ณ เวลานี้เองที่หลินเยว่มั่นใจว่าชายชราเบื้องหน้านี้มีความแค้นกับอาจารย์ของตนจริงๆดังนั้น การที่เขาต่อยคนอื่นในวันนี้ก็น่าจะถือว่าเป็การแก้แค้นให้กับอาจารย์ของตนเองไปในเวลาเดียวกันเช่นนี้ท่านเฮ่อฉางเหอคงจะไม่ตำหนิเขาหรอกนะ?
ส่วนคำพูดของชายชราเบื้องหน้านี้ หลินเยว่ไม่ได้รู้สึกสนใจเลยไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เดี๋ยวเขาปรับตัวเข้าสู้ก็พอแล้วตอนนี้ก็แค่รอเท่านั้นเอง
“หวังว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะไม่โยนความผิดใส่อาจารย์ของผมเพราะทุกอย่างล้วนเป็สิ่งที่ผมทำเอง ผมรับผิดชอบเอง”
เมื่อหลินเยว่พูดจบก็เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่ชื่อ“เฉียนโจว” ที่ยังคงร้องครางอยู่บนพื้นคนนั้นอยู่ชั่วครู่ ในใจของเขาก็คิดดูถูกการกระทำของอีกฝ่ายอยู่ในใจหลังจากนั้นเขาจึงเดินลงไปชั้นล่างทันที
เมื่อถึงเวลาที่ควรจะหนี เขาก็ต้องหนีสิ เขาจะรออยู่ที่นี่ทำไมล่ะจะรอให้มีคนมาจับตัวเขาไปอย่างงั้นหรือ?
แต่ทว่าวันนี้เขาคงไม่มีโอกาสไปชมเครื่องเคลือบชั้นล่างแล้ว เลยไม่รู้ว่าหากใช้พลังพิเศษมองความหนืดแล้วจะสามารถตัดสินว่าวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งๆอยู่ในยุคสมัยไหนได้หรือไม่
หวังว่าจะทำได้เถอะนะ!
เมื่อหลินเยว่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์เขาก็ถูกพนักงานรั้งตัวไว้ทันที
“สหายหนุ่ม เสียงโครมเมื่อสักครู่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
สีหน้าท่าทางของพนักงานดูมีความร้อนใจดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกลัวว่ามีสิ่งของเสียหาย เพราะหากเป็เช่นนี้พวกเขาคงรับผิดชอบไม่ไหว
“ไม่มีอะไร เมื่อสักครู่มีคนเดินไม่ระมัดระวังก็เลยสะดุดล้มกับพื้นเท่านั้นเอง”
หลินเยว่พูดตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาพูดโกหกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
“ไม่ได้ชนกับของอื่นๆ ใช่ไหม?”
“ไม่ได้ชนอะไร นอกจากล้มกับพื้นแล้ว ก็ไม่ได้ชนอะไรอีก”
……
เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์หลินเยว่จึงรีบมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรมทันทีเขาต้องเล่าเื่ราวทั้งหมดให้กับท่านเฮ่อฉางเหอฟังก่อน เพราะหากมีคนเข้ามาหาเื่ถึงตอนนั้นอาจารย์ของเขาจะได้ไม่ต้องถึงกับตั้งตัวรับมือไม่ทัน
ณ ห้องพักของท่านเฮ่อฉางเหอในโรงแรมท่านเฮ่อฟังเื่ราวจนจบจากหลินเยว่อย่างเงียบๆ
