยของชาวจีนในสมัยโบราณ ลักษณะเป็เรือนสี่หลังเรียงตัวกันล้อมสี่ทิศเป็รูปทรงสี่เหลี่ยม
[3]หอกลอง 鼓楼 เป็ศูนย์กลางในการบอกเวลาที่ถูกสร้างขึ้นและใช้งานั้แ่ยุคราชวงศ์หยวนจนถึงราชวงศ์ชิง โดยมีไว้บอกเวลา่ตอนเย็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้