เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเป็นางกำนัลคนหนึ่งข้างกายยังมีนางกำนัลติดตามมาอีกคนหนึ่งแสงไฟที่ว่านั้นคือแสงจากโคมไฟในมือของนางกำนัลทันทีที่สายลมยามรัตติกาลพัดผ่านมาวูบหนึ่ง ส่งผลให้โคมไฟระหว่างต้นไม้ดับลง แต่ไส้ตะเกียงที่อยู่ในโคมไฟนั้นกลับมิดับมอดลง
สตรีสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อบาง กระโปรงผ้าโปร่งตัวยาวลากอยู่บนพื้นงดงาม อ่อนโยนและสงบยิ่งนักนางเดินมาหยุดใต้ต้นไทรอึดใจหนึ่งแล้วเอียงหน้าขึ้นมองศพที่แขวนอยู่บนต้นไทรพร้อมด้วยนางกำนัลอีกสองคนด้วยสีหน้าสงบนิ่งจนน่าใ
ต่อมานางกำนัลกระชากเชือกที่แขวนศพร่างนั้นจนขาด เสียงของศพร่วงลงมานอนลงบนพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง
สตรีนางนั้นนั่งยองๆ อยู่ข้างศพอย่างอ่อนโยนกระโปรงของนางกางออกคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง นางยื่นปลายนิ้วขาวนวลออกไปสายลมกรุ่นกลิ่นหอมพัดผ่านมา ไม่รู้ว่านางได้ลงมือทำอันใดกับศพนั้นบ้างต่อมานางกล่าวเสียงนุ่มว่า “ตื่นขึ้นมาเถิด”
องครักษ์ลืมตาทั้งคู่ขึ้นในพริบตา!
วันรุ่งขึ้นหลินชิงเวยนอนจนรู้สึกตัวตื่นเองนางไม่ต้องไปถวายการรักษาแก่เซียวจิ่นในตำหนักซวี่หยางั้แ่เช้าตรู่ทุกวันอีกแล้วและในอีกหลายวันนี้มีซินหรูไปต้มน้ำสมุนไพรให้เซียวจิ่นอาบน้ำนางทำงานละเอียดถี่ถ้วนไร้ที่ติ
ใครกันเล่ายินดีที่จะทิ้งชีวิตสุขสบายอิสระแล้วไปหาความทุกข์ให้ตน
เมื่อคืนเื่องครักษ์ตายไปคนหนึ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างก็คือ วันรุ่งขึ้นไม่มีการพูดถึงเื่นี้ราวกับเื่คนตายคนหนึ่งในวังเป็เื่ไม่น่าเอ่ยถึงดูเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นอย่างไรอย่างนั้นนางให้ปี้หลิงไปสอบถามมาก็ไม่ได้อะไรมา
นางคิด คงเป็เพราะนางเก็บกวาดที่เกิดเหตุได้สะอาดสะอ้านเกินไปทำให้คนในยุคสมัยโบราณต่างเข้าใจว่านั่นเป็การฆ่าตัวตายจึงไม่ได้นำเื่นี้มาใส่ใจ หลินชิงเวยได้แต่ปลอบใจตนเองเช่นนี้
ภายในตำหนักซวี่หยางไร้ซึ่งเงาร่างแบบบางที่เข้าๆ ออกๆภายในตำหนักทั้งวัน ส่งผลให้ดูเหมือนจะขาดอะไรบางอย่างไป
ซินหรูเติบโตเป็ผู้ใหญ่อย่างรวดเร็วนางสามารถช่วยเซียวจิ่นอาบน้ำสมุนไพรได้อย่างเชี่ยวชาญ จากนั้นบีบนวดให้เขาทั่วร่างช่วยให้เืลมในร่างกายไหลเวียนสะดวก
สีหน้าของเซียวจิ่นดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนราวฟ้ากับดินเพียงแต่หว่างคิ้วของเขายังคงปรากฏความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
เซียวจิ่นถามซินหรู “ชิงเวยอยู่ในตำหนักของนางสบายดีหรือไม่?”
