“ไอ้หนู ที่นี่ยังมิต้องให้เ้ามาตัดสินใจ!” เลวี่ยเหวินซิวเหลือบตามองคราหนึ่งพลางโบกมือตบออก รังสีฆ่าฟันรุนแรงสลายหายไปทันที ได้ยินน้ำเสียงแค่นแคะดังมาจากภายในลานสำนักกระบี่ิญญา
“ผู้าุโเลวี่ย นี่เป็เื่ราวในสำนักกระบี่ิญญาพวกเรา ท่านลงมือดูเหมือนจะขัดต่อข้อกำหนด” น้ำเสียงเ็าภายในสำนักดังขึ้นอย่างใและขุ่นเคือง
“ให้เจิงฉู่ไฉออกมาพบข้า นี่คือการนัดหมายที่เขาตกลงไว้กับข้า หรือว่าสำนักกระบี่ิญญาของพวกเ้าสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว?” เลวี่ยเหวินซิวโกรธอย่างยิ่ง
“ตาเฒ่าคลั่ง ที่นี่คือสถานที่ของสำนักกระบี่ิญญา มิใช่สำนักบริบาลเดรัจฉานของเ้า!” น้ำเสียงเ็าของเจิงฉู่ไฉดังออกมา
“ข้ามาเพื่อทำให้นัดหมายสำเร็จลุล่วง ไม่ทราบว่าผู้ใดในสำนักกระบี่ิญญาจะมาท้าสู้กับข้า? มาสู้กันเร็วๆ เถิด ข้ายังต้องไปสำนักบริบาลเดรัจฉานเพื่อร่วมพิธีการเปิดประตูรับศิษย์อย่างเป็ทางการอีก” จ้านอู๋มิ่งพูดจบก็ะโขึ้นเวทีต่อสู้ด้านหน้าสำนักกระบี่ิญญา การกระทำและคำพูดของเขา ทำให้บรรดาอัจฉริยะที่เข้าแถวรออยู่ด้านนอกสำนักกระบี่ิญญาต่างพากันมองหน้ากัน นี่คือมหาเทพองค์ใดกันนะ หยิ่งผยองถึงเพียงนี้ ไม่เห็นสำนักกระบี่ิญญาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ไม่ได้มาเพื่อเหยียบย่ำสถานที่ของสำนักกระบี่ิญญาเพียงอย่างเดียว แต่มาเพื่อรับคำท้าของศิษย์สำนักกระบี่ิญญา สำนักกระบี่ิญญากลายเป็ฝ่ายถูกท้าทายจากผู้อื่นั้แ่เมื่อใด อีกทั้งไม่ยอมรับคำท้าจากผู้อื่นด้วย?
อัจฉริยะที่กำลังแถวเ่าั้เริ่มลังเลใจแล้ว คนผู้นี้ดูท่าทางร้ายกาจยิ่งนัก กล่าวว่าอีกสักครู่ยังต้องไปเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉาน สำนักบริบาลเดรัจฉานเป็สำนักที่ไม่ด้อยไปกว่าสำนักกระบี่ิญญา ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานของผู้อื่น กลับกล้ามาให้ศิษย์ทั้งหมดของสำนักกระบี่ิญญาท้าสู้ ดูเหมือนศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานจะร้ายกาจยิ่งกว่า ยังมิทันเป็ศิษย์สำนักอย่างเต็มตัวก็เชิดหน้าเชิดตาถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าเข้าเป็ศิษย์ในสำนักแล้วจะมิใช่เดินส่ายอาดๆ ไปทั่วหรอกหรือ?
