หลังจากในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัวไม่มีร่องรอยความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวานปรากฏให้เห็น หลังจากจัดการล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จแล้วตัวเขาจึงออกกำลังฝึกฝนวรยุทธตามความคุ้นชินตั้งเเต่ยามอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจาง แม้ว่าในยามปกตินั้นเขาจะวิ่งรอบจวนสักสิบรอบเสียก่อนจึงจะฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆ
สำหรับเช้าของวันนี้ท่านตาหวังจิ่งหลงจะทำการสั่งสอนอีกทั้งถ่ายทอดบทเวทย์ที่เป็เคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังให้แก่เขากับลู่ซี พวกเขาทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็ลูกหลานของตระกูลหวังสายหลักของแคว้นเต่าดำเเล้ว เหลือเพียงกระทำให้ถูกต้องตามประเพณีที่ศาลบรรพชนของตระกูล อันเป็สถานที่ต้องข้ามที่จะต้องมีวาระสำคัญเท่านั้นจึงจะมีการจัดทำพิธีที่ศาลบรรพชนดังกล่าวได้
''หนิงอ้าย ก่อนหน้านี้หลานได้ศึกษาบทเวทย์โดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานใช่หรือไม่?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น โดยที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปลีกตัวกันมายังศาลากลางจวน โดยที่ที่นั่งด้านข้างหนิงอ้ายมีลู่ซีนั่งอยู่ติดกันไม่ห่างไปนัก
''ขอรับท่านตา ก่อนหน้านี้ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็บทเวทย์เเรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะได้ศึกษาบทเวทย์ต่างๆ ขอรับ...'' หนิงอ้ายยอมรับด้วยความเขินอาย
''เเล้วเ้าละลู่ซี หลานเคยได้ศึกษาอักษรเวทย์มาก่อนบ้างหรือไม่?'' หวังจิ่งหลงถามเด็กหนุ่มผู้เป็หลานบุญธรรมของตนด้วยคำถามเดียวกัน
''ก่อนหน้านี้ข้าพอได้ศึกษามาบ้างขอรับท่านตา เพียงแต่อาจยังไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าไหร่นักขอรับ...'' ลู่ซีตอบไปด้วยใบหน้าที่เขินอายเช่นกัน
''ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร พวกเ้าอย่างพึ่งกดดันจนเกินไป ตาจะสอนเื่ราวพื้นฐานเหล่านี้ให้กับพวกเ้าเอง... ''
''บทเวทย์เเต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็ บทเวทย์โจมตี บทเวทย์ป้องกันหรือบทเวทย์รักษา ล้วนต่างมีความเเข็งแกร่งรวมไปถึงมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้บทเวทย์จะบัญชาการเรียกใช้ในสถานการณ์ไหนหรือจะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับความสามารถของตนได้เพียงใด...''
''แน่นอนว่าการที่ผู้ฝึกตนจะสามารถใช้บทเวทย์ และดึงเอาศักยภาพของบทเวทย์เ่าั้ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจในพื้นฐานของบทเวทย์เช่นกัน เพราะนอกจากบทเวทย์จะมีถึงสามประเภท สามรูปแบบเเล้ว ระดับของบทเวทย์ที่แบ่งออกเป็ทั้งหมดเจ็ดเขตขั้น นั่นคือ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับเทวะ ระดับ์ ระดับเซียนและระดับา (ตำนาน) อันเป็เขตขั้นสุงสุดของสรรพบทเวทย์... ''
''เพราะการใช้บทเวทย์ในแต่ละครั้งจะเป็การสอดประสานเข้ากับปราณธาตุของผู้ฝึกตนเป็หลัก ดังนั้นการเรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานจึงนับได้ว่ามีความจำเป็อย่างยิ่ง เพราะการศึกษาบทเวทย์ต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องเเท้จะสามารถดึงเอาศักยภาพของบทเวทย์เ่าั้ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด อย่างไรสิ่งเหล่านี้ตาจะให้ความรู้เกี่ยวกับอักษรบทเวทย์ให้ ลู่ซี หลานพอมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง อย่างไรก็ทบทวนไปพร้อมกับหนิงเอ๋อร์ด้วยเลยเล่า…''
''ขอรับท่านตา'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
''อักษรเวทย์นั้นว่ากันว่าเเต่เดิมมีมากถึงถึงหนึ่งพันตัวอักษรเเต่ในปัจจุบันนี้นั้นอักษรเวทย์ที่ใช้กันอย่างเเพร่หลายจะอยู่เหลือเพียงสองร้อยห้าสิบตัวอักษรเท่านั้นทั้งนี้เกิดจากที่ตัวอักษรโบราณมีน้อยคนนักที่จะเชี่ยวชาญอีกทั้งยังยากต่อการจดจำเเละการใช้งาน...'' หวังจิ่งหลงอธิบายให้ทั้งสองคนได้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วก่อนที่นทีจะเข้ามาอยู่ในร่างของหวังหนิงอ้าย เขาเป็อีกคนที่ชื่นชอบเรียนรู้ในด้านของภาษา วัฒนธรรมต่าง ๆ มีหลายครั้งที่เขาเลือกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อััชีวิตในมุมมองใหม่ อีกทั้งการทำธุรกิจในโลกเดิมของเขากลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าต่างชาติไม่ว่าจะทั้งในฝั่งยุโรปอเมริกาและทางเอเชีย โดยเฉพาะกับกลุ่มนักธุรกิจชาวจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็กลุ่มนักลงทุนที่มีความใจกล้าและมีมุมมองทางด้านธุรกิจที่ตรงกันหลายอย่าง
ดังนั้นนอกจากภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสเเล้ว ภาษาจีนเขาก็ได้มีการศึกษาเช่นกัน จนถึงขั้นที่ว่าหลงไหลเป็อย่างมากเกี่ยวกับตัวอักษรจีนโบราณและตัวอักษรจีนที่ใช้ในปัจจุบันรวมถึงการฝึกเขียนโดยใช้หมึกและพู่กัน เพราะว่าต้นกำเนิดของตัวอักษรจีนนั้นเกิดจากการลอกเลียนเเบบรูปร่างต่างๆ นั่นเอง...
