“พวกเ้า…”
จ้าวเหิงถูกแรงกดดันของคนทั้งสามบีบให้ต้องถอยหลังออกไปสองก้าว เขากล่าวออกมาเสียงเข้มว่า “พวกเ้าคิดจะทำอะไร ข้าเป็ผู้าุโของสำนักศึกษาราชวงศ์ หากพวกเ้ากล้าแตะต้องข้า นั่นเท่ากับว่าพวกเ้าล่วงเกินสำนักศึกษาราชวงศ์นะ!"
อย่างไรจ้าวเหิงผู้นี้ก็ถือว่ามีสถานะที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าสำนักศึกษาราชวงศ์จะเป็เพียงกองกำลังของสำนักศึกษา แต่ภายในสำนักศึกษานั้นมีผู้แข็งแกร่งดำรงอยู่มากมาย ดังนั้นในความเป็จริงกองกำลังของพวกเขาจึงถูกจัดให้อยู่ชั้นแนวหน้าของอาณาเขตแผ่นดินเป่ยหยวน เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือกว่ากองกำลังของจวนเป่ยอ๋องหรือกองกำลังของราชวงศ์เป็อย่างมาก
จ้าวเหิงไม่ยอมแพ้ เขาะโเรียกผู้าุโในสำนักศึกษาอีกสองคนในทันที “ผู้าุโอู๋อี้ ผู้าุโหลันซิ่ว”
เมื่ออู๋อี้และสตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินได้ยิน พวกเขาก็หยัดกายลุกขึ้นทันที อู๋อี้กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ผู้นำตระกูลมู่ สำหรับเื่นี้เราถอยกันคนละก้าวดีหรือไม่? เื่การขอขมานั้นสามารถทำได้ เพียงแต่เื่การควักดวงตานี้ช่างมันเถอะนะ”
“ช่างมัน?”
มู่เฉินเหยียดยิ้มก่อนจะกล่าวอย่างเ็า “หากไม่ใช่เพราะเมื่อสองปีก่อนเขาสร้างความอัปยศให้กับหลานชายของข้า มันจะมีข้อตกลงเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นข้อกำหนดนี้เขาก็เป็คนกำหนดขึ้นเอง หากวันนี้เป็หลายชายของข้าที่เป็ฝ่ายพ่ายแพ้ เขาเองก็ต้องคุกเข่าลงขอขมา เ้าว่าเื่นี้จะช่างมันได้อย่างนั้นหรือ? หรือว่าคนของสำนักศึกษาราชวงศ์ล้วนมีแต่พวกกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับกัน? คำสัญญาในวันนั้น ผู้คนในเมืองหลวงกว่าหลายแสนคนต่างก็รู้เห็นเป็พยานได้”
ความคิดของของมู่เฉินทั้งมั่นคงและเข้มแข็ง
สำหรับเื่ของมู่เฟิง เขาระงับโทสะที่อยู่ภายในใจมานานมากแล้ว แต่ในวันนี้เขาจะไม่ทนต่อไฟโทสะนี้อีกต่อไป!
“ถูกต้อง เมื่อสองปีก่อนจ้าวเหิงเป็คนวางเดิมพันนี้ด้วยตัวเอง เหตุใดกล้าทำแล้วจึงไม่กล้ารับ?”
“คนของสำนักศึกษาราชวงศ์นี้ช่างประเสริฐเสียจริง แม้แต่คนทรามไม่รักษาสัจจะยังรับมาเป็ผู้าุโในสำนักศึกษาได้ เช่นนี้พวกเราจะยังกล้าวางใจให้ทางสำนักศึกษาราชวงศ์สั่งสอนเหล่าคนรุ่นเยาว์ได้อีกหรือ?”
“ควักดวงตาออกมาแล้วขอขมาเสีย!”
เหล่าฝูงชนจำนวนไม่น้อยต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันถึงเื่นี้ แน่นอนว่าความคิดเห็นของสาธารณชนจะกลายเป็แรงกดดันให้กับทางสำนักศึกษาราชวงศ์
ทางอู๋อี้และคนอื่นๆ ล้วนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ถูกต้องแล้ว เมื่อสองปีก่อนจ้าวเหิงวางเดิมพันกับมู่เฟิงด้วยตัวเองจริงๆ หากเขาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้ มันย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษาราชวงศ์อย่างแน่นอน
“ควักดวงตาแล้วขอขมา ควักดวงตาแล้วขอขมา”
ศิษย์ตระกูลมู่ะโโห่ร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีฝูงชนอีกหลายกลุ่มะโบอกให้จ้าวเหิงควักดวงตาของเขาและขอขมาเช่นกัน
จ้าวเหิงทั้งใทั้งโมโห สายตาของเขาเหลือบมองไปยังอาคารสูงหลังหนึ่ง แต่เวลานี้ร่างที่เคยยืนอยู่บนนั้นได้หายไปแล้ว
“ผู้าุโจ้าว หากเ้ายังไม่ลงมือ พวกเราจะช่วยเ้าลงมือเอง”
มู่เฉินกล่าวขึ้นอย่างเ็า จากนั้นคนทั้งสามก็เดินเข้าไปหาจ้าวเหิง
“ข้าจะทำเอง!”