อัจฉริยะมากมายที่ยังมิได้ตัดสินใจแน่นอน พลันค้นพบดินแดนซึ่งเป็ความหวังใหม่ รีบเร่งพากันไปต่อท้ายแถวด้านหลังของสำนักบริบาลเดรัจฉานขึ้นมา คนเข้าแถวตรงหน้าสำนักบริบาลเดรัจฉานเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวทันที สำนักอื่นๆ จ้องเขม็งจนตาค้างโง่งมไปแล้ว นี่มันเื่ใดกัน ไอ้หนูนี่พูดจาไม่กี่คำต่อหน้าสำนักกระบี่ิญญาก็เกิดผลลัพธ์มากมายขนาดนี้เชียว
ดวงตาของเจิงฉู่ไฉเขียวไปแล้ว เขาก็คาดมิถึงว่าสถานการณ์จะเป็เช่นนี้ ควรทราบว่าแคว้นจักรวรรดิชางเหยียนตี้กั๋วคือถิ่นของสำนักกระบี่ิญญา เป็สถานที่ตั้งของสำนัก ในบรรดาสำนักใหญ่ไม่กี่สำนัก พวกเขาล้วนรับลูกศิษย์เพิ่มจำนวนมากที่สุดตลอดมา ครู่เดียวกลับถูกสำนักบริบาลเดรัจฉานแซงหน้าไปแล้ว เขาปรารถนาจะสังหารจ้านอู๋มิ่งยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์ยินดีต่อสู้” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะหม่นหมองของเจิงฉู่ไฉ เขาเหลียวกลับไปมอง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยผงกศีรษะ เขาเข้าใจขีดความสามารถของศิษย์ตรงหน้าผู้นี้กระจ่างแจ้ง เป็ศิษย์สายใน เป็ผู้นำในระดับขอบเขตเดียวกัน บรรลุขั้นปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวแล้ว อาจไม่มีหลักประกันว่าจะชนะจ้านอู๋มิ่งแน่นอน แต่ลองหยั่งเชิงฝีมือของจ้านอู๋มิ่งก็ไม่น่าจะเป็ปัญหาใด
ตอนแรกเขาคิดจะส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกไปสังหารทันทีในกระบวนท่าเดียว ไม่ให้โอกาสใดๆ แก่จ้านอู๋มิ่ง อาศัยวิธีการที่รุนแรงที่สุด สนองความท้าทายของไอ้หนูนี่ ย่อมรักษาหน้าตากลับคืนมาได้ ในขณะเดียวกันก็ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ที่กำลังลังเลใจเ่าั้ แต่เขายังไม่ทราบรายละเอียดตื้นลึกหนาบางของจ้านอู๋มิ่ง เขา้าจะดูเช่นกันว่าไอ้หนูที่หยิ่งผยองผู้นี้มีฝีมืออยู่ในระดับใดกันแน่
ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้าจ้านอู๋มิ่ง ยืนประจันหน้ากัน กล่าวอย่างเฉยชา “ผู้น้อยอิ๋นเจี้ยนจื่อ เ้าคือคนที่มุทะลุที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ปรมาจารย์นักยุทธ์เล็กๆ ผู้หนึ่งก็กล้ามาที่สำนักกระบี่ิญญา…อ๊าก…”
“ตูม……”
“เ้าคนต่ำช้า!”
อิ๋นเจี้ยนจื่อยังมิทันพูดจบ หมัดของจ้านอู๋มิ่งก็มาถึงเบื้องหน้าแล้ว จ้านอู๋มิ่งไม่พูดแม้แต่คำเดียว เข้าไปถึงก็รัวหมัดใส่เหมือนพายุฝนฟ้าคะนอง อิ๋นเจี้ยนจื่อผู้น่าสงสาร กระบี่ยังมิทันชักออกจากฝักก็ถูกจ้านอู๋มิ่งระดมชกใส่ กระทั่งพูดจาไม่ต่อเนื่องแล้ว