จากการสังเกตและศึกษามานั้นรูปแบบการวาดอักษรบทเวทย์ต่าง ๆ ทำให้หนิงอ้ายได้ค้นพบว่าแทบไม่มีความแตกต่างกันกับตัวอักษรจีนโบราณที่ตนเคยได้ศึกษามาก่อนหน้าในโลกเดิม เพียงเเต่ว่าอักษรบทเวทย์ต่าง ๆ จะมีรายละเอียดมากกว่าเล็กน้อย สิ่งที่เพิ่มมานั้นจะเป็การเพิ่มพลังอำนาจของอักษรเวทย์โดยการหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ ดังนั้นบทเวทย์เเต่ละบทจะมีอักษรเวทย์ที่แตกต่างขึ้นอยู่กับว่า้าเน้นเสริมเป็พลังปราณธาตุใด
หวังจิ่งหลงได้มอบตำราเกี่ยวกับอักษรเวทย์โบราณอันเป็ตำราของท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังให้แก่หนิงอ้ายได้ศึกษาด้วยเพราะการใช้บทเวทย์นั้นจำเป็ต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับอักษรเวทย์ให้แตกฉานให้ได้มากที่สุด แม้ว่าอักษรเวทย์ที่ยังมีการใช้กันอย่างเเพร่หลายในปัจจุบันนี้ถือได้ว่าเป็ตัวอักษรที่มีพลังเเล้วก็จริง เเต่หากเทียบกับอักษรเวทย์โบราณแล้วย่อมมีความแตกต่างกันในเื่ของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
''หนิงเอ๋อร์ หลานแน่ใจนะว่าไม่เคยเรียนอักษรเวทย์มาก่อนหน้านี้?'' หวังจิ่งหลงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
หนิงอ้ายสามารถเรียนรู้อักษรเวทย์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าใจได้ราวกับว่าตำราอักษรเวทย์โบราณที่พึ่งได้รับมานั้น เด็กหนุ่มสามารถศึกษาได้อย่างง่ายดายคล้ายกับเป็สิ่งที่คุ้นเคยหรือศึกษามาก่อนหน้านี้หรือเคยเห็นผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น ท่าทางของหนิงอ้ายไม่เหมือนกับผู้ที่เริ่มศึกษาเป็ครั้งเเรก เหมือนกับในตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังทำความเข้าใจหรือเพียงเเค่ทบทวนความจำเพียงแค่นั้น
''ข้าไม่เคยเรียนอักษรเวทย์มาก่อนขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้านั้นชื่นชอบสังเกตุเป็พิเศษจึงทำให้เห็นความแตกต่างของอักษรเวทย์โบราณกับอักษรเวทย์ที่พวกเราต่างใช้ในปัจจุบัน เพราะว่าอักษรเวทย์โบราณจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมาบางส่วนเฉพาะที่เป็เอกลักษณ์..."
"จริงอยู่ที่ว่าบางตัวอักษรจะมีความใกล้เคียงกับอักษรเวทย์โบราณก็จริง เเต่จุดสังเกตุนั่นคือรายละเอียดจำนวนขีดที่เพิ่มขึ้นมาเเทนที่ แม้ว่าจะเป็ตัวอักษรเวทย์ที่มีรูปแบบคล้ายกับว่าเป็ตัวอักษรเดียวกันก็จริง เเต่หากเพียงเเค่เพิ่มไปเพียงเเค่หนึ่งขีดเท่านั้นความหมายและรูปแบบพลังจะแตกต่างกันในทันทีขอรับ..."
