ข้อสอบหนึ่งฉบับใช้เวลาทำสี่สิบห้านาที สองฉบับต้องใช้เวลาทั้งหมดเก้าสิบนาที
เพื่อไม่เป็การรบกวนสมาธิ คุณครูทั้งสองคนถอยออกไปรอห่างๆ เลยไม่เห็นคำตอบที่เด็กสาวเขียนลงไปในกระดาษ
คุณครูทั้งสองคนนึกไม่ถึงว่า เด็กสาวจะทำข้อสอบทั้งสองฉบับเสร็จโดยใช้เวลาแค่ห้าสิบนาทีเท่านั้น
พวกเขาต่างคิดในใจว่า หรือเด็กสาวจะตอบคำถามไม่ครบ หากเป็แบบนั้นเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบก็จะน้อยลง แต่พอรับกระดาษข้อสอบมาดู พบว่าเด็กสาวตอบคำถามครบหมดทุกข้อ อีกทั้งลายมือยังชัดเจนสวยงาม
ความกังวลที่เคยมีก่อนหน้านี้พลันสลายไป และอดจะเอ่ยชมออกมาไม่ได้ “ลายมือสวย!”
คุณครูทั้งสองคนลงมือตรวจคำตอบ ไม่เพียงแค่นั้นยังหยิบปากกาจากในกระเป๋าออกมาขีดเขียนลงไปบนกระดาษข้อสอบอีกด้วย
ไม่กี่นาทีต่อมาคุณครูทั้งสองคนก็ตรวจเสร็จ ทั้งคู่ต่างอ้าปากค้างตาโต เด็กสาวคนนี้คือหัวกะทิ!
คุณครูทั้งสองคนหนึ่งเป็ครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์ ส่วนอีกคนเป็ครูที่ปรึกษาของห้องสายศิลป์ แม้ปีนี้ยังไม่มีการจัดสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แต่มีครูคนไหนบ้างที่ไม่ชอบเด็กที่มีผลการเรียนดี พวกเขาถือกระดาษข้อสอบเดินปรี่เข้าไปหาผู้อำนวยการ
ครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์สวมแว่นตา แต่ดูแล้วอายุยังไม่มากเท่าไรรีบแจ้งกับผู้อำนวยการทันที “ครูใหญ่หวางครับ ผมอยากได้เด็กคนนี้ คุณดูผลสอบวิชาเลขสิครับ เธอได้คะแนนเต็ม…”
คุณครูที่ปรึกษาห้องสายศิลป์ที่ดูาุโกว่าคัดค้านอย่างไม่พอใจ “อะไรกันคุณ เด็กคนนี้ต้องไปอยู่ห้องผม คุณดูเรียงความที่เธอเขียนสิ สละสลวย ไหลลื่น เหมือนเรือที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ เธอคือเมล็ดพันธุ์ที่ดีของสายศิลป์ต่างหาก”
เซี่ยโม่เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองโชคดีมาก แซ่ของคุณครูที่เธอเดาสุ่มคือแซ่ของผู้อำนวยการของโรงเรียนนี้
แต่ก็อย่างว่า ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการ คุณปู่ยามคงไม่ปล่อยให้เธอเข้ามาในโรงเรียนง่ายๆ เช่นนี้
ตอนอยู่หน้าห้องของผู้อำนวยการ เธอคาดเดาว่าท่านน่าจะแซ่หวาง แต่ก็ไม่กล้าเรียกออกไป เพราะกลัวว่าอาจไม่ใช่อย่างที่คิด
ส่วนคุณครูทั้งสองท่านนี้ ที่แท้คือครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์กับสายศิลป์นั่นเอง
ผู้อำนวยการเห็นคุณครูทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันก็รีบเอ่ยห้าม “ไม่ต้องทะเลาะกัน ขอผมดูหน่อย”
คุณครูทั้งสองคนส่งกระดาษข้อสอบให้ผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการมองคะแนนรวมที่เขียนอยู่บนกระดาษข้อสอบ วิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม ส่วนวิชาภาษาและวรรณคดีถูกหักหนึ่งคะแนน
“พวกคุณยังไม่ทันถามนักเรียนเซี่ยโม่เลยว่าอยากเรียนสายไหน สายวิทย์หรือสายศิลป์” ผู้อำนวยการมองหน้าครูทั้งสองท่านพร้อมกับยกยิ้ม
ราวกับมีใครมาสะกิดให้ตื่น คุณครูทั้งสองคนหันหน้าไปมองเซี่ยโม่อย่างพร้อมเพรียง
คุณครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์ซึ่งสวมแว่นตามองไปที่เซี่ยโม่ด้วยสายตาคาดหวัง “นักเรียนเซี่ยโม่ เธอได้คะแนนวิชาเลขเต็ม ครูยินดีต้อนรับเธอสู่ห้องของครู”
คุณครูที่ปรึกษาห้องสายศิลป์ที่าุโกว่าก็เอ่ยทาบทามเช่นกัน “นักเรียนเซี่ยโม่ เรียงความของเธอก็ได้คะแนนเต็ม อย่าลืมพิจารณาห้องสายศิลป์ของครูด้วยนะ”