ซินหรูตอบ “ดียิ่งเพคะ”
“เช่นนั้นเหตุใดนางจึงไม่มาเล่า? ยังโกรธเจิ้นอยู่ใช่หรือไม่?”เซียวจิ่นถามอีก
ซินหรูไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ แต่นางมีความรู้สึกที่ดีต่อฮ่องเต้องค์นี้จึงพูดปลอบใจว่า “มิใช่เพคะ หลายวันนี้พี่สาวเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างดังนั้นจึงไม่ได้มาเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เ้าไม่ต้องปลอบใจเจิ้นเจิ้นรู้ว่าในใจนางยังคงโกรธเคืองเจิ้น เื่นี้เป็เจิ้นเองที่ไม่ดี”
เซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาหลุบตาลงต่ำสีหน้าที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้านั้นเรียบเฉย
ซินหรูกล่าวสืบไปว่า “หม่อมฉันช่วยฝ่าานวดขาทั้งคู่สักครู่หนึ่งนะเพคะพี่สาวบอกว่าขาทั้งคู่ของฝ่าายังมีความรู้สึก แสดงว่าชีพจรนี้ไหลเวียนดีต่อไปมีความเป็ไปได้ว่าจะหายดังเดิมเมื่อบีบนวดต้องระมัดระวังขาทั้งสองข้างให้ดีเพคะ”
น้ำเสียงของเซียวจิ่นเบิกบานใจขึ้นสองส่วน “จริงหรือนางพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
วันนี้เป็วันสุดท้ายที่ต้องอาบน้ำสมุนไพรเช่นกันก่อนที่ซินหรูจะจากไปยังกล่าวอีกว่า“ต่อไปฝ่าาต้องระมัดระวังเื่สุขภาพให้ดีนะเพคะอย่าทรงงานจนเหน็ดเหนื่อยเกินไป พักผ่อนให้มากก็จะไม่ทรงประชวรบ่อยๆ อีกเพคะ”
เซียวจิ่นพยักหน้ากล่าวว่า “ขอบคุณความใส่ใจของเ้า”
ก่อนที่ซินหรูจะจากไปยังหันกลับมากล่าวเสริมอีกสองประโยคอย่างหักใจไม่ได้“หากฝ่าาไม่สบายตรงไหน ให้คนมาตามพวกหม่อมฉันได้เพคะ”
ซินหรูเดินออกไปถึงประตู คิดไม่ถึงว่าจะถูกเซียวเยี่ยนเรียกตัวไว้
เซียวเยี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในลานเรือน เขาอยู่ในอาภรณ์สีม่วงส่งให้สูงศักดิ์ยิ่งนักเพียงแต่สีหน้าท่าทางออกจะเ็าเล็กน้อยซินหรูคิดจะก้าวถอยหลังโดยมิรู้เนื้อรู้ตัวเมื่อเปรียบเทียบกับความอบอุ่นอ่อนโยนของเซียวจิ่นแล้ว คนหนึ่งเป็เหมันตฤดูอีกคนหนึ่งคือวสันตฤดู
ซินหรูรีบยอบกายถวายพระพร “บ่าวถวายพระพรเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”
เซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางเปรียบเสมือนกำแพงชั้นหนึ่งและนางไม่มีความกล้าหาญที่จะยืดคอเงยหน้าขึ้นมอง เซียวเยี่ยนถามตรงไปตรงมาว่า“ขาของฝ่าา หลินเจาอี๋แน่ใจว่ามีวิธีรักษาให้หายได้หรือ?”
ซินหรูเงียบขรึม นางรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ความรู้ทางการแพทย์ของพี่สาวล้ำเลิศนางรักษาให้หายได้แน่เพคะ เพียงแต่เมื่อบ่าวถามนาง นางกลับบอกว่ารักษาไม่ได้ดูเหมือนพี่สาวยังโมโหมาก คำพูดเหล่านี้เป็คำพูดตามอารมณ์หาไม่แล้วก่อนหน้านี้คงไม่พูดกับบ่าวเื่ขาทั้งคู่ของฝ่าาเพคะ”
เซียวเยี่ยนไม่ได้ถามอะไรอีก
หลินชิงเวยลุกขึ้นนั่งแล้วหาวครั้งหนึ่งนางนั่งตากแดดอยู่ภายในเรือนพักหนึ่งแล้ว เห็นว่าเป็เวลายามอู่แล้ว ปี้หลิงจึงไปเตรียมอาหารเที่ยงส่วนซินหรูคาดว่ากำลังเดินทางกลับมาแล้วเช่นกัน
ขณะที่นางกำลังคิดเช่นนี้ เงาร่างเล็กๆ ของซินหรูก็เดินเข้ามาภายในเรือนแต่ด้านหลังนางยังมีเงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งตามมาด้วย
คิดไม่ถึงว่าเซียวเยี่ยนจะมาเยือนตำหนักฉางเหยี่ยนด้วยตนเอง
