วันถัดมา โหยวเสี่ยวโม่ลุกแต่เช้าตรู่ด้วยร่างกายกระปรี้กระเปร่า
เมื่อคืนเขาหลอมยาไปราวสามชั่วยาม ทว่าอาศัยพลังจากน้ำปราณ อีกทั้งผลลัพธ์ยังออกมาดีเยี่ยมด้วย ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอ่อนล้าแต่อย่างใด จากนั้นจึงออกไปรวมตัวกับทุกคนที่หน้าห้องฝั่งตะวันตก
่ที่อาจารย์จ้าวกำลังแบ่งจำนวนคน หลิงเซียวก็ปรากฏตัวขึ้น ตรงเวลาพอดิบพอดี
เมื่อเห็นหลิงเซียว ศิษย์ทัพพิภพล้วนแปลกใจ คราวก่อนที่หลิงเซียวไปโรงอาหารทัพพิภพ แต่ไม่ใช่ว่าจะเห็นกันทุกคน คนส่วนใหญ่จึงมีภาพจำเกี่ยวกับหลิงเซียวเฉพาะในข่าวลือ
ทว่าพอนึกถึงข่าวลือ่ก่อน ทุกคนก็หันไปทางโหยวเสี่ยวโม่ หลิงเซียวมาโผล่ที่นี่ คงมาหาโหยวเสี่ยวโม่แน่นอน!
“อาจารย์ลุงจ้าว” หลิงเซียวถึงแม้ตั้งใจแค่มารับตัวโหยวเสี่ยวโม่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นข้ามหัวจ้าวเจิน
แม้ว่าพูดถึงในแง่ตำแหน่งเขาแล้ว จ้าวเจินไม่มีค่าพอจะอยู่ในสายตาเขาก็ตาม ทว่าหลินเซียวคนก่อนที่ผ่านมาแม้จะมีนิสัยอวดดี แต่กับผู้าุโก็แสดงความนอบน้อมมาตลอด เห็นได้ว่าเขาแค่เสแสร้งทำตัวเป็หลินเซียว นิสัยเปลี่ยนมากไปก็ไม่ได้
จ้าวเจินเองก็เคยได้ฟังเื่ราวของโหยวเสี่ยวโม่กับหลินเซียวมาบ้าง ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
แต่พอเห็นหลินเซียวมาด้วยตัวเองเช่นนี้ แล้วมองท่าทีศิษย์คนอื่นๆ ที่กำลังมองไปยังโหยวเสี่ยวโม่ ก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง แม้ในใจจะรับรู้ได้ แต่หาได้แสดงออกชัดเจน จึงเอ่ยถาม “ศิษย์หลานหลินมารับตัวคนหรือ?”
หลิงเซียวมุมปากยิ้มขึ้น เอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่ปิดบังอาจารย์ลุงจ้าว ข้ามารับตัวศิษย์น้องเล็กโหยวขอรับ”
โหยวเสี่ยวโม่ที่ยืนท่ามกลางทุกคนถึงกับตากระตุก แม้จะมารับเขาจริง แต่ก็ไม่จำเป็ต้องย้ำคำว่า เล็ก ก็ได้ แม้ว่าเขาจะยังไม่โตเป็ผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ก็ใช่ว่าจะเล็กสุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในนี้ ในกลุ่มนี้ยังมีคนที่เด็กกว่าเขาปีเดียว
“พอดีเลย ศิษย์หลานฝูก็จะไปด้วย ถ้าศิษย์หลานหลินไม่ว่าอะไรล่ะก็ ขอฝากศิษย์หลานฝูไปหอสายกลางด้วยเลย จะได้หรือไม่?”
