หลังจากจ่ายภาษีเสบียงเสร็จและหว่านเมล็ดใหม่ลงดินแล้ว ่เร่งรีบของการทำนาในหน้าร้อนจึงผ่านพ้นไปในที่สุด
คนอื่นๆ สามารถผ่อนคลายสบายใจได้ แต่ไม่ใช่กับเจิ้งเฉวียนกัง เขาต้องนับและคำนวณแต้มงานของคนในหมู่บ้านกับนักบัญชีและหัวหน้ากองย่อยแต่ละคนด้วย ทุกคนในกองหยางหลิวจะมีส่วนแบ่งเสบียงรายหัวเป็ของตนเอง ซึ่งแตกต่างกันไปตามคนใช้แรงงาน สตรี คนแก่ และเด็ก หลังจากแบ่งรายหัวเสร็จก็เหลือแบ่งตามแต้มงานอีกที ใครแต้มงานมากจะได้ส่วนแบ่งเสบียงมาก ใครแต้มงานน้อยย่อมได้ส่วนแบ่งน้อย สุดท้ายค่อยมาตรวจสอบดูว่าคนเหล่านี้เคยติดหนี้เสบียงจากกองผลิตหรือเปล่า หากติด จะหักส่วนของเขาออก บางครอบครัวเป็หนี้เสบียงของกองแทบทุกปี แต่ก็ไม่อาจปล่อยเขาหิวโหยได้ ต้องแบ่งเสบียงให้เขาด้วย หากหิวตายขึ้นมาจะทำอย่างไร?
กองหยางหลิวแบ่งเสบียงสองครั้งต่อปี คือหลังเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนทีหนึ่ง หลังเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอีกทีหนึ่ง ปกติฤดูใบไม้ร่วงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรอย่างพวกมันเทศ ข้าวโพด และถั่วเป็หลัก เสบียงพวกนี้ไม่ต้องส่งเข้าคลังรับซื้อเสบียงของรัฐเยอะ จึงได้ส่วนแบ่งมากหน่อย ส่วนการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนเป็ข้าวสาลีทั้งหมด ซึ่งข้าวสาลีส่วนใหญ่จะโดนรัฐบาลเอาไป ดังนั้นแบ่งตามบ้านแล้วเลยเหลือไม่เยอะสักเท่าไร
แต่ต่อให้ได้มาไม่เยอะ แป้งกับข้าวก็ยังคงราคาแพงอยู่ ย่อมทำใจกินกันไม่ลง จึงมักเอาไปแลกเปลี่ยน แป้งหรือข้าวหนึ่งจินสามารถแลกธัญพืชได้หลายสิบจิน เหล่าชาวนาไม่ขอสิ่งใดมาก แค่อิ่มท้องก็พอแล้ว คนในเมืองมีผลปันส่วนดีกว่าคนในชนบท ได้แป้งขาวคนละหลายจินต่อเดือน ส่วนธัญพืชที่เหลือแบ่งเป็แป้งข้าวโพด มันเทศแห้งและถั่วห้าสีนิดหน่อยในอัตราส่วนเจ็ดต่อสองหรือเจ็ดต่อหนึ่ง บางครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างดีไม่ชอบทานมันเทศแห้ง เลยนำมันเทศแห้งไปแลกแป้งขาวกัน
วันนี้แต่ละครอบครัวจะมาที่สำนักงานพร้อมถุงผ้าป่านใบใหญ่ ท่าทางปลาบปลื้มยินดีกันทุกคน
เมื่อเรียกชื่อใคร คนนั้นจะก้าวไปข้างหน้า ครั้นตรวจสอบจำนวนเรียบร้อยแล้ว คนรับหน้าที่แจกจ่ายเสบียงจะวางเสบียงที่เขาควรได้ลงบนเครื่องชั่งน้ำหนัก ครอบครัวนี้ชะโงกหน้ามองดูขีดตาชั่ง ด้วยกลัวคนชั่งจะชั่งหายไปหลายขีด บางคนถึงกับเอะอะโวยวาย บอกว่ายังไม่ถึงเลยต้องลบน้ำหนักถุงด้วย จะให้ตักเสบียงเพิ่มลงในถุงให้ได้ น้ำหนักถุงป่านจะหนักเท่าไรกันเชียว แต่คนแจกเสบียงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงหยิบกำเล็กๆ ให้เขา เสบียงที่วางซ้อนหลายใบในสำนักงาน ไม่นานก็ลดไปเกือบครึ่ง
