“ช้าเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี” เมื่อเทียบกับความกังวลใจของชวีเสี่ยวปอแล้ว ท่าทีของเซี่ยเจิงกลับดูมีความสุขทั้งยังดูผ่อนคลายมากกว่าปกติ “เื่นี้นายพูดเองดีกว่าให้เขาถามขึ้นมานะ”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้าอย่างหนักแน่น “งั้นอีกสองวันค่อยหาเวลาเหมาะๆ ไปบอกเขาก็แล้วกัน”
ทั้งสอนคนเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงร้านหนังสือ ซึ่งแตกต่างจากที่ชวีเสี่ยวปอคิดเอาไว้อยู่เล็กน้อย ในร้านหนังสือคนค่อนข้างเยอะ ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยกำลังดึงเข้าดึงออกหาหนังสือแบบฝึกหัดต่างๆ ที่วางอยู่บนชั้นตรงบริเวณนั้น แต่พวกเขาล้วนมีอายุมากกว่าเขาทั้งสองคน คงน่าจะเป็ผู้ปกครองของเด็ก
ดูเหมือนว่าเด็กนักเรียนที่คิดอยากจะมาซื้อหนังสือเรียนด้วยตัวเองเหมือนอย่างเซี่ยเจิงจะมีอยู่น้อยมากเลยทีเดียว
“นี่ นายอยากได้ของวิชาไหนเหรอ? ” บริเวณโดยรอบเงียบสงบมาก ชวีเสี่ยวปอจึงจำเป็ต้องลดเสียงลงไม่กล้าพูดออกไปเสียงดัง แล้วจึงสะกิดไปบนแขนของเซี่ยเจิง “เดี๋ยวฉันช่วยหา”
“เลขกับอังกฤษ” เซี่ยเจิงเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“เลขๆ เลขๆ ... อังกฤษๆ อังกฤษๆ ” ชวีเสี่ยวปอพูดพึมพำพลางไล่หาหนังสือบนชั้นไปด้วย ในขณะที่เขาชะเง้อคอขึ้นไปอย่างยากลำบาก จู่ๆ ก็มีคนมาดึงแขนของเขาเอาไว้
ทันทีที่หันหน้าไปก็เจอเข้ากับใบหน้าของคนคนหนึ่ง ทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้ชวีเสี่ยวปอได้ตั้งตัว คุณป้าท่านนี้ก็มองชวีเสี่ยวปออย่างตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าเธอจับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ที่แปลกใหม่ได้อย่างไรอย่างนั้น : “เป็นักเรียนใช่ไหม? ”
“เอ่อ ครับๆ ” ชวีเสี่ยวปอรีบพยักหน้าทันที “มีอะไรเหรอครับ? ”
“อยู่มอไหนแล้วจ๊ะ? ” คุณป้าดูดีใจขึ้นกว่าเดิม
“มอห้าครับ” ชวีเสี่ยวปอเสียงสั่นขึ้นมา ขณะที่คุยกับคุณป้าคนนี้เขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอด
“อุ๊ย พอดีเลย” คุณป้ากระทืบเท้าไปทีหนึ่ง “หลานชายป้าก็อยู่มอห้าเหมือนกัน ป้าอยากจะซื้อหนังสือให้เขาสักหน่อย เธอช่วยป้าเลือกหน่อยได้ไหม? ”
ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกสบายใจ จากนั้นจึงส่งสายตามองไปยังเซี่ยเจิง : “มาสิ อันนี้งานถนัดนาย”
“เขาก็อยู่มอห้าเหรอ? ” คุณป้ามองประเมินเซี่ยเจิงั้แ่บนลงล่าง
“เขาเป็เด็กเรียนเลยนะครับ” ชวีเสี่ยวปอยืดอกขึ้นมาอย่างภูมิใจ ทั้งยังอยากที่จะพูดต่อท้ายไปอีกหนึ่งประโยคว่า ยังเป็แฟนผมด้วย
“ถ้างั้นก็ดีเลย !” คุณป้าเข้าไปตีสนิทด้วยทันที เธอเข้าไปคล้องแขนของเซี่ยเจิงอย่างกับคนรู้จักกันมานาน “ได้เด็กเรียนมาช่วยเลือกต้องได้เล่มที่ดีแน่นอน !”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป คุณป้าพูดขอบคุณไม่ขาดปาก สุดท้ายจึงปล่อยเซี่ยเจิงออกมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่
เซี่ยเจิงถอนหายใจยาวออกมา แล้วจึงมองไปยังรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้างหน้าต่าง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับศีรษะเด็กผู้ชายคนหนึ่ง กำลังดูอะไรบางอย่างกันอยู่อย่างสนุกสนาน
