พริบตาเดียว แปดปีผันผ่านดุจความฝันเลือนลาง เด็กสาวน้อยผู้เคยไร้ที่ยืนในตระกูล บัดนี้เติบโตเป็สตรีวัยสิบแปดผู้สง่างาม ฉินเซียนหรู ผู้ที่พลังปราณโอบล้อมกายสูงส่งยิ่งกว่าที่นางเคยมีในชาติภพก่อน อีกทั้งวิชาหลอมโอสถและการแพทย์ต่างแตกฉานถึงที่สุด จนทุกอากัปกิริยาของนางแฝงด้วยความสุขุมของผู้ผ่านประสบการณ์เหนือวัย
“ชีวิตครานี้ ช่างสงบสุขนัก…” นางพึมพำเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ความจริงที่ผู้คนทั้งจวนต่างมองนางว่าเป็เพียงหญิงไร้ค่า ไร้พร์นั้นกลับกลายเป็กำแพงบังสายตา ทำให้นางมีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างที่ใจปรารถนา ไม่ถูกรบกวน ไม่ถูกรั้งรอ
เมื่อก้าวออกจากจวน ฉินเซียนหรูเลือกสวมอาภรณ์ธรรมดา พร้อมหน้ากากปกปิดรูปโฉม แล้วมุ่งตรงสู่ตลาดกลางเมือง ที่นั่น นางตั้งโต๊ะเล็กๆ จัดเครื่องมือรักษาและสมุนไพรเรียงรายอย่างเรียบง่าย
“ขอบคุณท่านหมอ หากมิใช่เพราะท่าน ชีวิตข้าคงสิ้นแล้ว” ชายชราผู้หนึ่งก้มลงคำนับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสั่นเครือและซาบซึ้ง ฉินเซียนหรูเพียงพยักหน้ารับ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กินยาที่ข้ามอบให้ และพักผ่อนให้พอ อีกไม่นานท่านก็จักหายเป็ปกติ”
ดวงตาภายใต้หน้ากากทอประกายอุ่นละมุน มือเรียวของนางวางชีพจรตรวจอาการอย่างละเอียด ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความมั่นใจและเมตตา ยิ่งผู้ป่วยหายเป็ปกติ ความเลื่อมใสก็ยิ่งแพร่สะพัดไปทั่ว ชื่อเสียงของนาง ค่อย ๆ ถูกกล่าวขาน ผู้คนต่างตระหนักถึงฝีมือที่ล้ำเลิศ ทว่ามากไปกว่านั้น คือนางมิได้เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ นอกจากรอยยิ้มแห่งความสุขของผู้ได้รับการช่วยเหลือ
ด้วยความเมตตาที่ฉินเซียนหรูมอบแก่ผู้คน ย่อมไม่อาจสร้างความพึงใจแก่หมอทั้งหลายได้เสมอไป หากแต่มันกลับกลายเป็หนามยอกใจให้ผู้หนึ่งโดยเฉพาะชายวัยกลางคนผู้มีรูปลักษณ์อ่อนโยนดุจผู้มีเมตตา ทว่าเื้ัใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความริษยาและเจตนาร้าย เขาเค้นเสียงออกมาอย่างกดต่ำ“สตรีผู้นั้น…มีเพียงความสามารถเล็กน้อยเท่านั้น อย่าคิดลำพองใจนักเลย”
แท้จริงแล้วความขุ่นเคืองของเขามิได้มีเหตุผลอื่นใด นอกจากความอับอาย คนไข้ที่ฉินเซียนหรูรักษาให้หายเป็คนไข้ที่เคยอยู่ในความดูแลของเขามาก่อน เขารีดเงินทองมาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่อาจรักษาให้หายขาด มีเพียงการถ่วงเวลาเพื่อหลอกกินทรัพย์ไปวัน ๆ ทว่าหญิงสาวผู้นี้กลับไม่เรียกร้องค่าตอบแทนแม้แต่แดงเดียว และสามารถรักษาจนหายสนิท ความจริงนี้จึงเป็เสมือนการตบหน้าต่อหน้าสาธารณชน ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีและขายหน้าต่อคนรุ่นหลัง ในห้องที่อบอวลด้วยเงามืด เสียงทุ้มเ็าของชายอีกผู้ดังขึ้น เขาคือมือสังหารที่โลดแล่นอยู่ใต้รัตติกาล ยึดมั่นเพียงคำว่าจ้าง“ท่านหมอซ่งเจิ้งหยุน… ท่าน้าให้ข้าจัดการนางเช่นไร?”
