เธอสวมเพียงชุดนอนเดรสสายเดี่ยวผ้าซาตินสีไข่มุก เว้าคอลึกจนเห็นความขาวเนียนอมชมพูของเนินเนื้ออ่อนทั้งสองข้างเกือบสุดปลายยอด ขอบล่างของชุดก็แค่พาดผ่านต้นขาอ่อนเพียงนิดเดียว ราวกับเพียงแค่เธอก้าวเร็วขึ้นอีกนิด...ทุกอย่างจะเปิดเผยออกมาจนหมด แสงยามเช้ากระทบกับผิวของเธอ ราวกับสะท้อนเงาทองของภาพวาดในหอศิลป์
...และเขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างแค่ไม่กี่ก้าว ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ดวงตาของวิชิตจับจ้องอยู่แค่ครู่ ก่อนสติจะะโเบาๆ ในใจว่า “อย่ามองนาน เดี๋ยวจารวีเห็น” เขาเบือนหน้าหนีอย่างเร็ว หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันทีโดยไม่ตั้งใจ แต่ขณะเดียวกัน...หางตาก็ยังคงแอบมองเธออย่างเงียบๆ นั่นคือความจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงหวานของมารตีดังขึ้น เธอยิ้มน้อยๆ และรู้ว่าเขากำลังแอบมอง...แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยสักนิด
วิชิตพยักหน้า ส่งยิ้มกลับด้วยท่าทางเกร็งๆ “ครับ…อรุณสวัสดิ์ครับ”
ร่างบางเดินเฉียดผ่านเขา กลิ่นหอมจางๆ จากกลิ่นผิวกายสะอาดละมุนพัดผ่านไปพร้อมปลายผมเปียกชื้นที่ไล้ผ่านปลายแขนเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามไม่หันกลับไปมอง แต่นั่นแหละ...ความพยายามก็ไม่เคยชนะความอยากรู้
“ทำไมหน้าแดงแต่เช้าเลยคะคุณ?” เสียงจารวีดังขึ้นเื้ั
เธอยืนพิงกรอบประตูห้องนอน ผมเธอยังยุ่งเล็กน้อยจากการนอนหลับ ใส่แค่เสื้อเชิ้ตของปพนต์ตัวใหญ่ตัวเดียวที่ยาวปิดต้นขาได้ครึ่งเดียว เธอยิ้ม...ยิ้มที่เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
วิชิตหันกลับไปมอง “เปล่า...แค่รู้สึกว่าบ้านนี้อากาศดีน่ะครับ”
“ใช่อากาศดี แล้วก็วิวดีสวยด้วยใช่ไหมคะ?” คำถามของจารวีดูจะซนๆ นิดๆ แต่สายตากลับจริงจังเล็กน้อย
วิชิตไม่ตอบ เขาเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาน้ำดื่ม แล้วได้ยินเสียงปพนต์ทักมารตีอย่างอารมณ์ดี
เหมือนคนที่ตื่นเช้ามาพร้อมความคุ้นเคยกับทุกองศาของร่างกายเธอ
“ตื่นเช้าจังเลยครับคนสวย…” ปพนต์เดินผ่านหลังมารตีแล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มเธอเบาๆ โดยไม่มีใครแปลกใจอะไร แม้แต่นิดเดียว
นั่นยิ่งทำให้วิชิตนิ่งขึ้นกว่าเดิม เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า…ในบ้านหลังนี้ ทุกอย่าง “เปิดเผย” และ “ใกล้ชิด” จนเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ
จารวียิ้มเล็กน้อย ขณะนั่งลงข้างวิชิตที่โต๊ะอาหาร เธอเอื้อมมือแตะที่ต้นแขนเขาเบาๆ “ที่นี่ไม่มีใครซีเรียสเื่เสื้อผ้านะ…จะว่าไป คุณน่าจะดีใจที่ฉันพาคุณมาที่นี่...วิวสวยดีออก”
“แล้ว...เอ่อเมื่อก่อนเธอเคยมาที่นี่เหรอ?” วิชิตถามเบาๆ
จารวีหัวเราะในลำคอ “มากับกชพร ตอนนั้นก็หนักกว่าตอนนี้...คือเราไม่ได้ใส่อะไรกันเลยทั้งอาทิตย์...อิอิ..”