จ้าวเจินผงกหัว มีหลินเซียวไปด้วยก็เบาใจ ฉะนั้นจึงไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังฝากฝังฝูจื่อหลินไปด้วยอีกทาง หากพูดถึงคนที่เขาเป็ห่วงที่สุดคือฝูจื่อหลิน แม้ปกติจะไม่ใช่คนเ้าอารมณ์อะไร แต่ก็เป็ศิษย์ที่หัวดื้อมาก
“ยินดีขอรับ” หลิงเซียวเอ่ยพร้อมยิ้มหวาน คำขอของจ้าวเจินเขาคาดคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ฟางเฉินเล่อ จะเป็ใครก็ได้
จ้าวเจินวางใจทันใด จึงขานเรียกทั้งสองคนออกมา
สายกลางนั้นไม่เหมือนกับอีกสี่สาย ที่นั่นมีกฎระเบียบมากมาย บรรยากาศแสนเข้มงวด ถือมากกับเื่การสอดแนมเื่ราวภายในและพวกพูดพล่อยๆ ดังนั้นเรียกพวกเขามากำชับ เมื่อเข้าไปด้านในห้ามทำอะไรเกินหน้าที่ ต้องเชื่อฟังคำผู้าุโ ย้ำไปทั้งหมดสองรอบ
ฝูจื่อหลินยังคงท่าทีเ็า เพียงแต่พยักหน้ารับเบาๆ ท่าทีแสดงออกเพียงน้อยนิด แต่จ้าวเจินก็รู้ว่าเขาฟังเข้าหัวแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่นั้นกลับกัน ไม่กล้าแสดงท่าทีนิ่งเฉยเหมือนฝูจื่อหลิน เมื่อเขาพูดจบ ก็รีบผงกหัวถี่ๆ พร้อมเอ่ยตอบรับว่ารับทราบแล้ว
เมื่อเห็นเขาตกปากรับคำ จ้าวเจินจึงวางใจปล่อยพวกเขาไปกับหลิงเซียว
จากนั้นทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าสู่หอสายกลาง ในตอนนี้การประลองยังไม่เริ่ม
โหยวเสี่ยวโม่เดินอยู่ตรงกลาง คิดผิดเหลือเกินที่อยู่ตำแหน่งนี้ ด้านซ้ายเป็ูเาน้ำแข็งเดินได้ แผ่ไอเย็นซ่านออกมาเป็ระยะ ส่วนด้านขวาก็เป็จิ้งจอกที่หุ้มหนังแกะ สามารถแปลงร่างเป็ปีศาจได้ทุกเมื่อ
เมื่อครู่ไม่ทันได้คิด สุดท้ายมันช่างเศร้านัก จนเมื่อนึกได้อยากสลับตำแหน่ง หลิงเซียวหรี่ตามองเขาเป็พักๆ ทำเอาเขาตัวแข็งไม่กล้าขยับ จะย้ายตำแหน่งหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จึงได้แต่เดินอย่างเก้อๆ จนถึงหอสายกลาง
สายกลางนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาของเขาอู๋ซวง เขาลูกนี้ตั้งอยู่ด้านหลังทั้งสี่สาย ถัดจากนั้นไปอีกก็เป็ทะเลเมฆที่ทอดไกลลิบสุดสายตาอยู่เื้ั
ทางที่หลิงเซียวพาพวกเขาไปเป็ทางลัดเปลี่ยว จึงไม่พบเจอศิษย์คนอื่นระหว่างทาง จากนั้นมาหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าูเาใหญ่โต บนประตููเานั้นแขวนแผ่นป้ายสีดำผสมทองแดง บนแผ่นป้ายสลักตัวอักษรดูมีพลังอำนาจไว้ว่า ‘สายกลาง’ สองคำ พลังไม่ใช่ธรรมดา คนที่พลังอ่อนแอเห็นเข้าคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
คนที่เขียนสองคำนี้ดูท่าว่าจะเป็นักฝึกตนที่พลังสูงส่ง โหยวเสี่ยวโม่เพียงแค่มองปราดเดียวทำเอาจิตใจสั่นไหวอยู่ชั่วครู่