จ้าวเหิงแผดเสียงคำรามออกมาก่อนจะจ้องมองไปทางมู่เฟิงอย่างเ็า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไอสังหาร เด็กหนุ่มผู้นี้ทำลายชื่อเสียงของเขาจนย่อยยับ
‘รอให้เ้าเหยียบย่างเข้าไปในสำนักศึกษาราชวงศ์เมื่อใด ข้าจ้าวเหิงจะเล่นงานเ้าให้ตายคามือ!’
จ้าวเหิงร่ำร้องอยู่ภายในใจ เขากัดฟันกรอด ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นไปแตะบนดวงตาข้างซ้าย
อึก!
“อ๊าก…!”
จ้าวเหิงแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเ็ป มือของเขาคว้านลึกลงไปในเบ้าตา ไม่นานลูกตาที่เปื้อนเืก็ถูกควักออกมาและตกลงไปบนพื้น
ใบหน้าของจ้าวเหิงขาวซีด เขาเอามือปิดเบ้าตาข้างนั้นเอาในขณะที่เืไหลอาบลงมา ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความเ็ป
มู่เฟิงเฝ้ามองฉากนี้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ แต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกความคับแค้นใจที่อัดอั้นมานานเกือบสองปี
“มู่เฟิง ในอดีตเป็ข้าจ้าวเหิงที่ดวงตามืดบอด เ้าไม่ใช่เศษสวะไร้ค่า”
จ้าวเหิงเอามือปิดเบ้าตาที่เต็มไปด้วยเื ขณะใช้ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวหันไปมองทางมู่เฟิงและกล่าวอย่างเ็า จากนั้นร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณสีเหลืองก่อนจะทะยานขึ้นไปกลางอากาศ เพียงไม่นานร่างของเขาก็กลายเป็ลำแสงที่พุ่งตัวออกไปไกล เวลานี้เขาไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ขณะที่กองกำลังของเหล่าตระกูลหลักกำลังเกิดความสับสนและงุนงง ทุกคนต่างเหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้มีเส้นผมสีขาวบนเวทีผู้นั้น ตอนนี้จ้าวเหิงได้บินหนีหายไปแล้ว ส่วนซั่งกวานเชียนจื้อก็ถูกเขาะเิแขนจนแขนหายไปข้างหนึ่ง แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ย่อมสร้างความประหลาดใจและความสับสนให้กับพวกเขาได้
เมื่อสองปีก่อน เด็กหนุ่มผู้นี้ถูกกล่าวเรียกว่าเป็อัจฉริยะที่ไร้ประโยชน์ มีพร์ที่ล้ำเลิศแต่ไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ ตอนนั้นเขาถูกเหยียดหยามจนต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย นอกจากนี้ในเวลาต่อมาว่ายังมีข่าวลือว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้วอีก
แต่คาดไม่ถึงว่าผ่านมาสองปี เขาจะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งที่มีทั้งพร์ปราณกระดูกและมีพร์ในการสลักลายเส้น เมื่อครู่เขาสามารถสยบซั่งกวานเชียนจื้อได้ในหมัดเดียว อีกทั้งยังบีบบังคับให้จ้าวเหิงต้องควักดวงตาออกมาข้างหนึ่งและขอกล่าวขอขมาต่อเขาด้วย
ยามนี้มู่เฟิงได้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง และเหมือนว่าจะเป็แสงที่สว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้มองเด็กหนุ่มที่อยู่บนแท่นเวที ภายในใจของอวิ๋นไห่ก็มีอารมณ์ที่หลากหลายมากมายปะปนกันไปหมด ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มจะกลับมาอีกครั้งแบบนี้ อีกทั้งการกลับมาในครั้งนี้ของเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เพียงไม่ใช่คนไร้ค่าเหมือนในอดีต แต่เวลานี้เขายังเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นเสียอีก
แต่แล้วอย่างไร เื่นี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลอวิ๋นของเขา เพราะระหว่างตระกูลอวิ๋นและตระกูลมู่นั้นได้แบ่งเส้นความสัมพันธ์เอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
“มู่เฟิง ช้าก่อน เื่ระหว่างเราจะไม่จบเพียงแค่นี้แน่ เ้าเข้าไปยังสำนักศึกษาราชวงศ์เมื่อไร เหล่าจือผู้นี้จะสังหารเ้าให้ตาย!”