ระยะห่างประมาณหนึ่งวา จ้านอู๋มิ่งก้าวครั้งเดียวก็ถึงแล้ว ด้วยความเร็วของจ้านอู๋มิ่ง อิ๋นเจี้ยนจื่อไม่มีโอกาสชักกระบี่เลยจริงๆ เนื่องจากจ้านอู๋มิ่งรวดเร็วเกินไป พริบตาที่จ้านอู๋มิ่งรุกเข้าใกล้ สำหรับผู้บ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้แล้วก็คือความหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“ตูม ตูม…” จ้านอู๋มิ่งออกหมัดอย่างบ้าคลั่งร่วมร้อยหมัด ไม่มีระเบียบแบบแผนแม้แต่น้อย อาศัยแต่กำลังดุร้ายป่าเถื่อนและรวดเร็ว ออกหมัดเสียจนวุ่นวาย อิ๋นเจี้ยนจื่อเหมือนเส้นหมี่กองหนึ่งก็มิปาน ร่างกายถูกหมัดครั้งหนึ่ง รูปร่างก็เปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวคราหนึ่ง พร้อมส่งเสียงน่าอนาถคราหนึ่ง เสียง "พัวะ พัวะ" เช่นกระดูกถูกทุบอยู่บนเขียงดังขึ้นได้ยินอย่างชัดเจน
จ้านอู๋มิ่งเฉกเช่นปรมาจารย์าุโที่ตั้งหน้าตั้งตาทำบะหมี่ สองหมัดแปรเปลี่ยนทิศทางอย่างมีกระบวนท่า กระหน่ำชกใส่ร่างอิ๋นเจี้ยนจื่อจากรอบด้าน ไม่มีหมัดใดชกซ้ำลงในจุดเดิม แม้แต่่ขาก็ไม่ละเว้น ดำเนินไปเช่นนี้จนกระทั่งจ้านอู๋มิ่งหายใจยาวๆ คราหนึ่ง พูดอย่างใจเย็นยิ่งนักว่า “เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดหมัด ทุบตีเสร็จแล้วก็เก็บงาน” สองหมัดควงหมุนวนรอบหนึ่งเหนือศีรษะแล้วลดลงข้างกาย แสดงการรวบรวมพลังกลับคืนสู่ตันเถียน แล้วระบายปราณที่ไม่้าในท่วงท่าของการเก็บกระบวนท่า ทั้งหยิ่งผยอง ทั้งองอาจและสงบนิ่ง
ทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้งล้วนเงียบสงัด นอกจากเสียงสัตว์อสูรพาหนะที่มิยอมอยู่นิ่ง คอยส่งเสียงคำรามแล้ว ก็มีแต่เสียงร่างของอิ๋นเจี้ยนจื่อที่เหมือนดินโคลนเหลว ร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง
เลวี่ยเหวินซิวเองก็ตะลึงงัน เขาก็คิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งแสดงตัวก็ลงมือทันที ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว อิ๋นเจี้ยนจื่อแม้แต่กระบี่ก็ยังมิทันชัก เหตุการณ์ทั้งหมดเฉกเช่นจ้านอู๋มิ่งกำลังชกกระสอบทรายดีๆ นี่เอง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
“เ้าคนไร้ยางอาย…”
“ลอบกัด…”
“คนต่ำช้า…” พลันศิษย์สำนักกระบี่ิญญาตระหนักได้แล้ว ก็พากันโกรธขึ้งขึ้นมาทันใด เต้นผางเดือดพล่านพร้อมกับด่าทอกันยกใหญ่
เจิงฉู่ไฉสีหน้าซีดขาวเพราะความโกรธ จ้านอู๋มิ่งผู้นี้สุดแสนจะไร้ยางอายเสียจริง มีอย่างที่ไหนกัน...
จ้านอู๋มิ่งเหลือบมองศิษย์สำนักกระบี่ิญญาคราหนึ่ง พูดอย่างดูแคลนว่า “ขึ้นมาอยู่บนเวทีต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ยังจะกล่าววาจาไร้สาระมากมายเช่นนั้นไปไย? พี่ชายพูดแต่แรกเนิ่นนานแล้วว่าเวลามีจำกัด ต่อยตีรวดเร็วก็แยกย้ายกันได้ไว ข้ามาก็เพื่อรับคำท้าสู้ มิใช่มาต่อปากต่อคำ ะโด่ากันในที่สาธารณะกับพวกเ้าเสียหน่อย แน่นอนว่าพอขึ้นมาก็ต้องลงมือต่อสู้ ในอนาคตถ้าพวกเ้าเจอศัตรู ตนเองเอ่ยปากะโด่าทออยู่ตรงนั้น ผู้อื่นใช้ดาบสังหารเ้า พวกเ้ายังจะรอจนะโด่าเสร็จแล้วจึงค่อยต่อสู้หรือไร?”