แม้ปีนี้ยังไม่มีการจัดสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย แต่คนเป็ครูย่อมต้องชอบเด็กที่รักการเรียน ที่ผ่านมาคุณครูทั้งสองคนมักชอบแข่งขันกัน ไม่แปลกหากจะอยากได้เซี่ยโม่เข้าเรียนในสายของตัวเอง
ในระดับชั้นมัธยมปลายจะแบ่งแผนการเรียนออกเป็สองสาย นั่นคือห้องสายศิลป์กับห้องสายวิทย์ ซึ่งเื่นี้เซี่ยโม่ก็คิดและใคร่ครวญมาเป็อย่างดีแล้ว
เซี่ยโม่หันไปหาคุณครูที่ปรึกษาห้องสายศิลป์ “คุณครูคะ ขอโทษด้วยค่ะ แต่หนูชอบสายวิทย์มากกว่าค่ะ”
คุณครูที่ปรึกษาห้องสายศิลป์ถอนหายใจด้วยสีหน้าผิดหวัง ได้แต่มองคุณครูอีกคนพาเมล็ดพันธุ์ที่ดีมากเมล็ดหนึ่งจากไป
ครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์มองเด็กสาวอย่างยินดีระคนพึงพอใจ เด็กสาวไม่เพียงตอบคำถามความรู้ของชั้นมัธยมต้นปีที่สองได้หมดทุกข้อ แม้แต่คำถามสองข้อสุดท้ายซึ่งเป็คำถามที่อยู่ในระดับยากมากก็ยังตอบได้ถูกต้อง
เขาเดินนำเด็กสาวไปที่ห้องทำงาน หลังจากให้กรอกเอกสารสมัครเรียนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ถึงค่อยขยับแว่นพร้อมกับแนะนำตัว
“ครูเป็ครูที่ปรึกษาห้องสายวิทย์ประจำชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง ชื่อว่าเจิ้งอี้ วันมะรืนนี้เธอสามารถมาเรียนได้เลยนะ มีคำถามอะไรจะถามครูไหม”
“คุณครูคะ ความจริงความรู้ของชั้นมัธยมปลายหนูเรียนด้วยตัวเองหมดแล้ว หนูขอไม่มาเข้าเรียนได้ไหมคะ ขอแค่มาสอบอย่างเดียว” เซี่ยโม่ลองถามหยั่งเชิง
คุณครูเจิ้งอี้นิ่งอึ้งไปสักครู่ เด็กสาวพูดว่าอะไรนะ ความรู้ของชั้นมัธยมปลายเรียนด้วยตัวเองหมดแล้ว เื่จริงหรือโกหกเนี่ย?
เขามองเด็กสาวอย่างเคลือบแคลง ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบข้อสอบปลายภาควิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เพิ่งจบไปปีที่แล้วออกมา
เทอมก่อนเขามีหน้าที่ดูแลเด็กชั้นปีสุดท้าย ส่วนเทอมนี้เขาได้ดูแลชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง ในลิ้นชักโต๊ะเลยยังมีข้อสอบปลายภาคของนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษาไป นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้หยิบออกมาใช้อีก
เด็กสาวตรงหน้าผลการเรียนไม่เลว เพียงแต่บ้าบิ่นไปหน่อย
“เธอลองเอาข้อสอบนี้ไปลองทำดู ครูขอดูคะแนนก่อนแล้วค่อยว่าอีกที” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ได้ค่ะคุณครูเจิ้ง!” เซี่ยโม่รับข้อสอบไปลงมือทำ สิบห้านาทีต่อมาก็ส่งกระดาษข้อสอบคืนให้
คุณครูเจิ้งรับข้อสอบมาตรวจ ยิ่งตรวจก็ยิ่งตะลึง
เด็กคนนี้ไม่ได้โกหก เช่นนั้นการที่พูดออกมาอย่างมั่นใจจึงไม่ใช่เื่แปลก อายุแค่ไม่เท่าไรก็สามารถทำข้อสอบปลายภาคของนักเรียนชั้นปีสุดท้ายได้ ทั้งยังได้คะแนนเต็มอีกด้วย
เขาจำได้ว่าขนาดเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาไปเมื่อปีที่แล้ว ยังไม่มีคนไหนทำได้คะแนนเต็มมาก่อน
คะแนนที่ทำได้มากสุดคือเก้าสิบห้าคะแนน หากเป็ก่อนหน้านี้ เด็กสาวสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ว่าตอนนี้น่าเสียดายจริงๆ
เขาทำท่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “นักเรียนเซี่ยโม่ คะแนนเธอไม่เลวเลย แต่สายวิทย์ยังมีวิชาฟิสิกส์ เคมี แล้วก็มีวิชาภาษาและวรรณคดี การเมืองการปกครอง และวิชาอื่นอีก เธอก็มั่นใจเหมือนกันไหม”