สกุลเจิ้งมีทั้งหมดเก้าคน เจิ้งเฉวียนกังเป็หัวหน้ากอง ไม่เพียงไม่ต้องทำงานหนักมาก ยังได้แต้มงานสูงที่สุด ยิ่งมีคนใช้แรงงานอย่างเจิ้งเทียนิ และเจิ้งหยวนที่ตามไปลงนาเก็บแต้ม รวมกับแต้มประปรายที่เฝิงิเยว่กับเจิ้งเจวียนหามาแล้วไม่ถือว่าน้อย สกุลเจิ้งจึงได้ส่วนแบ่งเสบียงแต้มงานมาจำนวนหนึ่งนอกเหนือจากเสบียงรายหัว หนำซ้ำผลผลิตยังดี เมื่อสรุปออกมา ครอบครัวพวกเขาได้ข้าวสาลีรวมเกือบสองร้อยจิน
แรงงานหลายคนของสกุลเจิ้งมาเบิกเสบียงแล้ว ถือและแบกขึ้นบ่ากันคนละไม้ละมือ ไม่นานก็ขนข้าวสาลีสองร้อยจินกลับถึงบ้าน
แม้ข้าวสาลีจะมีไม่เยอะ แต่คนในครอบครัวยังคงมีความสุข เจิ้งเทียนเลี่ยงร้องจะกินเกี๊ยวดังลั่น เมื่อเขาะโขึ้น ซิงซิงจึงขอกินเกี๊ยวตามด้วย ขณะะโยังดึงแขนเฉินชุ่ยอวิ๋นให้เฝิงิเยว่ช่วยพูดอะไรหน่อย
เฝิงิเยว่มองลูกสาวอย่างจนใจ เธออุ้มหนิวหนิวแล้วหันมาบอก “คุณแม่คะ ถ้าอย่างนั้นเรากินเกี๊ยวกันเถอะค่ะ!”
ฤกษ์งานยามดีย่อมทำให้คนจิตใจเบิกบาน เฉินชุ่ยอวิ๋นก็ดีใจเช่นกัน และคิดว่าครอบครัวทำงานหนักตลอดฤดูร้อนควรบำรุงสักหน่อย แต่เมื่อฉุกคิดว่าได้ส่วนแบ่งเสบียงมาแค่นี้ เธอเลยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย มีเสบียงติดบ้านไว้ย่อมอุ่นใจกว่า มีอย่างที่ไหนเอามากินทั้งที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมา!
เจิ้งหยวนอยากกินเกี๊ยวที่เฉินชุ่ยอวิ๋นห่อตั้งนานแล้ว ความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายในชาติที่แล้วคือได้กินเกี๊ยวน้ำฝีมือแม่อีกครั้ง กลับชาติมาเกิดอีกรอบเธอยังไม่มีโอกาสขอเลย
“แม่ ที่บ้านยังเหลือแป้งขาวอยู่หน่อยไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อน้องกับซิงซิงอยากกิน เราก็ทำนิดหน่อย
ไม่ต้องห่อเยอะให้พอหายอยากสิคะ!” เจิ้งหยวนเกลี้ยกล่อม
ก่อนชะงักไปพักหนึ่ง แล้วค่อยจับแขนเฉินชุ่ยอวิ๋นแกว่งเบาๆ
รอยยิ้มเขินอายปรากฏบนดวงหน้าสะสวย “ฉันก็อยากกินเกี๊ยวที่แม่ทำเหมือนกันนะ”
ปกติเฉินชุ่ยอวิ๋นรักเอ็นดูเจิ้งเทียนเลี่ยงกับเจิ้งซิงซิงที่สุด ยิ่งมีลูกสาวเธอมาออดอ้อนเช่นนี้อีก เธอจะไม่ตกลงได้อย่างไร? “งั้น… ก็ห่อกันสักหน่อยจะเป็ไรไป?”
“เย้!” เจิ้งหยวนะโตัวลอย “งั้นฉันไปนวดแป้งเอง แม่ผสมไส้เกี๊ยวนะ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นบอก “ได้” แล้วหันมาถามเด็กๆ “พวกเธออยากกินเกี๊ยวไส้อะไรกัน?”
“กุยช่ายผัดไข่!”