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งพลันทำให้ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาทุกคนพูดไม่ออก พากันมองหน้ากันไปมา แววตาและสีหน้าเศร้าโศก แต่สิ่งที่ผู้อื่นพูดมาก็มีส่วนถูกและมีความเป็ไปได้ มีเหตุผลและชอบธรรม ท่านไม่สามารถจะโต้แย้งได้ เดิมทีก็ถูกต้องแล้ว คำพูดของจ้านอู๋มิ่งกระจ่างอย่างยิ่ง พี่ชายมาเพื่อตบหน้า ไม่ใช่มาด่าทอหรือโอ้อวดกับพวกเ้า ถ้าจะโทษได้แต่โทษอิ๋นเจี้ยนจื่อที่โง่งมกล่าววาจาไร้สาระมากมายเกินไป ในเมื่อขึ้นไปท้าทายต่อสู้แล้ว แม้กระทั่งกระบี่ก็ยังไม่ชัก อีกทั้งอยู่ใกล้จ้านอู๋มิ่งขนาดนั้น นี่ยังมิใช่รนหาที่ตายอีกหรือ? ผู้อื่นเขาตั้งใจมาเพื่อตบหน้า เ้ากลับเสนอหน้ายื่นหน้าออกไป จะไม่ตบหน้าเ้าอย่างดุดันได้หรือไร
ด้านหน้าสำนักกระบี่ิญญา ไม่ว่าจะเป็คนของสำนักหรือคนที่มาร่วมชมความครึกครื้น มองดูอิ๋นเจี้ยนจื่อบนเวทีคราหนึ่ง ล้วนพากันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบบนใบหน้าแล้ว คนผู้นี้ลงมือโเี้เกินไปแล้ว แปดสิบเอ็ดหมัดทุบจนพี่ชายคนนั้นแม้กระทั่งสารรูปมนุษย์ก็มิใช่อีกต่อไปแล้ว ชกพลางนับว่าชกไปกี่หมัดแล้ว ทระนงตนและฝีมือโเี้ ต่อให้เป็เหล็กก้อนก็จะต้องถูกทุบแบนเป็ขนมเปี๊ยะแผ่นหนึ่ง เห็นสภาพของอิ๋นเจี้ยนจื่อที่นอนแผ่ เกรงว่ากระดูกทั้งตัวคงไม่เหลือชิ้นดีสักชิ้นแล้ว ไม่มีเนื้อหนังที่ยังสมบูรณ์เหลืออยู่เลย ดุจดั่งดินเหลวกองหนึ่งก็ปาน แม้กระทั่งสารรูปของคนก็ไม่มีเหลือ
เลวี่ยเหวินซิวมองดูความสงบนิ่งของจ้านอู๋มิ่งและมองสีหน้าซีดขาวของเจิงฉู่ไฉอีกครั้ง เพลิงโทสะนั่นแทบจะแผดเผาดวงตาเจิงฉู่ไฉจนบอดไปแล้ว เขาพลันรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก ความขุ่นข้องในใจ ในที่สุดก็ได้ระบายออก
“ข้าทราบมาว่าอิ๋นเจี้ยนจื่อผู้นั้น เขาเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาว เคยข้ามรุ่นสังหารราชันามาแล้ว เล่าขานกันว่าเป็ศิษย์อัจฉริยะสายในของสำนักกระบี่ิญญา ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก…”
“ข้าก็จำได้ ปีนั้นในป่าสัตว์อสูร เขาแย่งผลึกอสูรของพวกเราไป ตอนนั้นเขาเบิกบานใจมากแค่ไหน เปี่ยมความทระนงและความเชื่อมั่นยิ่งนัก ในเวลานั้นข้าคิดว่าสำนักกระบี่ิญญาสุดแสนยอดเยี่ยมแล้ว…คิดไม่ถึงว่าอยู่ต่อหน้าจ้านอู๋มิ่งแล้ว แม้แต่โอกาสชักกระบี่ก็ยังมิมี ดูแล้วสำนักกระบี่ิญญาก็เพียงเท่านี้เอง”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ทั้งหน้าตาหล่อเหลาและองอาจยิ่งนัก เป็สัตว์อสูรที่แปลงกายเป็มนุษย์ตัวหนึ่งชัดๆ หากได้มาเป็ราชบุตรเขยจะดีเพียงไหนหนอ” องค์หญิงผู้งมงายในรักนางหนึ่งกรีดร้องเสียงแหลมและพร่ำเพ้อกับเหล่าพี่น้องด้านข้าง