เมื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนี้จบแล้วหลินเยว่จึงรอดูปฏิกิริยาจากอาจารย์ของตนอย่างหวาดหวั่นอยู่ในใจเหตุการณ์การชกต่อยแบบนี้หากนับว่าเป็เื่เล็กก็จะเป็เื่เล็ก แต่หากนับว่าเป็เื่ใหญ่ก็จะกลายเป็เื่ใหญ่อยู่เหมือนกันแต่ทว่าสิ่งที่สำคัญและอาจจะก่อความยุ่งยากที่สุดในเหตุการณ์นี้ก็คือดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็บุคคลที่มีชื่อเสียง และคนประเภทนี้มักจะให้ความสำคัญเื่ศักดิ์ศรีเป็ที่สุดและเพื่อรักษาหน้าของตนเอง คนประเภทนี้ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
คาดไม่ถึงว่าเมื่อท่านเฮ่อฉางเหอฟังเื่ราวจบแล้วท่านไม่รู้สึกโกรธเลย แต่กลับตบบ่าหลินเยว่อย่างแรงด้วยความตื่นเต้นดีใจพร้อมทั้งหัวเราะ “ฮ่าๆ” เสียงดังและพูดขึ้น “คาดไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มอย่างคุณจะต่อยอาจารย์ลูกศิษย์คู่นั้นช่างเป็การเชิดหน้าชูตาอาจารย์จริงๆแล้วหากมีครั้งหน้าก็ไม่ต้องสนใจเื่การเคารพผู้หลักผู้ใหญ่คุณก็ต่อยตาแก่คนนั้นร่วมไปด้วยก็พอแล้ว ตอนเด็กๆ อาจารย์เคยต่อยตาแก่คนนั้นตอนนี้คุณก็ต่อยลูกศิษย์ของเขาอาจารย์ลูกศิษย์คู่นี้ช่างเกิดมาเพื่อให้พวกเราอาจารย์ลูกศิษย์ต่อยจริงๆฮ่าๆ......สะใจ!”
ปฏิกิริยาของท่านเฮ่อฉางเหอกลับทำให้หลินเยว่ตกตะลึงหลังจากนั้นเขาจึงเข้าใจได้ทันที อาจารย์ของเขาและชายชราผู้นั้นต้องมีความแค้นยิ่งใหญ่ซับซ้อนอย่างแน่นอนการที่อีกฝ่ายดูถูกเหยียดหยามอาจารย์ของตนก็เกิดจากความแค้นของคนรุ่นก่อน แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ควรด่าอาจารย์ของเขาต่อหน้าเขาที่เป็ลูกศิษย์สิการกระทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมสักเท่าไร
“อาจารย์ครับอาจารย์กับชายชราผู้นั้นมีความแค้นอะไรกันหรือ?”
เมื่อเห็นว่าท่านเฮ่อฉางเหอหยุดหัวเราะแล้วหลินเยว่จึงถามขึ้น
“ความแค้นอะไรอย่างนั้นหรอ? มันเป็ความแค้นที่ใหญ่มากเสียด้วย!”
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตท่านก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “ตาแก่คนนั้นชื่อเฉินเฟย เป็คนที่อาจารย์ตาแก่เจี่ยได้ศึกษาเครื่องเคลือบที่จิ่งเต๋อเจิ้นใน่เวลาเดียวกันแต่ว่าเขาไปก่อนพวกเรา 2 ปี แต่ไม่ว่าพวกเราจะทำอย่างไรเขาก็ไม่พอใจพวกเราอยู่ตลอด เป็เพราะเขาเรียนก่อนพวกเรา 2 ปี เขาก็ย่อมมีความรู้มากกว่าพวกเราอยู่แล้วเขาจึงชอบพูดประชดเสียดสีเวลาที่พวกเราฝึกทำเครื่องปั้นดินเผามีบางครั้งยังไปฟ้องอาจารย์ใหญ่ของพวกเรา และด้วยสาเหตุนี้อาจารย์ถึงถูกทำโทษอยู่บ่อยๆ”
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เงินของเขาหายไปเขาจึงมาใส่ร้ายอาจารย์ บอกว่าอาจารย์เป็คนหยิบไป ใครๆก็รู้ว่านิสัยของอาจารย์เป็อย่างไร ตอนนั้นอาจารย์ก็โมโหหนักมากไม่สามารถยอมรับการใส่ร้ายนี้ได้ ก็เลยชกต่อยกับเขาั้แ่เด็กตาแก่คนนั้นก็ไม่ใช่คนที่ถนัดเื่การชกต่อย เขาถูกอาจารย์ต่อยไม่กี่ครั้งก็ทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้นความแค้นของพวกเราจึงเริ่มผูกกันมาั้แ่ตอนนั้น ภายหลังเขาหาเงินเจอแล้วแต่เขากลับไม่ขอโทษอาจารย์ แต่ยังคงเอาเื่นี้ไปบอกคนอื่นว่าอาจารย์เป็คนขโมยเงินก้อนนั้นไปหลังจากนั้นพวกเราจึงชกต่อยกันอยู่บ่อยๆ”
“ความจริง เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็ค่อยๆลืมเื่นี้กันไปแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าตาแก่คนนั้นกลับเ้าคิดเ้าแค้น เมื่อมาทำงานด้านการพิสูจน์เครื่องเคลือบเขาก็ชอบก่อปัญหาให้อาจารย์พวกเราจึงตอบโต้กันไปตอบโต้กันมาอยู่เสมอภายหลังพวกเราสองคนกลับถูกใจภรรยาของอาจารย์พร้อมๆ กันตาแก่คนนั้นไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนอาจารย์ก็เลยบอกว่าอาจารย์ใช้แผนร้ายถึงได้ตัวภรรยาของอาจารย์คนนี้มาตลอดชีวิตของอาจารย์ที่เคยได้รับสิ่งที่ไม่ยุติธรรมรวมทั้งการใส่ร้ายต่างๆส่วนมากก็เกิดมาจากการกระทำของตาแก่คนนี้ พวกเราสองคนจึงรู้สึกแค้นซึ่งกันและกันและก็จดจำความแค้นไว้จนถึงตอนนี้”
ถึงแม้ว่าท่านเฮ่อฉางเหอจะไม่ได้ใส่รายละเอียดมากนักแต่ทว่าเมื่อฟังจากน้ำเสียงของท่านหลินเยว่ก็ฟังออกว่าการตอบโต้ระหว่างอาจารย์ของตนกับเฉินเฟยในตอนนั้นจะรุนแรงมากขนาดไหนซึ่งก็ถือว่าเป็ศัตรูคู่อาฆาตกันได้เลย และเป็ศัตรูที่หากมีคุณก็ต้องไม่มีฉันเลยทีเดียว
“การทดสอบการพิสูจน์เครื่องเคลือบในครั้งนี้ก็เป็สิ่งที่ตาแก่คนนี้เสนอขึ้นเขา้ารังแกอาจารย์ เพราะอาจารย์เพิ่งสอนคุณได้ไม่นานจึง้าทำให้อาจารย์ขายหน้า เด็กหนุ่มที่คุณพูดถึงคนนั้นก็คือหลี่เฉียนโจวลูกศิษย์ของเขาอย่าดูแค่ว่าเขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณล่ะเพราะเขาศึกษาการพิสูจน์เครื่องเคลือบมายี่สิบกว่าปีแล้ว แค่นับถึงการมายังจิ่งเต๋อเจิ้นก็มาไม่น้อยกว่า5 ครั้งแล้วล่ะแต่ว่าเขาน่าจะมาพิพิธภัณฑ์เป็ครั้งแรก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสพบกับคุณเขาเป็คู่ต่อสู้ที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ ไม่ว่าคุณจะมีผลการทดสอบแย่ขนาดไหนขอแค่เหยียบเด็กหนุ่มคนนั้นได้ก็ถือว่าช่วยให้อาจารย์ได้หน้าแล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบ ท่านเฮ่อฉางเหอจึงตบบ่าหลินเยว่เบาๆ มีความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยปาก...นั่นก็คือ... ขอฝากความหวังไว้ที่คุณแล้วล่ะ
หลินเยว่พยักหน้ารับ และพูดตอบอย่างหนักแน่น“ผมต้องเหยียบเขาได้แน่ๆ ครับ”
“อย่าเพิ่งตอบอย่างมั่นใจขนาดนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ธรรมดาหรอกนะหากคุณมีผลการทดสอบที่ดี คนเป็อาจารย์ก็ไม่ขายหน้าคนอื่นหรอกเพราะไม่ว่าอย่างไรคุณก็เพิ่งศึกษามาเพียงไม่นาน”
คำตอบของหลินเยว่ก็ทำให้ท่านเฮ่อฉางเหอรู้สึกพอใจแต่เพื่อไม่เป็การสร้างแรงกดดันให้ลูกศิษย์ของตนมากจนเกินไป ดังนั้น เขาจึงพูดประโยคเมื่อสักครู่เพื่อทำให้หลินเยว่รู้สึกผ่อนคลาย
หลินเยว่ยิ้มน้อยๆทำไมเขาถึงจะไม่รู้ถึงความหมายของอาจารย์ของตนเองล่ะ เขาจะต้องพยายามทำให้ถึงที่สุดอีกทั้งเขายังมีพลังพิเศษตาทิพย์อีกด้วย ไม่แน่... ความหนืดของหินพอร์ซเลนจะกลายเป็ตัวแปรที่สำคัญในการพิสูจน์เครื่องเคลือบก็ได้ซึ่งก็เหมือนกับคาร์บอน-14* ไงล่ะ
เพียงแต่ว่าอย่างแรกเป็การใช้ประสาทััอีกอย่างคือเครื่องมือวัดที่มีมาตรฐาน
บางทีพรุ่งนี้เขาจะไปลองทดสอบใช้พลังพิเศษตาทิพย์ดู
“อาจารย์ครับ วันพรุ่งนี้มีแผนการอะไรหรือเปล่า?”เมื่อหลินเยว่เกิดความคิดนี้ขึ้นมา เขาจึงรีบถามขึ้น
“อาจารย์จะไปพบสหายเก่าหน่อยไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว ทำไมล่ะ คุณมีธุระอะไรหรือ?”
ท่านเฮ่อฉางเหอถามอย่างสงสัย
“ผมคิดจะไปถนนวัตถุโบราณของจิ่งเต๋อเจิ้นเพื่อฝึกสำรวจแผงหน่อยครับ”
“ฮ่าๆ ไม่เลวเลยอาจารย์คิดว่าคุณอยู่โรงแรมแล้วรู้สึกเบื่อจึงคิดจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วน่ะสิอาจารย์เห็นคุณทำเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมากนะถึงอาจจะช่วยไม่ค่อยได้แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ว่างๆ น่ะ!”
ประโยคส่วนแรกที่ท่านเฮ่อฉางเหอเอ่ยชมหลินเยว่ ก็ทำให้เขาดีใจมากแต่ทว่าเมื่อมาถึงส่วนท้ายๆ กลับทำให้หลินเยว่ทำหน้าไม่ถูกอาจารย์ของตนช่างไม่เชื่อมั่นในตัวของเขาเลยนะ
เมื่อกลับเข้าห้องของตนเองหลินเยว่จึงหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งกับมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บออกมาหลังจากนั้นจึงฝึกแกะสลักแก้วที่ทำด้วยไม้ต่อ ครั้งนี้เขาไม่ได้ลืมแกะสลักส่วนที่เป็หูจับของแก้วแต่ทว่าหูจับส่วนนี้กลับทำให้เขาต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นถึง 1 ชั่วโมงทีเดียว
เมื่อเห็นแก้วไม้เบื้องหน้าของตนเองหลินเยว่จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ลักษณะของมันดูแย่กว่าเมื่อวานเสียอีกและก็ไม่ได้ใช้เวลาลดน้อยลงเลย
การฝึกฝนบ่อยๆ จึงจะเกิดความชำนาญแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาสักเท่าไรถึงจะเกิดความชำนาญขึ้นจริงๆ!
เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหลินเยว่จึงจุดธูปแล้วฝึกผ่าธูปต่อ
เมื่อฝึกผ่าธูปเสร็จก็เป็เวลาตี 1 แล้ว หลังจากนั้นหลินเยว่จึงหลับใหลไปอย่างมึนงง
* คาร์บอน-14 คือ ธาตุกัมมันตภาพรังสีที่สามารถใช้ในการตรวจสอบอายุของสิ่งที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่มีอายุได้ไม่เกิน60,000 ปี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้