พวกเด็กๆ ตอบเป็เสียงเดียวกัน
เฉินชุ่ยอวิ๋นสั่งการเจิ้งเจวียน “ตกลง งั้นเจวียนจื่อ แกไปตัดกุยช่ายตรงลานบ้านมา”
เมื่อแจกจ่ายหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว ใครจะดูลูก จะนวดแป้ง จะผสมไส้หรืออยากยืนดูก็แยกย้ายกันไป
เจิ้งหยวนอยากให้ทุกคนได้กินเกี๊ยวไส้เนื้อ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจเปิดเผยมิติได้ ทว่าเกี๊ยวกุยช่ายผัดไข่ก็อร่อยเหมือนกัน แถมบ้านยังมีไข่กับกุยช่ายพร้อมสรรพด้วย
เจิ้งเจวียนตัดกุยช่ายเสร็จแล้ว ค่อยกดน้ำมาล้างแล้วหั่นให้พอดี เฉินชุ่ยอวิ๋นหยิบกะละมังเคลือบออกมาสำหรับใช้ผสมไส้ เฉินชุ่ยอวิ๋นรู้จักใช้ชีวิต แข็งใจกินไข่ไม่ลง เลยตอกไข่ใส่ลงไปเพียงสองฟอง เจิ้งหยวนจึงฉวยโอกาสตอนที่เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่สังเกต แอบดึงไข่ไก่ออกจากมิติ ใส่เพิ่มลงไปเงียบๆ
ครั้นผสมไส้เสร็จ เตรียมแป้งเรียบร้อยก็ถึงตาทุกคนล้อมโต๊ะกลมคลึงแป้งห่อเกี๊ยวแล้ว
เด็กๆ ชอบมีส่วนร่วมที่สุด ซิงซิงอยากมาช่วยด้วย แต่เฝิงิเยว่กลัวเธอทำเละ เลยเรียกเจิ้งเทียนิมาแทน “คุณพาลูกไปเล่นเถอะ อีกเดี๋ยวก็ได้กินเกี๊ยวแล้ว”
“ซิงซิง มาเถอะ” เฝิงเทียนิหัวเราะร่า ยื่นแขนไปโอบเด็กหญิง แขนอีกข้างอุ้มหนิวหนิวขึ้นแล้วพาเด็กทั้งสองเดินออกไป
เจิ้งเทียนเลี่ยงกำลังคึกคักเต็มที่ เขาอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ หลังช่วยล้างผักเสร็จเลยวิ่งออกไปเล่น
เฉินชุ่ยอวิ๋นเวลาห่อเกี๊ยวชินกับการบิดขอบเกี๊ยวให้เป็วงกลม ข้างในอัดแน่นไปด้วยไส้ รสชาติอร่อยอย่างยิ่ง ตอนเด็กเจิ้งหยวนชอบกินเกี๊ยวฝีมือเฉินชุ่ยอวิ๋นที่สุด
ทางภาคเหนือหลังห่อเกี๊ยวเสร็จจะวางเรียงบนแผ่นรองให้เรียบร้อย ซึ่งเ้าแผ่นนี้ทำจากก้านข้าวฟ่างแห้งร้อยด้วยด้ายเป็วงกลมทั้งเล็กและใหญ่ ทำใช้กันเองในบ้าน ตลอดบ่ายพวกเธอห่อเกี๊ยวได้ทั้งหมดสามถาด มีประมาณร้อยชิ้น
เวลานี้คนหนึ่งกินกันเยอะมาก ร้อยกว่าตัวอาจจะกินไม่พอด้วยซ้ำ แต่หายอยากก็พอแล้ว
เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า เจิ้งเทียนเลี่ยงก็ะโโลดเต้นกลับมา เขาสะพายตะกร้าไว้บนหลัง พอเจิ้งหยวนรับมาส่องดูก็พบว่ามีปลาไหลนามากมายอยู่ในนั้น!
เฉินชุ่ยอวิ๋นถาม “แกไปจับปลาไหลกับใครมา?”
เจิ้งเทียนเลี่ยงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางบอก “กับพี่ใหญ่ และพวกหงจวินด้วย”
เฝิงิเยว่โมโหทันทีที่ได้ยิน ประจวบเหมาะกับเจิ้งเทียนิเดินเข้าประตูมาพอดี เธอถามขุ่นเคือง “ฉันให้คุณดูลูก คุณไปดูอะไรมา?”
เจิ้งเทียนิเลอะโคลนไปทั้งตัว เขาหัวเราะเผยให้เห็นฟันที่ขาวเรียงเป็ระเบียบ แล้วบอก “ฉันให้เทียนเลี่ยงคอยดูลูกตอนลงบึงโคลนน่ะ น้ำในบึงไม่ลึกด้วย!ไม่เป็ไรหรอก ได้ปลาไหลตั้งเยอะแน่ะ”
เขาเป็มือฉมังด้านการจับปลาไหล เจิ้งหยวนลองแกว่งตะกร้ากะดูคาดว่าข้างในมีปลาไหลนาเจ็ดถึงแปดจินเลยทีเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้