วิชาอื่นเซี่ยโม่ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เธอเลยไม่กล้าพูดออกไป เมื่อเห็นเด็กสาวนิ่งเงียบ คุณครูเจิ้งก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังพอฟังคำเตือนอยู่บ้าง
“งั้นเอาแบบนี้ ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีนักเรียนคนไหนขอแค่มาสอบแต่ไม่มาเข้าเรียน ถ้าเธอทำแบบนี้เด็กนักเรียนคนอื่นก็จะทำตามได้” คุณครูเจิ้งพูดอย่างใจเย็นก่อนจะช่วยเสนอแนะแนวทาง “ครูว่าเธอมาเรียนเหมือนนักเรียนคนอื่นดีกว่า แต่ถ้าที่บ้านมีธุระอะไรค่อยมาขอลากับครู ครูได้ยินจากครูใหญ่แล้วว่าเธออาศัยอยู่กับคุณตาคุณยาย ไหนจะต้องเลี้ยงน้องชายอีก ถ้าจะลาหยุดบ่อยก็ไม่น่ามีปัญหา”
เซี่ยโม่นึกไม่ถึงเลยว่า ตอนที่ผู้อำนวยการออกจากห้องไปตามคุณครูทั้งสองคนมาทำการทดสอบ เวลาแค่ครู่เดียวจะเพียงพอให้ผู้อำนวยการเล่าเื่ราวของเธอให้พวกเขาฟัง
การที่เธอขอแค่มาสอบแต่ไม่เข้าเรียนนั้นเป็เื่ที่ทำได้ยาก คุณครูอนุญาตให้ลาหยุดได้บ่อยก็นับว่าดีมากแล้ว
“ได้ค่ะ งั้นหลังจากนี้รบกวนคุณครูเจิ้งด้วยนะคะ” เธอตอบตกลงทันที
คุณครูเจิ้งอี้เห็นเด็กสาวเชื่อฟังที่เสนอไปแต่โดยดี เลยถือโอกาสนี้บอกความคาดหวังของตนเองออกไปด้วย “ไม่เป็ไร ขอแค่ระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ เธอสอบให้ติดหนึ่งในสามอันดับแรกของชั้นปีก็ถือว่าเป็หน้าเป็ตาให้ฉันแล้ว”
สอบติดสามอันดับแรกของชั้นปีงั้นหรือ ชาติที่แล้วตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเธอได้ที่หนึ่งของชั้นปีตลอด
“คุณครูวางใจได้เลยค่ะ หนูจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ” เธอรับปากอย่างเป็มั่นเป็เหมาะประหนึ่งให้คำสัญญา
จัดการเื่นี้เสร็จเรียบร้อยเธอก็ขอตัวกลับ แม้จะออกจากห้องทำงานของคุณครูเจิ้งมาแล้ว เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ซ่ง
ต้องมีเื่อะไรเกิดขึ้นกับพี่ซ่งแน่นอน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางผิดนัดเธอเด็ดขาด
เซี่ยโม่นึกถึงบ้านของพี่ซ่งที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ซึ่งที่นั่นมีของสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายเต็มไปหมด ไหนจะเื่ที่อีกฝ่ายทำในตำบลอีก
เธออดเป็ห่วงไม่ได้ หรือมีคนไปฟ้องทางการเข้า พี่พั่งจื่อกับพี่โซ่วจื่อที่เป็ลูกไล่ของพี่ซ่งยิ่งดูไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าไรอยู่ด้วย
คิดถึงตรงนี้ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง เดิมทีเธอนึกว่ามีขาทองคำให้เกาะ คิดแล้วก็ประหวั่นในใจ เธอควรจะทำอย่างไรดี
ทันใดนั้นเองเธอได้ยินเสียงคนกำลังะโเรียกเธอจากที่ไกลๆ “น้องโม่โม่…”
เด็กสาวหันไปมองตามเสียงเรียกอย่างดีอกดีใจ ไม่ใกล้ไม่ไกลมีผู้ชายสองคนกำลังขี่จักรยานตรงเข้ามาหาเธอ ไม่ใช่ใครอื่น คือผู้ช่วยทั้งสองคนของพี่ซ่งนั่นเอง
พวกเขามาทำอะไรที่นี่ แล้วคนที่นัดกับเธอล่ะ?
เซี่ยโม่วิ่งเข้าไปหาก่อนจะเอ่ยถาม “พวกพี่สองคนมาทำอะไรที่นี่คะ แล้วทำไมพี่ซ่งถึงไม่มาคะ”
“น้องสาว ลูกพี่มีธุระก็เลยให้พวกเรามาแทน ถ้าน้องสาวยังจัดการไม่ได้ พวกเราจะได้ไปหาคนมาช่วยจัดการให้”
เธอรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน พี่ซ่งไม่ได้ลืมเธอ
“พี่ซ่งไปทำธุระอะไรเหรอคะ แล้วอันตรายมากไหม” เธอเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง