“เ้าค่ะ” กู้เจิงปีนขึ้นเตียงแล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะหันมาตบตรงที่ว่างข้างตัว พลางมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นอนกันเถอะเ้าค่ะ”
ท่าทางของเสิ่นเยี่ยนแปลกไปเล็กน้อย เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่งก่อนก้าวขึ้นเตียงเงียบๆพอนอนลง หญิงสาวข้างกายก็เอนกายซบเขา นางช่างไว้ใจเขามากจริงๆ
กู้เจิงย่อมรู้สึกวางใจกับเสิ่นเยี่ยนแม้เขาจะชอบวางตัวห่างเหินกับผู้คนแต่แท้จริงแล้วเขาก็เป็สุภาพบุรุษที่ดีผู้หนึ่งและเขาก็ยังมีด้านที่ใจดีและอบอุ่นอีกด้วย นางชอบคนเช่นนี้และยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็ภรรยาของเขา
ในวันที่อากาศหนาวเหน็บเช่นตอนนี้ทำให้กู้เจิงตื่นสายขึ้นเป็พิเศษ นางอยากจะนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆอย่างนี้ทั้งวัน
ยามที่กู้เจิงตื่นขึ้นในตอนเช้า เสิ่นเยี่ยนได้ตื่นขึ้นก่อนนานแล้วนางตื่นขึ้นได้ด้วยการปลุกของชุนหง
“คุณหนูทำไมถึงตื่นสายขนาดนี้ล่ะเ้าคะ จะได้เวลาทานข้าวเช้าแล้วนะเ้าคะ” ชุนหงยกอ่างล้างหน้าเข้ามาและเร่งให้คุณหนูของนางรีบล้างหน้า
กู้เจิงอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “ยังไงก็ไม่ได้ให้ข้าทำอะไรอยู่แล้วนี่”
“ต่อให้ไม่ต้องทำอะไร ก็ต้องคอยอยู่ข้างๆ ท่านป้าเสิ่นเ้าค่ะมันเป็หน้าที่ของลูกสะใภ้เ้าค่ะ”
กู้เจิงพยักหน้ารับคำจากชุนหง “เ้าพูดถูก ข้าจะลืมหน้าที่ของลูกสะใภ้ที่ดีไม่ได้แม้แม่สามีปฏิบัติต่อข้าอย่างดีก็ตาม”
“บ่าวเห็นลูกสะใภ้ของบ้านอื่นๆ เขาตื่นกันแต่เช้า ลุกขึ้นมาปัดกวาดบ้านเรือนทั้งยังทำอาหารเช้าให้พ่อแม่สามีกินอีก” หลายวันมานี้ชุนหงไปสนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนบ้านมาทั่วแล้ว
ั้แ่แต่งเข้าตระกูลเสิ่นมากู้เจิงสบายขึ้นและมีอิสระกว่าตอนอยู่ในตระกูลกู้เสียอีกถึงแม้จะต้องเรียนรู้การจัดการงานบ้านหลายอย่างจากนายหญิงเสิ่นแต่งานบ้านเ่าั้ก็ไม่ได้เป็งานที่หนักหนาอะไร แม่สามีจึงทำด้วยตัวเองได้และก็ยังมีชุนหงที่คอยช่วยด้วยอีกแรง นางจึงสบายอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ช่างดีต่อข้ามากจริงๆ ” กู้เจิงซาบซึ้งใจ
“เป็วาสนาของคุณหนูเ้าค่ะ” ชุนหงก็เห็นด้วย
แม้ยุคสมัยนี้จะมีข้อจำกัดต่อสตรีมากมายแต่คนที่ดีต่อนางก็มีมากมายเช่นกัน เช่นซู่เหนียง และคนในตระกูลเสิ่นต่อให้เป็บิดาและนายหญิงเว่ยซื่อ ก็นับว่าปฏิบัติต่อนางไม่เลวทีเดียวแต่ทว่าการที่คนทำดีต่อเรา เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้ามอยู่แล้วกู้เจิงคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจ “เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะทำอาหารเช้าให้ทุกคนกินดีไหม?”
“บ่าวจะอยู่ข้างๆ คอยช่วยคุณหนูเองเ้าค่ะ” ชุนหงหัวเราะคิกคัก
ยามนี้ด้านนอกเริ่มมีฝนตกปรอยๆ
ตอนที่กู้เจิงเข้าไปในห้องครัวพ่อสามีกำลังวุ่นอยู่กับการเขี่ยถ่านในเตา แม่สามีก็กำลังตักกับข้าว ส่วนเสิ่นเยี่ยนนั้นก็กำลังจัดวางตะเกียบบนโต๊ะ
“มากินข้าวได้แล้ว” นายหญิงเสิ่นเอ่ยเรียกเมื่อเห็นลูกสะใภ้ก้าวเข้ามาในครัว
แม้จะไม่มีใครว่าอะไรที่กู้เจิงตื่นสายแต่นางก็แอบรู้สึกเขินอายอยู่บ้างนางจึงสัญญากับตัวเองไว้ว่าต่อไปจะไม่ตื่นสายอีกเด็ดขาด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กู้เจิงก็อดถลึงตาใส่เสิ่นเยี่ยนไม่ได้ทำไมเ้าคนคนนี้ตื่นแล้วถึงไม่ปลุกนางสักหน่อยนะ
“ท่านแม่ ให้ข้าช่วยตักเถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงรีบเข้าไปช่วยแม่สามี
นายหญิงเสิ่นยิ้มรับ แล้วจึงมอบหน้าที่ให้ลูกสะใภ้ตักอาหารส่วนตัวนางเองก็เดินไปหยิบเป็ดออกมาหั่นใส่จาน
“เนื้อเป็ดนี้มีกลิ่นสุราด้วยเ้าค่ะ” กู้เจิงได้กลิ่นสุราบางๆ จากเนื้อเป็ดสีเหลืองอร่ามตรงหน้า
“เป็ดตัวนี้หมักด้วยกากสุรา เมื่อวานเย็นป้าใหญ่เพิ่งเอามาให้เลยได้เอามาให้พวกเ้ากินตอนเช้านี่พอดี” นายหญิงเสิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
กู้เจิงลองคีบใส่ปากไปชิ้นหนึ่ง กลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ในปากก่อนหน้านี้นางเคยกินเนื้อเป็ดตุ๋นน้ำเค็ม ซึ่งนางก็ว่ามันอร่อยแล้วแต่เนื้อเป็ดนี้นุ่มกว่าเนื้อเป็ดตุ๋นน้ำเค็มมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมทำให้ยิ่งเสริมรสชาติของเนื้อเป็ดให้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก
เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยาดูจะชอบเ้าเป็ดหมักสุราเอามากจึงอดไม่ได้ที่จะลองกินดูบ้าง
เช้านี้นายท่านเสิ่นไม่ค่อยอยากอาหารมากนักเขากินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็วางตะเกียบลง ก่อนจะถอนหายใจขึ้นมา “พี่สามอายุมากแล้วแต่ยังไม่มีทายาทเลยหัวอกคนเป็น้องชายเช่นข้าก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง”
“ท่านกังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ปล่อยให้เป็ไปตามนั้นเถอะ” นายหญิงเสิ่นกล่าว
เมื่อคืนกู้เจิงก็นึกสงสัยอยู่เช่นกันท่านลุงสามกับท่านป้าสามกลับมากันเพียงสองคน ที่แท้พวกเขาก็ไม่มีลูกนี่เอง
เสิ่นเยี่ยนคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาเอ่ยขึ้นเงียบๆ “หากท่านลุงสามอยากมีลูก ก็สามารถรับบุตรบุญธรรมได้ขอรับ”