วิชิตเงียบไป ภาพจารวีกับผู้หญิงอีกคนในบ้านหลังนี้ โดยที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกาย...มันเริ่มกระตุ้นจินตนาการแบบที่เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง แต่ภาพนั้น...ก็ไม่ได้ลดความอยากรู้ อยากเห็นที่เพิ่มขึ้นของเขาลงเลยแม้แต่น้อย มารตีหันมาเมื่อได้ยินบทสนทนา เธอปรายตามองวิชิต พลางแย้มยิ้มน้อยๆ
สายตานั้นทั้งอบอุ่น เย้ายวน และเป็มิตร แต่สำหรับวิชิต มันคือ แรงดึงดูดบางอย่าง ที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวว่า...เขาเริ่มอยากรู้จักเธอมากกว่าที่ควรจะเป็...
กลิ่นกระเทียมเจียวลอยคลุ้งในอากาศผสมกับเสียงน้ำมันที่กำลังร้อนจัดบนกระทะทองเหลือง มารตีหัวเราะเบาๆ ขณะที่จารวีกำลังหั่นหอมแดงช้าๆ แต่แม่นยำ เธอถนัดมือซ้าย ส่วนมารตีถนัดขวา ทั้งสองยืนอยู่เคียงกันที่เคาน์เตอร์กลางครัว ขยับเข้าหากันทุกครั้งที่มือจะเอื้อมหยิบของ และนั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ใกล้กัน...
ทั้งสองสวมเพียงผ้ากันเปื้อนตัวเดียวเท่านั้น ด้านหน้าอาจจะพอปิดส่วนสำคัญได้บ้าง แต่ด้านหลัง...คือผิวเปลือยที่แสงแดดยามสายกำลังลูบไล้ ผ้ากันเปื้อนของมารตีเป็ลายผลไม้สีพาสเทล ส่วนของจารวีเป็ลายลูกไม้ขาวจางๆ บางจนมองทะลุ ถ้าตั้งใจดู
วิชิตเดินเข้ามาในครัวพอดีเพื่อจะหยิบน้ำเย็น แต่เมื่อหันไปเห็นภาพตรงหน้า หัวใจก็เต้นผิดจังหวะโดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีน แผ่นหลังเปลือยขาวเนียนของหญิงสาวสองคนตรงหน้า คือภาพที่เขาไม่เคยคิดว่า…จะได้เห็นในครัวของบ้านใคร แล้วนี่ก็ไม่ใช่แค่ใคร...แต่เป็แฟนของเขา และ...ผู้หญิงที่เขาเริ่มอยากรู้จักเกินกว่าคำว่าเพื่อนของแฟน ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ เป็สัญญาณบอกว่ามีคนมา แต่ไม่มีใครหันมามอง
จารวีแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วยังคงหั่นหอมแดงต่อไป ส่วนมารตีเอื้อมมือมาแตะข้อศอกเธอเบาๆ แล้วพูดเสียงนุ่มว่า เดี๋ยวฉันทำไข่เจียวให้เอง เธออย่าโดนมีดบาดเข้าล่ะ”
“ห่วงกันอีกแล้วนะ” จารวีกระซิบกลับ รอยยิ้มที่มุมปากเธอนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็แค่เพื่อนกันธรรมดา
วิชิตยืนนิ่ง เขาไม่กล้าเดินต่อ เขาไม่กล้าละสายตา...และเขาก็ไม่อยากละสายตาเลยด้วยซ้ำ
ปพนต์เดินเข้ามาจากสวนหลังบ้านในเสื้อเชิ้ตตัวหลวมกับกางเกงผ้าสีขาว ดูสบายๆ อย่างที่สุด เขาเดินผ่านหน้าวิชิต หยุดชะงักแค่ชั่วครู่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า…มารตีกับจารวีในชุดที่แทบเหมือนจะไม่สวมใส่อะไรเลย แต่เขาก็ไม่แสดงอาการใ ไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่หันมามองซ้ำ
“อยากได้กาแฟไหม?” เขาถามวิชิตเสียงเรียบๆ
วิชิตหันมาหาเขา กะพริบตาเหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์ “คะ…ครับ...ได้ครับ”
