อาการาเ็ขององค์ชายเจ็ดดีขึ้นอย่างมาก เขาฝึกฝนวรยุทธ์มานานหลายปี ร่างกายแข็งแรงกว่าคนธรรมดามาก และหายดีเร็วกว่าคนทั่วไปมาก ได้ข่าวว่าโจวฉี่เยี่ยนก็ฟื้นแล้ว หลังจากนางใส่ยาให้องค์ชายเจ็ดแล้ว ก็ตามเซิงเอ๋อร์ไปที่อวี้เซิงจี
ไม่ผิด หลายวันมานี้เป็ไปดังคาด พระชายาขององค์ชายเจ็ดกลับบ้านเดิมตามคำสั่งขององค์ชายเจ็ด ส่วนนางก็พาเซิงเอ๋อร์มาทำการรักษาให้องค์ชายเจ็ดด้วยทุกครั้ง กระสายยาที่ดีที่สุดก็คือผู้ที่ใจรักที่สุด องค์ชายเจ็ดไม่คิดจะหายเร็วก็ยังยาก
“พี่โจว เ้าอย่าได้ขยับ เ้าพึ่งตื่นขึ้นมา การออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้าแเปิดออก ยังคงนอนลงจะดีกว่า ” ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์มาถึงที่ห้องนั้น โจวฉี่เยี่ยนกำลังอ่านหนังสือ เมื่อเห็นนางเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแต่ถูกหยุดไว้
เริ่มจากตรวจชีพจรให้เขาก่อน จากนั้นก็ดูาแสองสามแห่งบนร่างของเขา พบว่าล้วนฟื้นฟูได้ไม่เลว นางหันสายตามามองเซิงเอ๋อร์อย่างขอบคุณ “องค์ชายเจ็ดทรงใส่พระทัยแล้ว ท่านหมอท่านนี้มีทักษะทางการแพทย์ที่สูงส่ง พี่จูฟื้นฟูได้ดีมาก”
“ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้น” เซิงเอ๋อร์โค้งริมฝีปากยิ้มบาง หลายวันมานี้สามารถเห็นองค์ชายเจ็ดทุกวัน ทำให้ความเ็ปในจิตใจของนางถูกปลอบประโลมไปไม่น้อย แม้จะรู้ว่า ทันทีที่เหยียหายเป็ปกติอย่างสมบูรณ์ ก็ไม่อาจคอยเคียงข้างกายตลอดเวลาเช่นในยามนี้ได้อีก แต่นางก็พึงพอใจอย่างเต็มที่แล้ว
“พวกท่านค่อยๆคุยกัน ข้าจะไปที่ห้องครัวหาของกินมาซักหน่อย”
มองเซิงเอ๋อร์จากไป หลิงมู่เอ๋อร์รีบหันศีรษะมาดูโจวฉี่เยี่ยน “ที่แท้เื่ราวเป็อย่างไรกันแน่ เ้ารู้หรือไม่ ครั้งนี้เ้าอีกนิดเดียวเ้าเกือบไปยมโลกแล้ว หรือแม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ไม่รู้ว่า ไท่จื่อได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อน?”
โจวฉี่เยี่ยนรู้ว่าที่หลิงมู่เอ๋อร์อยากถามคือสิ่งใด ส่ายหัวว่า “องค์ชายเจ็ดมิใช่คนเช่นนั้น ครั้งนี้เป็พวกเราดูเบาไท่จื่อ คิดไม่ถึงว่าเขาได้วางตาข่ายฟ้าดินไว้ก่อน มียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย แต่ว่ามู่เอ๋อร์ ต้องขอบคุณผงลวงตาและยาลูกกลอนที่เ้ามอบให้ข้าคราวก่อนอย่างมาก เ้าได้ช่วยข้าไว้อีกครั้งแล้ว”
วันนั้น เขาทำตามแผนการขององค์ชายเจ็ด ลอบเข้าไปในตำหนักรัชทายาทเพื่อวางยาไท่จื่อ ใครจะคาดว่าคนพึ่งจะลงสู่พื้นของตำหนักรัชทายาท แหเหล็กผืนหนึ่งก็ครอบลงมา หากมิใช่เพราะเขาพริ้วหลบได้ทัน ก็ถูกจับทั้งเป็ไปนานแล้ว ในยามที่เขาเตรียมจะหนีนั้น รอบกายก็มีมือสังหารปรากฏขึ้นมากมาย ผู้เป็หัวหน้ายิ่งมีวรยุทธ์เหนือกว่าผู้อื่น
คนผู้นั้นฝีมือไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่าล้วนปลิดชีพ กระบี่ที่อกนี้ก็เป็เขามอบให้
ในยามที่เขาเกือบจะถูกจับได้นั้น ก็นึกถึงผงลวงตาที่มู่เอ๋อร์มอบให้เขาขึ้นมาได้ จึงได้ถอนตัวออกมาได้สำเร็จ เพียงแต่หากคิดลงมือทำร้ายไท่จื่ออีกครั้ง กลัวว่าคงยากกว่าเดิมแล้ว
“เดิมองค์ชายเจ็ดก็มิได้หวังให้เ้าสังหารไท่จื่อ หากไท่จื่อไม่ตาย เขายังมีโอกาสได้แข่งขันกับเขาอีกครั้ง เพื่อสืบทอดบัลลังก์อย่างถูกต้อง หากสิ้นชีพแล้ว ฝ่าาย่อมให้คนตรวจสอบ ทว่า หลังจากเื่นี้ คิดว่าเขาคงยิ่งเชื่อใจเ้า ”
สำหรับการวิเคราะห์ของหลิงมู่เอ๋อร์ โจวฉี่เยี่ยนแสดงออกว่าเห็นด้วย “ใช่ ไม่เช่นนั้นองค์ชายเจ็ดคงมิให้หมอประจำกายของเขามารักษาข้า ข้าสามารถเป็คนสนิทของเขาได้ สำหรับการแก้แค้นในอนาคตของข้าแล้วมีประโยชน์อย่างมาก ”
สำหรับหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยก็พอ ส่วนเื่การแก้แค้นนั่นเป็เื่ส่วนตัวของเขา นางไม่มีสิทธิ์ไปให้เขาปล่อยวางความแค้นลง
“พี่โจว มีเื่หนึ่งไม่ทราบว่าเ้ารู้หรือไม่” หลิงมู่เอ๋อร์คิดไปคิดมา ยังคงตัดสินใจลองเลียบเคียงถามดู “พี่บุญธรรมของข้า ซั่งกวนเซ่าเฉิน ท่านรู้เื่เกี่ยวกับเขามากน้อยเพียงใด?”
มิใช่ได้ยินว่าคนทั้งสองจะแต่งงานกันแล้วหรือ? หรือว่าภายนอกเกิดเื่ใดที่เขาไม่รู้ขึ้นมา
“เกิดสิ่งใดขึ้น เป็เขาผิดต่อเ้าใช่หรือไม่?” โจวฉี่เยี่ยนเปลี่ยนเป็ประหม่ากังวลในเสี้ยววินาที
เห็นอารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านไม่สงบเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์รีบอธิบาย “ไม่มีสิ่งใด เป็เพราะพวกเราจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจในตัวอีกฝ่าย ข้าเพียงอยากดูว่า พี่ใหญ่มีเื่ที่ปิดบังข้าหรือไม่”
นางแสร้งทำท่าทีเขินอายของหญิงสาว ทำให้โจวฉี่เยี่ยนมองจนตาค้าง จึงมิได้คิดไปในทางร้าย “หากมิใช่ติดตามองค์ชายเจ็ด ก่อนหน้านี้ข้ามิได้รู้จักซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นี้มาก่อน ก่อนนั้นในยามที่ข้ายังมิได้จากเมืองหลวงไป ในราชสำนักก็ไม่มีคนผู้นี้ ได้ยินองค์ชายเจ็ดกล่าวว่า คนผู้นั้นวรยุทธ์เลิศล้ำ เคยช่วยชีวิตฝ่าา จึงถูกฝ่าารั้งไว้ข้างกายรับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ”
โจวฉี่เยี่ยนไม่รู้สิ่งใดมากนัก เพราะคนผู้นี้มิใช่ศัตรูคู่แค้นของเขา เขาไม่มีความจำเป็ต้องไปทำความเข้าใจ “แต่จากการบรรยายขององค์ชายเจ็ด ซั่งกวนเซ่าเฉินคนผู้นี้มีนิสัยสันโดษเ็า ไม่ชื่นชอบสตรี หากมิใช่ข้าเห็นด้วยตาของตนเองว่าเขาปฏิบัติต่อเ้าอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ข้ายังถึงกับจะคิดว่าเขา…เป็พวกตัดแขนเสื้อ[1]”
หลิงมู่เอ๋อร์พ่นหัวเราะออกมาอย่างขำขัน คิดไม่ถึงว่าพี่โจวผู้สงบเยือกเย็นเสมอมา ยังมีด้านที่ไม่จริงจังล้อเล่นเช่นนี้ด้วย
“แต่ว่า ข้าได้ยินว่า่ก่อนตำหนักขององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์มีงูมาชุมนุม องค์หญิงถึงกับถูกงูกัดได้รีบาเ็ เื่นี้เป็เ้าทำหรือ?”
“คิดไม่ถึงว่าเ้าที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ข่าวสารกลับทั่วถึงเพียงนี้?” ในก้นบึงของดวงตาหลิงมู่เอ๋อร์มีประกายความภาคภูมิใจวาบผ่าน “ไม่ผิด นางมาหาเื่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขนาดวางยาพิษข้า หากข้ายังไม่โต้ตอบอีก คิดว่าข้าเป็พวกกินมังสวิรัติหรือ คิดว่าภายในครึ่งปีนี้ นางคงไม่กล้าออกมาก่อเื่แล้ว”
วันถัดมาหลังจากงูบุก นางก็ได้ยินขุนนางใหญ่บางคนที่มารับการรักษาพูดถึงเื่นี้ ได้ยินว่าในคืนนั้น องค์หญิงถูกงูพิษสามตัวกัด จากนั้นไข้ขึ้นสูงไม่ลดติดกันตลอดสามวัน แม้ว่าสุดท้ายจะช่วยชีวิตน้อยๆกลับมาได้ แต่คนกลับเกือบจะถูกทำให้ใจนเสียสติไปแล้ว ได้ยินว่าเห็นอะไรก็ดูเหมือนงู ทั้งวันเอาแต่ดุด่าบ่าวรับใช้ มิเช่นนั้นก็นั่งกอดแขนเหม่อลอย กลางคืนยิ่งไม่กล้าเข้านอนเพียงลำพัง
ฝ่าาเมื่อได้ยินก็พิโรธอย่างหนัก ส่งคนไปตรวจสอบเื่นี้ แต่นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วยังไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเป็เพราะยาของนางไร้สีไร้กลิ่น ในยามที่วางยานั้น ภูติเทพไม่อาจรับรู้ ต่อให้พวกเขาตรวจสอบไปจนชั่วกัลป์ ก็ไม่มาทางสืบเสาะสิ่งใดออกมาได้
“นางล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ควรจะให้นางได้โดนดีบ้าง แต่ว่ามู่เอ๋อร์ ภายหน้าหากมีเื่เช่นนี้อีก มอบให้ข้าก็พอ ครั้งนี้ไม่ถูกคนพบเข้าถือเป็โชคอย่างมาก ครั้งที่สองก็โชคดีเช่นนี้แล้ว”
อย่างไรซะเขาก็แบกหนี้โลหิตและความแค้นของตระกูลไว้อยู่แล้ว เพิ่มศัตรูมาอีกคนไม่ถือว่ามาก ส่วนหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์จับจุดอ่อนไว้ไม่ได้ แต่หากครั้งหน้าถูกคนพบเข้า ชาวบ้านสามัญธรรมดาจะมีความสามารถไปรับมือกับองค์หญิงได้อย่างไร
ชีวิตของเขาเป็นางช่วยไว้ จะมอบคืนให้นางเมื่อใดก็มิใช่เื่ใหญ่อะไรนัก
“ขอบคุณเ้า พี่โจว”
ฝีมือของเซิงเอ๋อร์ดีมาก ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่คิดจะดึงตัวนางไปเป็แม่ครัวที่ร้านอาหารแล้ว
ดื่มกินอย่างอิ่มหนำ เดิมเซิงเอ๋อร์ยังคิดจะรั้งนางไว้พูดคุยเล่น แต่หลิงมู่เอ๋อร์รีบจะไปที่ตำหนักของไท่จื่อเฟย จึงได้บอกลาพวกเขา
ระหว่างทาง รถม้าคันหนึ่งพลันขวางอยู่ตรงกลางทาง ทำให้ม้าของหลิงมู่เอ๋อร์ได้รับความตื่นตระหนก เท้าม้ายกลอย นางที่นั่งอยู่ภายในรถเกือบจะถูกสะบัดออกไป เมื่อเปิดม่านขึ้นจึงเห็นว่าเบื้องนอกมีคนที่คุ้นเคยยืนอยู่ผู้หนึ่ง
“ท่านหมอหลิง เหล่าฟูเหรินของพวกเรา้าพบท่าน ยังขอเชิญท่านลดตัวตามข้าไปซักครั้ง”
ขวางคนบนถนนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเื่จำเป็ หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้คัดค้านสิ่งใด
จวนจวิ้นอ๋อง ซูเหล่าฟูเหรินกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัว ก็รีบลุกขึ้นมาจับข้อมือของนาง ท่าทีสนิทสนมราวกับได้เห็นหลานสาวแท้ๆของตนเองกระนั้น
“เ้าสาวน้อยคนนี้ ่นี้ยุ่งเหลือเกิน หากมิใช่ข้าส่งคนไปเชิญ กลัวว่าคงยังเชิญเ้ามิได้กระมัง ให้ข้าลองนับดู หญิงชราผู้นี้มิได้พบเ้ามากี่วันแล้ว?”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันซูเหล่าฟูเหรินได้ส่งคนมาเชิญนางที่โรงหมอจริงๆ แต่ในยามนั้นเป็วันแรกที่นางแขวนป้ายที่ฝ่าาประทานมาให้ขึ้นไปพอดี นางที่มีคนรุมล้อมเต็มไปหมดไม่อาจปลีกตัวออกไปได้จริงๆ อีกทั้ง ยังไม่ถึงเวลารักษาอาการให้สตรีวิปลาสนางนั้น นางจึงให้ซางจือปฏิเสธไปแล้ว คิดไม่ถึงว่า วันนี้ซูเหล่าฟูเหรินจะให้มัวมัวประจำกายใช้วิธีนี้มาเชิญคน
“เหล่าฟูเหรินโปรดอภัยด้วย เป็เพราะช่วยนี้ไม่อาจดูแลได้จริงๆจึงมิได้มาอย่างทันท่วงที หรือว่าคนผู้นั้นมีอาการใดขึ้นมากระทันหันหรือเ้าคะ?”
ผู้เป็แพทย์มีจิตใจกรุณา การตอบสนองแรกของหลิงมู่เอ๋อร์ก็คือสภาพอาการของหญิงวิปลาสนางนั้น ตามการให้ความสำคัญของเหล่าฟูเหรินที่มอบให้นาง หากมิใช่หญิงวิปลาสนางนั้น นางก็คิดไม่ออกจริงๆว่า ยังมีความเป็ไปได้อื่นใดอีกที่ทำให้พวกเขาหยาบคายเช่นนี้
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์หมุนตัวเดินไปทางเรือนร้าง ซูเหล่าฟูเหรินรีบจับแขนของนางไว้ ใช้สายตาห้ามไว้ “มิใช่นาง เป็ข้า”
เหล่าฟูเหรินสีหน้าแดงเปล่งประกาย ดูแล้วไม่เหมือนสุขภาพมีปัญหา หลิงมู่เอ๋อร์เบิกตากว้างแสดงท่าทางของสาวน้อยขี้สงสัย
ซูเหล่าฟูเหรินมองซ้ายขวา เหล่ามัวมัวรีบบอกให้ทุกคนถอยออกไป ในห้องโถงและบริเวณสิบหมี่[2]โดยรอบมีเพียงพวกนางสองคนเท่านั้น
“สาวน้อย มีเื่หนึ่งเ้าจะต้องตอบข้ามาตามตรง วันนั้นในวังหลวง เ้าพูดสิ่งใดกับหวางโฮ่วไปบ้าง?”
ที่แท้ในวังหลวงก็มีคนของนางเช่นกัน แขนของซูเหล่าฟูเหรินผู้นี้ยืดออกไปได้ยาวพอเหลือเกิน
หลิงมู่เอ๋อร์สีหน้าแข็งกระด้าง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจนัก
หากไม่มีเื่การดูตัวและเื่สตรีวิปลาส บางทีนางอาจไม่รู้สึกต่อต้านซูเหล่าฟูเหรินมากถึงเพียงนั้น เพราะอย่างไรคนผู้นี้ก็มีหน้าตาที่ดูมีใจดีเมตตา ดูสนิทสนมราวกับท่านย่าแท้ๆกระนั้น
แต่เมื่อประสบกับเื่ที่มีผลประโยชน์กับตน นางก็เปลี่ยนจากทูต์กลายเป็ปีศาจร้าย และก็เป็นางที่ดึงนางเข้ามาสู่วังวนนี้อย่างแข็งกร้าว ในใจของนางจะปลอดโปร่งได้อย่างไร?
“ซูเหล่าฟูเหริน ข้าไม่รู้จักหวางโฮ่วอะไร และก็ไม่รู้ว่าที่ท่านพูดมีความหมายใด หากมิใช่ผู้ป่วยคนนั้นมีอาการใดแล้วล่ะก็ ข้าก็ขอลาก่อนแล้ว ไท่จื่อเฟยยังรอข้าอยู่ในวังหลวง”
สีหน้าของซูเหล่าฟูเหรินไม่ดีเป็อย่างมาก “ไท่จื่อเฟยเป็ข้าที่แนะนำให้เ้ารู้จักกับนาง อาการของนางข้าก็รู้อย่างชัดเจนดี หากนางรู้ว่าเ้าอยู่ที่นี่ จะต้องไม่สร้างความลำบากใจให้แน่ เ้าวางใจเถิด ข้ายังคงเป็คำพูดเดิม เื่ที่เ้าพบหน้ากับหวางโฮ่วในวังหลวงถูกสายลับของข้าเห็นอย่างชัดเจน นางพูดสิ่งใดกับเ้าเป็การส่วนตัว ทางที่ดีที่สุดเ้าจงบอกมาตามตรง เ้าวางใจ ไม่ว่าจะคิดถึงไมตรีเก่าก่อนหรือเห็นแก่หน้าของเช่อเอ๋อร์ ข้าล้วนจะไม่สร้างความลำบากใจให้แก่เ้า”
แต่หากนางไม่ให้ความร่วมมือเล่า หลังจากที่นางช่วยสตรีวิปลาสจนหายดีแล้ว ซูเหล่าฟูเหรินจะเอาชีวิตน้อยๆของนางหรือไม่?
“เหล่าฟูเหริน คนผู้นั้นมิได้พูดสิ่งใดกับข้าจริงๆ หากมีสิ่งใดแล้วล่ะก็ ในยามนี้ข้าจะยังอยู่ตรงนี้อีกหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามกลับ นางที่สงบลงแล้วมิได้โมโหถึงเพียงนั้นนานแล้ว เพราะนางคิดว่า ไปโมโหผู้ที่ไม่มีความสำคัญ ช่างเป็การสิ้นเปลืองเวลา
ซูเหล่าฟูเหริน ครู่หนึ่งก็หัวเราะอย่างเป็สุข เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
“สาวน้อย เดิมข้าไม่มีเจตนาจะดึงเ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หญิงชราผู้นี้ก็รู้มานำคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเลยเช่นเ้าเข้ามาเป็เื่ที่อันตรายมากเพียงใด แต่ที่ข้าสามารถเชื่อใจได้ก็มีเพียงเ้าเท่านั้น. เ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมและมีจิตใจการุณของผู้เป็หมอ มีเ้ามาช่วยรักษานางเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด แน่นอนว่า ภายหน้าหากหวางโฮ่วกล่าวสิ่งใดกับเ้าจริงๆ ข้าหวังว่าเ้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์แต่ก่อนที่มีกับข้า สามารถบอกข้า”
ซูเหล่าฟูเหรินเป็คนที่ชาญฉลาด แล้วหลิงมู่เอ๋อร์มิใช่หรือ ทุกครั้งในยามที่รักษาอาการให้สตรีวิปลาส นางล้วนพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ไท่จื่อมิได้มีข้าเป็ผู้ให้กำเนิด’ ผู้พูดมิได้เจตนา แต่ผู้ฟังกลับมีใจ เพียงคิดอย่างละเอียดก็สามารถรู้ได้ถึงฐานะที่แท้จริงของคนผู้นั้น
ซูเหล่าฟูเหรินยืนกรานจะรักษานางให้หายเพื่อโจมตีผู้ใด เดาได้ไม่ยาก แต่หากหลิงมู่เอ๋อร์ร่วมมือกับท่านผู้นั้นในวัง จึงจะเป็เื่ที่แย่ที่สุด
“ขอบคุณที่เหล่าฟูเหรินเชื่อมั่น แต่เมื่อครู่ มู่เอ๋อร์พลันตัดสินใจเื่หนึ่ง ทันทีที่รักษาผู้ป่วยนางนั้นจนหาย ข้ากับจวนจวิ้นอ๋อง จะไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก รวมท่าน และรวมถึงจวิ้นอ๋องน้อยด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์ทิ้งคำพูดไว้ นางเตรียมตัวจากไป คำพูดแ่เบาตามมากับการหมุนตัว“แน่นอน ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ข้าไม่รู้จักหวางโฮ่ว”
[1] พวกตัดแขนเสื้อ หมายถึง บุรุษที่ชอบบุรุษด้วยกัน
[2] หมี่ = เมตร