“ข้ากับลุงรองลุงใหญ่ของเ้าได้บอกเขาไปเมื่อคืนแล้วแต่เขากังวลว่าภรรยาจะคิดมาก เลยไม่กล้าเอ่ยถึง” นายท่านเสิ่นกล่าวต่ออีกว่า “นางกินยาเพื่อจะได้มีลูกมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็ผล”
“วาสนาที่จะมีลูกของคนเราต่างกัน ดึงดันไปก็ไม่ช่วยอะไร” นายหญิงเสิ่นก็ถอนหายใจเช่นกัน
ทุกคนล้วนกินอาหารเช้ากันต่ออย่างเงียบๆ จู่ๆ นายหญิงเสิ่นก็นึกขึ้นได้นางหันไปคุยกับบุตรชาย “จริงสิ อาเยี่ยนวันนี้เ้าไปหาซื้อรถม้ามาสักคัน บ้านเราควรจะมีรถม้าได้แล้วเวลาไปไหนมาไหนจะได้สะดวกขึ้น”
“ได้ขอรับ” เสิ่นเยี่ยนรับคำมารดา
“ท่านพี่ ข้าจะไปกับท่านด้วยเ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มตาหยีมองเขา
แค่ซื้อรถม้าทำให้นางมีความสุขขนาดนี้เชียวหรือ? เสิ่นเยี่ยนส่งเสียงอืมตอบรับเบาๆ
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ กู้เจิงเลยอาสาทำหน้าที่ล้างจานเองงานนี้นางทำมาหลายรอบแล้ว แต่พอพ่อแม่สามีออกไปทำงาน ชุนหงก็จะแย่งมาทำต่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้มือเรียวบางของนางต้องแตะโดนน้ำอีกทุกครั้งทำเอากู้เจิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จึงได้แต่ไปทำงานเล็กๆ น้อยๆอย่างอื่นแทน
เมื่อเสิ่นเยี่ยนออกจากห้องครัว ก็ถูกมารดาเรียกตัวไว้
“ท่านแม่ มีอะไรหรือขอรับ?” เสิ่นเยี่ยนเดินมาหามารดาเขาสูงกว่ามารดาหนึ่งหัวดังนั้นจึงมองเห็นผมหงอกสะดุดตาแซมในเส้นผมสีดำของมารดาได้อย่างชัดเจน
นายหญิงเสิ่นมองบุตรชายอย่างรักใคร่ความเก่งกาจของลูกชายทำให้นางผู้เป็มารดารู้สึกภูมิใจมาก “อาเยี่ยน ั้แ่เล็กจนโต เ้าไม่เคยให้พ่อแม่ต้องกังวลอะไร แม้แต่เงินสองตำลึงแม่ก็ให้เ้าดูแลเองแต่ตอนนี้เ้าก็แต่งงานแล้ว เื่การจัดการภายในเรือนและเื่ทรัพย์สินเงินทองเ้าก็มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระให้แล้ว”
แววตาของเสิ่นเยี่ยนสั่นไหว ความหมายของท่านแม่เขาเข้าใจเป็อย่างดี “ที่แท้ท่านแม่ก็ชอบอาเจิงมากถึงเพียงนี้”
นายหญิงเสิ่นยิ้มรับ “อาเจิงเป็เด็กดี ชีวิตก่อนแต่งงานของสตรีเป็เื่เรียบง่ายแต่ชีวิตหลังแต่งงานจะกลายเป็สิ่งซับซ้อน ถ้าปรับตัวใช้ชีวิตหลังแต่งงานได้ไม่ดีวันหน้าก็จะกลายเป็รอยร้าวระหว่างสามีภรรยา เื่การใช้เงินหากเ้าประมาทเลินเล่อ ระหว่างสามีภรรยาก็ยากจะพึ่งพาอาศัยกันได้เช่นนั้นแล้วจะแต่งงานไปทำไม?”