ปพนต์ยิ้ม แล้วหันไปจัดการกับเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ขณะเดียวกันในครัว มารตีโน้มตัวลงชิมน้ำซุปในหม้อที่จารวีชิมไปก่อนหน้า ริมฝีปากของเธอเฉียดหลังมือจารวีแค่ปลายจมูก เสียงสูดลมหายใจของจารวีเบาแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่วิชิตได้ยินชัดราวกับคลื่นซัดเข้าหัวใจ
“กลิ่นหอมดีเนอะ” มารตีเอ่ยเสียงหวาน มองจารวีที่ยืนใกล้เสียจนไหล่ชนกัน
“หมายถึงกลิ่นซุป หรือกลิ่นตัวของฉัน?” จารวีหันมายิ้ม ดวงตาเธอแพรวพราวอย่างไม่ปิดบัง
“ทั้งสองอย่างเลยมั้ง” มารตียิ้มตอบ แล้วหัวเราะเบาๆ
่เวลานั้นเหมือนโลกในครัวหยุดนิ่งไว้ไม่มีคนรับใช้เข้ามาเป็ลูกมือ มีเพียงเสียงหั่นผักช้าๆ เสียงกระทะที่ยังอุ่น และแรงกระเพื่อมในอากาศที่อธิบายไม่ได้
วิชิตยืนนิ่ง ถือแก้วน้ำเย็นไว้ในมือ แต่ไม่รู้สึกถึงความเย็นแม้แต่น้อย เขาหายใจเข้าลึกๆ หายใจอีกครั้ง แล้วแอบถอนหายใจยาวๆ เงียบๆ เมื่อเหลือบมองไปทางด้านหลังของหญิงสาวทั้งสอง ขณะนั้นมารตีกำลังโน้มตัวไปด้านหน้าพอดี สิ่งที่เห็น...มันทำให้หน้าของเขามีสีเข้มขึ้น หัวใจเต้นแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่
“ไหวไหม?” ปพนต์เอ่ยถามจากด้านหลัง วิชิตสะดุ้งเบาๆ
“คะ…ครับ?” เขาหันกลับ
ปพนต์แค่หัวเราะเบาๆ แล้ววางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ “ผมเคยเขินยิ่งกว่านี้...ตอนแรกๆ ก็เป็แบบนี้แหละ”
วิชิตมองชายเ้าของบ้านตรงๆ อยากถาม อยากรู้ อยากเข้าใจ แต่เขาเลือกที่จะเงียบ เหมือนพยายามซึมซับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้มากที่สุด ก่อนจะพูดอะไรสักคำ
มารตีหันกลับมามองวิชิตนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มให้ แล้วเดินไปหยิบตะหลิวจากลิ้นชัก โดยที่ขอบผ้ากันเปื้อนสั่นไหวเล็กน้อยตามจังหวะก้าว เผยให้เห็นจุดซ่อนเร้นที่สำคัญด้านหน้า แม้ไม่กี่วินาที แต่ก็เห็นชัดเจนเต็มสองตา เธอรู้ว่าเขามองเห็น และรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร...เพราะเธอเองก็เคยเป็ “มือใหม่” แบบเขา
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่นอนในตอนนี้คือ “กลิ่นกาย” นั้นไม่เคยโกหก...และ “ความจำ” ก็ไม่เคยหายไปจากร่างกายของผู้หญิงอีกคน ที่ยังคงยืนอยู่ใกล้เธอเหลือเกิน
แสงแดดยามอาทิตย์ใกล้ลาลับเฉียงผ่านผ้าม่านบางในห้องนอนแขก กลิ่นลมจากสวนหลังบ้านโชยแ่เข้ามาพร้อมกับกลิ่นกายอุ่นๆ ของหญิงสาวสองคน เสียงฝีเท้าของ วิชิต เงียบหายไปเมื่อเขาเดินลับไปทางสวนหลังบ้าน มารตีมองตามจากหน้าต่าง และปิดมันเบาๆ ก่อนหันกลับมาหาจารวีที่ยืนอยู่กลางห้อง
ไม่มีบทสนทนาใดหลุดออกจากริมฝีปาก มีเพียงสายตาที่ลอบมองกัน…ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แววตาคู่นั้นของจารวี ไม่ใช่สายตาของเพื่อนหญิงธรรมดา แต่มันคือสายตาของใครคนหนึ่ง ที่เคยรู้จัก และเคยัั ทุกซอกมุมบนเรือนกายนี้ และยังไม่เคยลืมเลย
“เราควรจะ...” มารตีพูดเบาๆ แต่คำพูดนั้นยังไม่ทันจบ