เซี่ยเจิงเดินย่องเข้าไปเสียงเบา แต่แล้วในตอนที่กำลังจะไปยืนอยู่หน้าของพวกเขาทั้งสองคน ชวีเสี่ยวปอก็เงยหน้าขึ้นมาโบกมือให้เขาซะก่อน :
“มา นายมาอธิบายหน่อย ระหว่างสองคนนี้เขาเก่งกว่าใช่หรือเปล่า”
เด็กชายที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยเจิงทันที ท่าทางบนใบหน้าเต็มไปด้วยการตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคำตัดสินอันยุติธรรมของเซี่ยเจิง
เซี่ยเจิงนั่งยองๆ ลงมาพร้อมทั้งชะโงกหน้าเข้าไปมองหนังสือการ์ตูนไม่ทราบชื่อเื่เล่มหนึ่งที่วางอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองชวีเสี่ยวปอไปครั้งหนึ่ง : “เมื่อกี้นายชี้ตรงไหนนะ? ”
“ตรงนี้” ชวีเสี่ยวปอจิ้มลงไปบนตัวละครตัวนั้นอีกครั้ง
“แน่นอน” เซี่ยเจิงทำหน้าเคร่งขรึม พูดกับเด็กชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไปว่า : “นายดูนี่นะ ดาบที่เขาถืออยู่ดูก็รู้ว่าตัวเอกเป็คนถือ จากที่รู้มาคร่าวๆ นะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนตัวเอกก็จะเก่งที่สุดเสมอ”
ชวีเสี่ยวปอดีดนิ้วลงไปบนหน้าผากของเด็กน้อยคนนั้นอย่างรู้สึกถึงชัยชนะ : “เห็นไหม ฉันไม่ได้โกหกนาย !”
เด็กชายไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับจ้องมองเขาสองคนอยู่หลายวินาที จากนั้นจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพลางดึงหนังสือการ์ตูนกลับมา แล้วจึงวิ่งออกไปพลางพูดด้วยว่า :
“พี่สองคนเป็พวกเดียวกัน! คนโกหก! ไอ้คนสารเลว! ”
“ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กคนนี้นี่” ชวีเสี่ยวปออึ้งอยู่พักใหญ่ “ได้ยินไหม บอกว่าพวกเราเป็ไอ้สารเลวเนี่ย !”
“นายเล่นอยู่กับเขาตั้งนานสองนานเลยเหรอ? ” เซี่ยเจิงดึงเบาะเข้ามา และลงข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ
“อืม ก็มันน่าเบื่ออะ” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงจิ๊ปาก “คุณป้าคนนั้นไปแล้วเหรอ? ”
“หลานชายเขาน่าสงสารน่าดู” เซี่ยเจิงยิ้มขึ้นมา พร้อมทั้งลูบไปบนหว่างคิ้ว “แบบฝึกหัดพวกนั้นรู้สึกว่าจะทำได้ไปจนถึงสอบปลายภาคของภาคเรียนนี้เลย”
“เยี่ยม” ชวีเสี่ยวปอยกนิ้วโป้งขึ้นมา “แล้วนายซื้ออะไรมา? ”
“ก็นี่แหละสองสามเล่ม” เซี่ยเจิงตบไปบนหนังสือแบบฝึกหัดที่วางอยู่ด้านข้าง
“นายก็สุดยอดเหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอพูดพลางหาวขึ้นมา ศีรษะก็เอียงพิงลงไปบนบ่าของเซี่ยเจิง “ทำไมพอฉันเห็นหนังสือก็ง่วงขึ้นมาอย่างกับเป็ทฤษฎีการวางเงื่อนไข [1] ยังไงยังงั้นเลย”
“ถ้างั้นยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไหม? ” เซี่ยเจิงขยับเข้ามาใกล้เขาขึ้นอีกเล็กน้อย ให้ชวีเสี่ยวปอพิงได้สบายขึ้นอีกหน่อย
“ไปกัน ขืนอยู่ต่ออีกหน่อยฉันได้หลับแน่” ชวีเสี่ยวปอะโตัวลุกขึ้นมา พร้อมทั้งดึงเซี่ยเจิงขึ้นมาด้วย “หาที่เดินเล่นกัน”
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปทะเลสาบทางทิศใต้
ในเมืองที่ไม่ใหญ่เช่นนี้ การจะหาสถานที่เพื่อใช้ฆ่าเวลานี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทั้งยังไม่รู้ว่าคู่รักคู่อื่นเขาไปเที่ยวเล่นกันที่ไหน?