“ขอรับ ลูกทราบแล้ว” เดิมทีเขาก็ตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะให้ภรรยาจัดการดูแลในเื่เงิน
กู้เจิงกับชุนหงรีบตรงกลับห้องเพื่อเตรียมตัวล้างหน้าหวีผมจะได้ตามเสิ่นเยี่ยนไปซื้อรถม้าเมื่อมาถึงห้องจึงเห็นเสิ่นเยี่ยนกำลังเปิดหีบไม้ใบใหญ่ นางเพิ่งสาวเท้าเข้าไปเขาก็หยิบกล่องใบเล็กออกมามอบให้นาง
“อะไรหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามขึ้น นางรับกล่องไม้มาวางลงบนโต๊ะและมองอย่างสงสัย
“ทรัพย์สินของข้า”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเปิดออกดู
“มีตั๋วเงินเยอะแยะเลยเ้าค่ะ” ชุนหงที่แอบดูอยู่ด้านหลังอุทานขึ้น
กู้เจิงเองก็ใกับทรัพย์สินตรงหน้าเงินในกล่องใบนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย มีก้อนเงินตำลึงขนาดเท่าฝ่ามือ อยู่หลายก้อนและก็ยังมีตั๋วเงินอีกหลายสิบใบ
เสิ่นเยี่ยนมองดวงตาที่เป็ประกายของภรรยาตรงหน้าเขารู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่เลวนัก จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เดิมทีข้าคิดจะมอบเงินพวกนี้ให้เ้าดูแลอยู่แล้วแต่กลับไม่ได้จัดการให้เป็เื่เป็ราว เมื่อครู่ท่านแม่ได้เตือนขึ้นนี่คือทรัพย์สินทั้งหมดที่ข้ามีในตอนนี้ และยังมีรายได้จากการค้าของข้าอีกพอถึง่สิ้นปีรายได้ก็จะยิ่งมากกว่านี้” เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินไปที่ชั้นหนังสือหยิบสมุดบัญชีออกมายื่นให้กู้เจิง
กู้เจิงเรียนรู้ตัวหนังสือมาไม่น้อยเวลานี้เมื่ออ่านสมุดบัญชีจึงดูไม่เหมือนอ่านคัมภีร์์* อีกต่อไป เสิ่นเยี่ยนทำบัญชีแบบที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายแม้แต่นางก็ยังเข้าใจ
(* หมายถึงความเรียงที่อ่านเข้าใจยากหรือตัวหนังสือที่จำยาก)
“ท่าน้าข้าจัดการดูแลเื่เหล่านี้หรือเ้าคะ?” กู้เจิงไม่คิดว่าเสิ่นเยี่ยนจะวางใจนางถึงเพียงนี้และคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีเงินส่วนตัวมากมายขนาดนี้
“เ้าเป็ภรรยาของข้า ย่อมต้องมอบให้เ้าดูแล”
ทำไมประโยคนี้ฟังดูลึกซึ้งนัก? กู้เจิงยิ้มให้ชุนหงอย่างมีความสุข ก่อนจะมองสามีด้วยความสงสัย “ท่านบอกว่ายังมีการค้าที่ทำอยู่อีก? ท่านทำอะไรหรือเ้าคะ?”
“ข้าทำกับหลี่หนาน แล้วยังมีสหายอีกหลายคนที่ทำอยู่ด้วยพวกเขาจะกลับมา่ปลายปี แล้วข้าจะพาเ้าไปแนะนำให้รู้จัก”
“ดีเ้าค่ะ”
“เ้าเก็บของพวกนี้ไปก่อนเถอะ พวกเรารีบไปซื้อรถม้ากันก่อน” เสิ่นเยี่ยนพูดจบก็เดินนำออกไป
สถานที่ขายรถม้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเยว่อยู่ที่ประตูทิศเหนือที่นั่นมีคนอาศัยอยู่น้อย ส่วนใหญ่แล้วเป็กิจการที่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่การค้าขายวัวและแกะก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
ตอนที่เสิ่นเยี่ยนพากู้เจิงกับชุนหงมาถึงประตูทิศเหนือที่แรกที่ไปไม่ใช่ร้านขายรถม้า แต่กลับเป็ร้านตีเหล็ก