ซ่งเจิ้งหยุนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น“เ้าจะทำเช่นไรก็ได้… แต่ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีก” ถ้อยคำนั้นหนักแน่น ราวกับเป็คำพิพากษาที่ตัดสินแล้วเรียบร้อย
“ท่านหมอ… ข้าหวังว่าท่านจะไม่คิดใช้งานข้าโดยปราศจากสิ่งตอบแทน”
ซ่งเจิ้งหยุนเหยียดยิ้มบาง แววตาเย้ยหยันพร่างพราย เขามองอีกฝ่ายไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ที่หิวโหย ต้องคอยโยนเศษอาหารให้จึงจะสงบลง น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงความมั่นใจอย่างเหลือร้าย
“เ้าวางใจเถิด ข้าจะปรุงโอสถเสริมสร้างพลังปราณให้กับเ้าเอง” คำพูดฟังดูโอ่อ่าและหนักแน่น ทว่าเื้ักลับเป็เพียงโอสถคุณภาพต่ำ ที่หาได้ทั่วไป หากแต่ราคากลับสูงลิบเป็สิ่งที่เขาใช้มานานเพื่อหลอกล่อผู้คนเช่นเดียวกับในครั้งนี้ มือสังหารยกคิ้วเล็กน้อย ก่อนโน้มกายโค้งอย่างนอบน้อม เสียงทุ้มต่ำลอดออกมาเป็ประโยคสั้น ๆ แต่ชัดเจน
“เช่นนั้น…ขอขอบคุณท่านล่วงหน้า เตรียมรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน” สิ้นคำ ร่างสูงของมือสังหารคลายตัวออก กลายเป็เงามืดที่พลันสลายหายไปกับความมืดรัตติกาล เหลือไว้เพียงเงียบงันในห้อง และรอยยิ้มเจือร้ายบนใบหน้าของซ่งเจิ้งหยุนที่ยังไม่จางหาย
่สายของวัน ฉินเซียนหรูยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายดั่งเช่นทุกครั้ง หลังจากร่วมโต๊ะอาหารกับคนในตระกูล นางก็ออกเดินทางจากจวนเพื่อไปช่วยรักษาผู้คน การลงมือปฏิบัติจริงกลายเป็การฝึกฝนวิชาแพทย์ที่นางยึดถือ เพราะสำหรับนางแล้ว การได้ลงสนามจริง ย่อมล้ำค่ากว่าการจมอยู่ในตำราเพียงอย่างเดียว
ทั้งวันนั้น นางรักษาผู้ป่วยได้ไม่น้อย ใบหน้าผู้ยากไร้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำขอบคุณ จนกระทั่งตะวันคล้อยต่ำ แสงสว่างเริ่มโรยริน นางจึงเก็บข้าวของและออกเดินทางกลับบ้าน ผ่านเส้นทางที่คุ้นชิน ทว่าหัวใจกลับไม่สงบเหมือนเช่นทุกครั้ง ััปราณอันแตกฉานเตือนชัดว่ามีเงาหนึ่งกำลังตามติดนางอยู่
“ใครกัน…ที่แอบติดตามข้า?” นางคิดในใจ สายตาแฝงความเยือกเย็น
อีกฝ่ายยังไม่เคลื่อนไหว เพราะผู้คนยังเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย ฉินเซียนหรูจึงเบี่ยงเส้นทาง เลือกเดินสู่ทางลัดอันเปลี่ยวสงบซึ่งไม่ใช่เส้นกลับตระกูลฉิน เพียงไม่นาน ที่นั่นก็เงียบงัน ไร้ผู้คนสัญจร ในที่สุด เงามืดก็เผยตัวออกมาเบื้องหน้า ร่างสูงใหญ่คลุมชุดดำสนิท แววตาใต้หน้ากากฉายประกายอำมหิต ดั่งอสรพิษที่รอจังหวะฉกเหยื่อ
เสียงแหบห้าวดังขึ้นก้องกลางความเงียบสงัด“สาวน้อย เ้าช่างโชคร้ายนัก หากจะโทษ…ก็คงต้องโทษตัวเอง ที่ทำตัวโดดเด่นเกินไป และชอบสอดมือขัดผลประโยชน์ของผู้อื่น”
ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากบุรุษในเงามืดช่างน่าสะอิดสะเอียน เสียงของมันเจือความกระหายต่ำช้า จนแม้กระทั่งสายลมยามราตรีก็ยังคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ถึงแม้ใบหน้างามของฉินเซียนหรูจะถูกปกปิดด้วยหน้ากาก แต่สายตาหยาบโลนของมันกลับจ้องไล่ไปตามเรือนร่างบอบบางของนางไม่ละ ราวกับกำลังชำแหละเหยื่อด้วยความหิวโหยทางตัณหา
แววตาของฉินเซียนหรูยังคงสงบเยือกเย็น นางเอ่ยถ้อยคำราบเรียบไร้อารมณ์ คล้ายสายลมที่ไม่สะทกสะท้านสิ่งใด“เ้าจงไปให้พ้นเสียเถิด ข้าไม่อยากทำร้ายเ้า”
คำพูดที่แฝงความเมตาและการให้โอกาสอีกครั้ง กลับกลายเป็เชื้อเพลิงแห่งความขบขันในหัวใจของบุรุษผู้นั้น มันหัวเราะหยัน พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ทีละก้าว แววตาเต็มไปด้วยความลำพองใจ
“ฮึ สาวน้อย เ้าช่างไม่รู้จักประมาณตนเลย… เช่นนั้นก็ให้พี่ชายผู้นี้มอบความสุขให้แก่เรือนร่างของเ้าเสียเถิด ก่อนจะสั่งสอนบทเรียนที่เ้าจะไม่มีวันลืมเลือน”
เสียงเหยียดหยามและการเคลื่อนไหวที่เยื้องย่างเข้ามา ทำให้บรรยากาศรอบกายคล้ายถูกกลืนเข้าสู่ห้วงแห่งความมืด เสมือนลูกแกะตัวน้อยกำลังจะถูกอสุรกายล่าเหยื่อ แต่ในความสงัดนั้นดวงตาของฉินเซียนหรูกลับวาววับด้วยแสงแห่งความเ็า… ความเมตาที่มอบให้เพียงครู่หนึ่ง บัดนี้ได้มลายหายไปสิ้น