ซั่งกวานเชียนจื้อที่ได้พันแผลและห้ามเืแล้วจ้องมองไปทางมู่เฟิง ก่อนจะแผดเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่เฟิงหันกลับไปมองซั่งกวานเชียนจื้ออีกครั้ง ั์ตาสีโลหิตของเขาวาวโรจน์ จากนั้นรังสีสังหารก็พุ่งตรงเข้าหาอีกฝ่ายจนต้องก้าวถอยออกไปสองก้าว หัวใจของซั่งกวานเชียนจื้อสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“หากยังคิดจะเป็ศัตรูกับข้า คราวหน้าคนที่ต้องตายก็คือเ้า”
มู่เฟิงกล่าวอย่างเ็า
ซั่งกวานเชียนจื้อรู้สึกหวาดกลัวต่อรังสีสังหารเมื่อครู่เป็อย่างมาก ทำให้เขาไม่สามารถตอบกลับอะไรออกไปได้
“ตระกูลมู่นี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง มู่เฉิน ทั้งหมดนี้คงเป็แผนการของเ้าสินะ ความจริงเส้นลมปราณของมู่เฟิงคงไม่ได้ถูกทำลายมาั้แ่แรก ทั้งเื่การตาย ทั้งเื่เส้นลมปราณ ล้วนเป็ข่าวลวงที่ตระกูลมู่จงใจปล่อยออกมา นับว่าเป็วิธีการที่ไม่เลว แต่ไม่เป็ไร เื่ระหว่างตระกูลมู่ของเ้าและตระกูลซั่งกวานของข้ายังไม่จบแค่นี้แน่”
ซั่งกวานสยงกล่าวอย่างเ็า ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและหมุนตัวลงจากแท่นเวที
“ตระกูลมู่ของข้าจะรอดูวันนั้นแล้วกัน แม้สถานะของตระกูลมู่จะไม่เหมือนเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ หากใครมันคิดจะแตะต้องตระกูลมู่ เหล่าจือผู้นี้จะหักฟันสองซี่ของมันเอง”
มู่เฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใด คราวนี้เป็มู่เฟิงที่ตอกกลับไปอย่างเ็า
มู่เฉินเหลือบมองไปยังมู่เฟิง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาทางแววตา “ดี ดี กล่าวได้ดี”
มู่เฉินตบลงบนไหล่ของมู่เฟิง ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นเงาของน้องรองจากตัวของเด็กหนุ่ม
“กล่าวได้ดี”
มู่เยี่ยและมู่หวาต่างก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
“พี่เฟิง”
ทันใดนั้นบรรดาศิษย์ของตระกูลมู่ต่างก็วิ่งเข้ามาห้อมล้อมมู่เฟิงเอาไว้
“พี่เฟิง ข้าคิดไว้แล้วว่าท่านจะตายได้อย่างไร ช่างดีนักที่ท่านไม่เป็อะไร”
มู่ฝานและคนอื่นๆ ต่างก็กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ
“ถูกต้อง วันนี้ช่างเป็วันที่ดีนัก”
เมื่อกลุ่มคนรวมตัวกัน พวกเขาก็แย่งกันพูดทันที
“ฮ่าๆ แม้แต่ในสนามรบข้าก็ยังไม่ตาย แล้วข้าจะยอมตายง่ายๆ ได้อย่างไร”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ สมแล้วที่เ้าเป็อัจฉริยะ”
ทันใดนั้นผู้าุโสองคนของสำนักศึกษาราชวงศ์ก็เดินเข้ามาโดยที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
มู่เฟิงกำหมัดคารวะผู้าุโทั้งสองในทันที
“มู่เฟิง เื่ของจ้าวเหิงนั้นจบลงแล้ว สำนักศึกษาเทียนอวิ่นของข้าขอเชิญเ้าให้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์อย่างเป็ทางการ และเ้าจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน”
อู๋อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในฐานะอัจฉริยะที่มีพร์กระดูกิญญาและยังมีพร์ด้านการสลักลายเส้นเช่นนี้ แน่นอนว่าทางสำนักศึกษาราชวงศ์ย่อมยินดีที่จะอ้าแขนรับเขาให้เข้ามาฝึกฝนด้วยกัน
ในความจริงแล้วสำนักศึกษาราชวงศ์นั้นมีชื่อว่าสำนักศึกษาเทียนอวิ่น ส่วนคำว่า ‘ราชวงศ์’ เป็เพียงชื่อที่หลายอาณาจักรใช้เรียกขานตามกันมาเท่านั้น
“ขอบคุณผู้าุโทั้งสอง มู่เฟิงจะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์แน่นอนขอรับ”
มู่เฟิงตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“อืม ดีมาก การลงทะเบียนวันนี้ถือว่าจบลงแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจะมารอพวกเ้าที่นี่ และจะรับพวกเ้าไปยังสำนักศึกษา”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนทั้งสองก็กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม การที่สามารถเสาะหาอัจฉริยะเช่นนี้มาได้ พวกเขาก็ย่อมได้รับรางวัลเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้