ทว่าเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีพลังฝึกตนอะไร แต่พลังปราณของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก นี่เกี่ยวข้องกับการที่เขาฝึกวิชายุทธ์จาก คัมภีร์ิญญา์ ถ้าเปลี่ยนเป็ศิษย์คนอื่นอาจจะไม่เหมือนเขาก็ได้
ฝูจื่อหลินเป็นักหลอมโอสถขั้นสี่ ปราณิญญาเข้มแข็งกว่าโหยวเสี่ยวโม่ พลังจากอักษรสองคำนี้ไม่อาจทำอะไรเขาได้
สำหรับหลิงเซียว อย่าว่าแต่ทำให้เขาเกรงกลัวเลย กลับกันคนที่เขียนตัวอักษรนี้ไม่กลัวเขาจนถอยหนีก็ดีมากแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่พลันส่ายหัวจนสะบัดความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะกับสายตาของหลิงเซียวที่จ้องเขาอยู่ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีอะไร เมื่อเห็นเขาไม่เป็อะไรจึงละสายตาออก จากนั้นโหยวเสี่ยวโม่เห็นหลิงเซียวหยิบแผ่นป้ายสีดำออกมาจากอก หันเข้ากับช่องประตู จากนั้นโยนเข้าไป
อากาศธาตุตรงจุดนั้นเปลี่ยนเป็ผืนน้ำวนเป็คลื่นระลอก แผ่นป้ายสีดำนั่นราวกับถูกโยนลงไปในบึงน้ำ ถูกน้ำวนกลืนหายไป ภาพเหตุการณ์เช่นนี้โหยวเสี่ยวโม่เคยเห็นที่หอคัมภีร์
ขณะที่เขาจะหยิบตำราจากชั้นวางก็ต้องใช้แผ่นป้ายเช่นนี้ จนท้ายสุดหยิบมันลงมาได้สำเร็จ ชั้นวางตำราถูกลงอาคมป้องกันไว้ หากว่าไม่ได้รับแผ่นป้ายจากผู้เฒ่าที่เฝ้าหอคัมภีร์ แม้จะเข้าไปให้ก็เอาตำราจากชั้นวางไม่ได้ และจะถูกจับได้ด้วย
เหตุการณ์เช่นนี้ น่าจะเป็อาคมเช่นกัน แผ่นป้ายสีดำเมื่อครู่คงเป็กุญแจเปิดประตูอาคม
เมื่อโหยวเสี่ยวโม่พบเจอบ่อยเข้า ก็เริ่มชินกับเื่แปลกตาแบบนี้บ้างแล้ว ถึงอย่างไรเื่ราวที่นี่ล้วนเหนือความคาดหมายทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยเรียนมาทั้งหมดในชาติที่แล้ว ถ้าต้องใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายเื่ราวเหลือเชื่อทั้งหมดนี่ สู้เอามีดมาปาดคอฆ่าตัวตายเสียยังจะง่ายกว่า
แม้ประตููเาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้ว่าสามารถเข้าไปได้แล้ว
ฝูจื่อหลินหาได้รอหลิงเซียวเอ่ยขึ้น แล้วเดินนำเข้าไปก่อน
โหยวเสี่ยวโม่เตรียมรีบเดินตามเข้าไป ทว่านึกถึงตำแหน่งยืนที่น่าอึดอัดก่อนหน้าจึงโลเล แต่เพียงครู่เดียว แต่ก็ถูกแรงดันที่ไม่อาจต้านได้มาขวางไว้ กลิ่นกายที่คุ้นเคยเตะเข้าจมูก ถ้าไม่ใช่หลิงเซียว จะเป็ใครได้อีกล่ะ
“ศิษย์น้องเล็กที่รัก ถ้าเ้าไม่อยากเดินเอง จะให้ข้าอุ้มก็ได้นะ” เสียงหัวเราะยิ้มกริ่มดังเหนือหัวลงมา
โหยวเสี่ยวโม่จินตนาการภาพที่ถูกหลิงเซียวอุ้ม ตกตะลึงจนขนลุกซู่ นี่มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว รีบเดินขวักไขว่ตามหลังฝูจื่อหลินเข้าไปอย่างเร็ว
หลิงเซียวดูเงาร่างที่วิ่งหนีเข้าไป จึงขำแบบไร้เสียง