“แม้กระทั่งพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่มี ร้ายกาจเกินไปแล้ว หรือว่าศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนแข็งแกร่งขนาดนี้ทั้งสิ้น? ถ้าหากให้เขาเสริมด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งด้วยละก็...แม้กระทั่งออกหมัดก็ไม่จำเป็แล้ว! แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ยอดเยี่ยมมากจริงๆ! ข้าจะเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉานแน่นอน…”
หลังจากความเงียบถูกทำลาย การวิพากษ์วิจารณ์ในเยี่ยนซานตั้งก็ดังขึ้นตลอดเวลา คำพูดและความคิดเห็นแปลกพิสดารต่างๆ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฟังจนฝ่ายผู้รับสมัครศิษย์ของทุกสำนักนิกายหลักล้วนปากอ้าตาค้าง
คนจำนวนร่วมร้อยมีหลากสีสันหลายประเภท คนจำนวนร่วมหมื่นยุ่งเหยิงวุ่นวาย……ได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์นานาชนิด ฝ่ายผู้รับสมัครศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายหลักมิอาจไม่รู้สึกสะท้อนใจ ล้วนแล้วแต่เป็อัจฉริยะทั้งสิ้น แนวทางวิธีคิดแตกต่างกับคนธรรมดาสามัญโดยสิ้นเชิง
ผู้ที่เบิกบานใจที่สุดในเยี่ยนซานตั้งย่อมเป็สำนักบริบาลเดรัจฉาน ขณะที่เลวี่ยเหวินซิวเห็นชอบที่จะเปิดประตูสำนักให้จ้านอู๋มิ่งเข้าร่วมพิธีการกราบไหว้อาจารย์ รับเป็ศิษย์ของสำนักอย่างเป็ทางการ ยังถูกคัดค้านจากฝ่ายอื่นๆ ภายในสำนัก ยามนี้การแสดงออกของจ้านอู๋มิ่งทำให้พวกเขาสำราญใจนัก เดิมอัจฉริยะเข้าแถวสมัครเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉานมีไม่มาก เวลานี้พลิกกลับเพิ่มขึ้นใกล้สิบเท่าแล้ว คนเหล่านี้เข้าแถวพลางมองจ้านอู๋มิ่งที่ยืนอยู่บนเวทีต่อสู้อย่างหยิ่งผยองไปพลาง เหมือนไก่ชนที่ชื่นชอบการต่อสู้ อกผายไหล่ผึ่ง นี่ก็คือบุคคลตัวอย่างของพวกเขา พวกเขาก็้ากลายเป็บุคคลเช่นนี้ หยิ่งผยอง อหังการ…พวกเขาถึงกับเริ่มต้นคิดว่าหลังจากเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้วจะตีสนิทกับจ้านอู๋มิ่งอย่างไร เดิมทีหญิงสาวส่วนใหญ่้าเข้าสำนักเมฆาอาทิตย์อัสดงและสำนักิญญาเร้นลับประเภทนั้น สำนักบริบาลเดรัจฉานแทบจะไม่มีสตรี ลองคิดดูเถิดว่าหญิงสาวคนใดจะชอบที่วันๆ ต้องสุงสิงอยู่แต่กับสัตว์ป่ากลุ่มหนึ่ง มีทั้งอุจจาระและปัสสาวะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง แต่การปรากฏตัวของจ้านอู๋มิ่ง หญิงสาวบางคนไปยืนเข้าแถวต่อท้ายสำนักบริบาลเดรัจฉานขึ้นมาโดยมิรู้ตัว องค์หญิงที่้าให้จ้านอู๋มิ่งเป็ราชบุตรเขยก็อยู่ในจำนวนนั้น