ซินหรูนำทางเขาเข้ามาไม่รอให้หลินชิงเวยเอ่ยวาจาก็หลบออกไปพร้อมกล่าวว่า “ข้าข้าไปดูว่าพี่ปี้หลิงมีอะไรให้ช่วยหรือไม่นะเ้าคะ"
หลินชิงเวยนั่งเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้โดยไม่เคลื่อนไหวใดๆเก้าอี้เอนหลังรองด้วยผ้าห่มบางๆ ชั้นหนึ่งเอนกายอยู่บนนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่ง ท่ามกลางแสงแดดของวสันตฤดูศีรษะของนางพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ เส้นผมทั้งหนาและดำขลับห้อยตกลงมาจากเก้าอี้ ขาทั้งคู่ของนางซ้อนกันเท้าทั้งคู่ของนางวางอยู่อีกด้านหนึ่งของเก้าอี้ นางถึงกับไม่สวมรองเท้า
เท้าเล็กๆ น่ารักปรากฏให้เห็นท่ามกลางอากาศเช่นนี้ปรากฏให้เห็นสีชมพูอ่อนๆ ชวนมองยิ่งนัก กระดูกนิ้วเท้ากลมๆ เล็กๆ นั้นไม่ต้องกล่าวถึงว่าน่ารักเพียงใดกระโปรงของนางคลุมลงบนเก้าอี้เอนหลัง ชายกระโปรงถูกแสงแดดส่องจนเกิดประกายวิบวับ
เซียวเยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างคนทั้งสองต่างไม่มีวาจาใดเอื้อนเอ่ยชั่วขณะ
เขาไม่ยินยอมมองหลินชิงเวยมากกว่านี้สายตาเ็าของเขาเลื่อนไปทางอื่น ไปหยุดอยู่บนรั้วไม้ไผ่กลางสวนสมุนไพรไม่รู้ว่าเป็เพราะกลัวว่าหลินชิงเวยจะทำให้ดวงตาของเขาแปดเปื้อนหรืออย่างไรกันแน่
หากเป็เมื่อก่อนหลินชิงเวยย่อมต้องเอ่ยวาจาหยอกเย้าเขาสักสองประโยคเป็แน่ยามนี้นางคร้านจะพูดจากับบุรุษคนนี้ ทั้งๆ ที่เป็เขามาด้วยตนเอง ยังคงวางท่าสูงศักดิ์เ็าเช่นนี้ทำให้ผู้ใดดูเล่า?
หลินชิงเวยลุกขึ้นเท้าทั้งคู่ของที่เหยียบลงบนพื้นนั้นเปลือยเปล่าสะบัดชายกระโปรงหันกายหมายจะกลับเข้าห้องไปในที่สุดเซียวเยี่ยมยอมเอ่ยปากในเวลานี้เอง “เ้า้าอะไรกันแน่?”
หลินชิงเวยเดินขึ้นไปบนบันไดสองก้าว ฝีเท้าของนางหยุดชะงักแล้วหันกายกลับมานางหรี่ตาลงมองเซียวเยี่ยนขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาประเมิน“คำพูดนี้ของท่านอ๋องกล่าวอย่างไร้ที่มาที่ไป”
เซียวเยี่ยนกล่าว “เ้า้าสิ่งใดจึงจะยินยอมรักษาขาทั้งสองข้างของฝ่าา?”
หลินชิงเวยหัวเราะ เสียงหัวเราะของนางมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนักนางงอปลายนิ้วมือเรียกเซียวเยี่ยน “ท่านมานี่ ข้าบอกท่าน”
ต่อให้เซียวเยี่ยนรู้ดีว่าสตรีนางนี้เ้าเล่ห์แสนกลอย่างยิ่ง ทว่าเขายังคงยกเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าเขาหยุดยืนอยู่ข้างล่างขั้นบันได หลินชิงเวยยืนอยู่สูงกว่าเขาสองขั้นบันไดความสูงจึงเท่ากับเขาพอดี
นาทีถัดมาสายตาของหลินชิงเวยแปรเปลี่ยนเป็เ็านางเงื้อมือขึ้นตบฉาดลงไปบนซีกหน้าของเซียวเยี่ยน ฝ่ามือของนางรู้สึกชาทันทีถูกหนวดเคราบนใบหน้าของเขาทิ่มตำจนเจ็บ เซียวเยี่ยนหันหน้าไปอย่างตะลึงงันความเดือดดาลบนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละน้อย
“เจ็บหรือไม่” หลินชิงเวยถาม “ครั้งก่อนท่านบีบคอข้าข้าเจ็บมากเช่นกัน” ดวงตาของเซียวเยี่ยนหลุบต่ำนิ่งลึกยากแก่การคาดเดาต่อมาหลินชิงเวยยักไหล่ขึ้นและกล่าวอีกว่า“เมื่อท่านคิดจะสังหารข้าก็ควรจะไตร่ตรองให้ดีว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่ท่านต้องมาขอร้องข้าในเมื่อหลานชายคนนั้นของท่านมีความสำคัญต่อท่านถึงเพียงนี้ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าเช่นนั้นข้าตบท่านไปหนึ่งฝ่ามือ ท่านย่อมสมควรทนรับการดูิ่แทนหลานชายของท่านได้เช่นกัน”