โรงภาพยนตร์? สวนสนุก? หรือว่าโรงแรม
ไม่ใช่ คิดไปไหนถึงไหนแล้ว
ชวีเสี่ยวปอส่ายศีรษะไปมา รู้สึกว่ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ เขาจึงแอบมองไปเซี่ยเจิงครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายถือหนังสือตั้งใจเดินเป็อย่างมาก แทบจะไม่ทันได้สังเกตเห็นเขา
แต่เมื่อมาถึงทะเลสาบทางทิศใต้ชวีเสี่ยวปอถึงได้พบว่า เขาคิดผิด
เนื่องจากเป็วันหยุด คนจึงเยอะมากกว่าปกติ ทุกคนแทบจะคว้าโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ในทุก่วันหยุด เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันสักหน่อย
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะว่าระหว่างทางเขาเอาแต่คิดอยู่ตลอดเลยว่าถ้าตรงนี้คนน้อยก็จะสามารถจับมือกับเซี่ยเจิง และยังหลอกล้อแต๊ะอั๋งอะไรทำนองนี้กันได้อีกด้วย
แต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าทำไม่ได้
“ให้ตายสิ คนเยอะขนาดนี้เลย” ชวีเสี่ยวปอลากขาไถลกับพื้นไปข้างหน้าสองก้าว ทั้งยังดูไม่ค่อยอยากจะเดินไปสักเท่าไหร่ “หรือว่าพวกเราจะไปป่าทะเลสาบนั้นกันดี? ”
“ตรงนั้นคนก็คงจะไม่น้อยเหมือนกัน ต่างจากตอนกลางคืนอยู่” เซี่ยเจิงดึงเขาเข้ามา “เดินไปเรื่อยๆ เถอะนะ แดดกำลังดีเลย”
“มันน่าเบื่อ !” ชวีเสี่ยวปอเริ่มงี่เง่าขึ้นมา แต่เมื่อเซี่ยเจิงบอกว่าให้เดิน เขาจึงเดินตามไป
อันที่จริงก็รู้สึกสบายมากเลยทีเดียว มันช่างไม่เหมือนกับวันนั้นที่พวกเขาทั้งสองคนเดินอยู่ในความมืด แสงแดดสาดส่องลงมาบนผิวน้ำของทะเลสาบจนเห็นเป็ระลอกคลื่น ทางเดินเล็กข้างทะเลสาบมีต้นแปะก๊วยปลูกเอาไว้อยู่ ใบไม้สีเหลืองทองร่วงหล่นลงมาปกคลุมบนพื้นจนเป็ชั้นหนา ในขณะที่เดินเหยียบลงจึงทำให้รู้สึกสบายเหนือคำบรรยาย
ทั้งสองคนเดินเล่นกันเกือบจะครึ่งหนึ่งของรอบทะเลสาบ จนมาถึงสถานที่เช่าเรือที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ ในตอนนั้นเองเซี่ยเจิงจึงดึงชวีเสี่ยวปอให้เดินตามไป
“ทำอะไรเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอหยุดฝีเท้าลง
“นายไม่ชอบคนเยอะไม่ใช่เหรอ” เซี่ยเจิงหันศีรษะกลับมามองเขา พร้อมทั้งยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอหรี่ตาพลางดีดนิ้วขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างมีความสุข : “เด็กเรียนยังไงก็คือเด็กเรียนจริงๆ ”
ทั้งสองคนรีบวิ่งเข้าไปที่หน้าต่างบานเล็กอย่างตื่นเต้น “สวัสดีครับ พวกเราอยากจะเช่าเรือสักลำครับ”
“ลำเล็กชั่วโมงละแปดสิบ ส่วนลำใหญ่ชั่วโมงละร้อยยี่สิบ เช่าแบบไหนดี? ” เดาว่าวันวันหนึ่งคงจะมีไม่กี่คนที่มาพายเรือ เพราะพนักงานขายตั๋วที่นั่งอยู่ในนั้นจึงดูเกียจคร้านอย่างเห็นได้ชัด
“แบบที่เป็เรือเป็ด คือลำเล็กหรือลำใหญ่ครับ? ” เซี่ยเจิงชี้ไปยังเรือที่ลอยอยู่บนทะเลสาบ
ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็มองไปตามทางที่นิ้วของเขาชี้ไป อดไม่ไหวที่จะขำออกมา เรือเป็ดลอยไปมาอยู่บนทะเลสาบช่างตลกสุดจะบรรยายจริงๆ
“อันนั้นเป็แบบลำใหญ่ นายสองคนต้องใช้แรงถีบเยอะเกิน” พนักงานขายตั๋วเหลือบไปมอง “เช่าแบบลำเล็กก็พอ”
“เอาแบบลำเล็กก็ได้! พวกเราเอาลำเล็กครับ” ชวีเสี่ยวปอแย่งพูดขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงล้วงเงินในกระเป๋าออกมายื่นให้เขา “เร็วเข้า! ตอนนี้ฉันอยากจะขึ้นเรือจะแย่อยู่แล้ว! ”
.............................
เชิงอรรถ
[1] ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของพาฟลอฟ คือการตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้าหนึ่งมักมีเงื่อนไขหรือสถานการณ์เกิดขึ้น โดยสิ่งเร้าที่้าให้เกิดการเรียนรู้จากการวางเงื่อนไข พาฟลอฟ เรียกว่า สิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข ส่วนการตอบสนองก็เรียกว่า การตอบสนองที่มีเงื่อนไข