สีหน้าศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา นอกจากเศร้าโศกก็คือความละอาย จ้านอู๋มิ่งตบหน้าพวกเขาเสียงดังกึกก้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าสำนักนิกายใหญ่ของใต้หล้า การตบหน้าครั้งนี้เ็ปมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่พอใจจ้านอู๋มิ่งเท่านั้น ทั้งยังเกลียดชังอิ๋นเจี้ยนจื่อมากยิ่งกว่า กระทั่งความตั้งใจจะเก็บศพของอิ๋นเจี้ยนจื่อก็ไม่มีแล้ว อิ๋นเจี้ยนจื่อยังไม่ตาย เพราะจ้านอู๋มิ่งไม่้าชีวิตของเขา มิฉะนั้นมิจำเป็ต้องออกหมัดมากขนาดนั้น สามหมัดก็เพียงพอจะสังหารแล้ว
“ผู้น้อยชางลู่จื่อ มาเด็ดชีวิตของเ้า!” ชายหนุ่มร่างผอมสูงะโขึ้น ครั้งนี้ได้เรียนรู้แล้ว โดยไม่ต้องรอให้จ้านอู๋มิ่งพูดก็ชักกระบี่โจมตีทันที เขาไม่้าที่จะซ้ำรอยของอิ๋นเจี้ยนจื่อ แม้จะทึกทักเอาเองว่าวิชากระบี่ดีกว่าอิ๋นเจี้ยนจื่อเล็กน้อย เขาคิดว่าถ้ามิใช่เพราะการโจมตีแบบไร้การป้องกันของอิ๋นเจี้ยนจื่อ จ้านอู๋มิ่งย่อมไม่สามารถทำร้ายอิ๋นเจี้ยนจื่อจนพิการอย่างง่ายดายแน่นอน ดังนั้นขอเพียงรักษาสภาพการเป็ฝ่ายรุกไว้ ก็ไม่ต้องไปเกรงกลัวหมัดของจ้านอู๋มิ่ง
“หยุดก่อน!” จ้านอู๋มิ่งพลันะโขึ้นคำหนึ่ง ทุกคนใวูบ แต่กลับไม่เข้าใจจ้านอู๋มิ่งหมายถึงสิ่งใด กระบี่ของชางลู่จื่อเองก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศ
“สหายของเ้ายังอยู่บนเวที พิการนั้นพิการแล้ว แต่ยังไม่ตาย เ้าในฐานะคนของสำนักกระบี่ิญญา กลับไม่คิดพาลงจากเวทีเพื่อป้องกันไม่ให้โดนลูกหลงหรือ” จ้านอู๋มิ่งชี้ไปทางอิ๋นเจี้ยนจื่อที่กำลังหายใจรวยรินแล้วพูดขึ้นเสียงดังลั่น
ผู้ชมด้านล่างเวทีส่งเสียง "อา" มองชางลู่จื่ออย่างชิงชัง ศิษย์พี่น้องของตนหายใจรวยรินอยู่บนเวที กลับไม่รีบช่วยคน กลับละเลยชีวิตความเป็ตายของพี่น้อง ขึ้นมาก็คิดต่อสู้ทันที ความประทับใจของฝูงชนที่มีต่อสำนักกระบี่ิญญายิ่งตกลงอีกขั้นหนึ่ง เป็ศิษย์ของสำนักนี้ ต่อไปหากรับาเ็สาหัสหรือว่าพิการ เกรงว่าทางสำนักจะปฏิบัติต่อตนเหมือนเช่นแมวและสุนัข ปล่อยให้เขาป้องกันตัวเอง
สีหน้าชางลู่จื่อแปรเปลี่ยน พบว่าเขากระทำผิดอีกเื่หนึ่ง นั่นคือหลงลืมจริยธรรมและคุณธรรมที่สำนักนิกายใหญ่พึงมี ถูกความหยิ่งผยองของจ้านอู๋มิ่งก่อกวนจนสับสนไปแล้ว
ชางลู่จื่ออับจนปัญญา ได้แต่เก็บกระบี่มาถึงข้างกายอิ๋นเจี้ยนจื่อ เห็นสีหน้ามีแต่ความสิ้นหวังของอิ๋นเจี้ยนจื่อ เกิดความรู้สึกโศกเศร้าขึ้นในใจ บทสรุปเช่นนี้ยังมิสู้ตายไปเสีย สำหรับนักยุทธ์แล้ว ร่างกายพิการนั่นก็คือมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย แต่ว่าความเป็ความตายของอิ๋นเจี้ยนจื่อกลับมิใช่ตนเองที่สามารถกำหนดได้ ตนจำเป็ต้องนำคนลงจากเวทีไป ให้เหล่าผู้าุโเ้าสำนักเป็ผู้ตัดสินใจ ดังนั้นจึงเอื้อมมือพยุงอิ๋นเจี้ยนจื่อขึ้น นำเขาไปที่ด้านข้างเวทีต่อสู้ ขณะศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาคนหนึ่งกำลังมารับไป ชางลู่จื่อก็ได้ยินแต่เสียงะโดังๆ ว่า “ระวัง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้