"ที่สำคัญคืออักษรเวทย์ต่าง ๆ จะมีการวาดขึ้นเป็การวาดเลียนแบบธรรมชาติหรือสิ่งอื่นหรือหาก้าจำง่าย ๆ ให้คิดว่าคล้ายกับการวาดภาพต่าง ๆ ด้วยพู่กันที่มีการลงรายละเอียดในจุดใหม่ เมื่อข้าสังเกตและเเยกตัวอักษรเวทย์ได้แล้วเช่นนั้น ข้าได้วาดภาพตัวอักษรดังกล่าวในหัวก่อนที่จะร่ายบทเวทย์ดังกล่าว ด้วยวิธีนี้ทำให้ข้านั้นสามารถจดจำได้รวดเร็วขึ้นขอรับ...'' หนิงอ้ายสรุปตอบไปตามความเข้าใจ
''ยอดเยี่ยมนักหนิงอ้าย ความสามารถพน์เช่นนี้นับได้ว่าเป็อัจฉริยะในรอบหลายร้อยปีเลยรู้ตัวหรือไม่? เ้าใช้เวลาเเค่ปีกว่าเท่านั้นเเต่กลับถึงพร้อมด้วยราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสามัญ อีกทั้งยังเป็ผู้ฝึกตนพลังปราณสุริยะธาตุเช่นเดียวกันกับท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังของเราอีกด้วย..."
"มากไปกว่านั้น หลานยังมีพร์ทางด้านอักษรเวทย์อย่างเเท้จริง ไม่เพียงเเต่สามารถเข้าใจและจดจำได้ในเวลาอันรวดเร็วแล้ว เเต่ยังสามารถยกระดับบทเวทย์รวมไปถึงสรรสร้างเขียนบทเวย์ขึ้นมาเองได้เช่นนี้ทั้งที่อายุและระดับพลังิญญายังน้อยนับว่าเป็ความสามารถที่โดดเด่นว่ารุ่นเยาว์เดียวกันยิ่ง...'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
ก่อนหน้านี้หลายปีหนิงอ้ายได้โดนกล่าวหาว่าเด็กหนุ่มเป็เพียงเป็คุณชายไร้ค่า เป็เพียงสวะของตระกูลเพียงเท่านั้นแต่ความจริงหาได้เป็เช่นนั้นเลยแม้เเต่น้อย หวังนิงอ้ายหลานของเขานับว่าเป็อัจฉริยะเป็ผู้มีพร์อย่างเเท้จริง...
''ขอบคุณขอรับท่านตา ข้าสัญญาว่าจะไม่หยุดพัฒนาตัวเองขอรับ!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น
''ข้าก็จะตั้งใจเรียนรู้ทุกสิ่งที่ท่านตาเมตตาสั่งสอนและจะไม่หยุดพัฒนาตนเช่นเดียวกับขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นเช่นกัน
''ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่บ้าง บทเวทย์ระดับ์และบทเวทย์ระดับเซียนนั้นถือได้ว่ามีความแตกต่างกันมากหรือไม่ขอรับ??'' หนิงอ้ายถามขึ้นด้วยความสงสัย
เพราะหากกล่าวว่าบทเวทย์ระดับ์เป็สิ่งที่หาได้ยากมากที่จะได้ในยุทธภพเเห่งนี้ บ้างก็ว่าบทเวทย์ระดับเซียนนั้นเป็เพียงการเล่าขานกันมาช้านาน ทั้งสองบทเวทย์ที่เหนือชั้นกว่าบทเวทย์ระดับเทวะยังไม่ปรากฏถึงผู้ที่ถือครองบทเวทย์ระดับเทพดังกล่าวนี้ในปัจจุบัน...
''บทเวทย์เเต่ละระดับจะมีการใช้ตัวอักษรเวทย์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันทั้งสิ้น แต่ยังคงมีความแตกต่างกันในเื่ตำแหน่งจัดวางของบทเวทย์จะมีอักขระปราณธาตุกำกับอยู่ นอกจากนี้เเล้วรูปแบบการวางตำแหน่งตัวอักษรเวทย์รวมไปถึงรูปเเบบของการวาดบทเวทย์ล้วนมีความแตกต่างที่เห็นได้...''
''หากมองว่าบทเวทย์ระดับ์มีพลังอำนาจที่กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีสิ่งใดต้านทานได้เเล้ว เเต่หากว่าเปรียบเทียบกับบทเวทย์ระดับเซียนเเล้ว หากเอ่ยเปรียบเทียบโดยให้เห็นภาพชัดเจนก็เหมือนกับการใช้บทเวทย์ระดับ์นับสิบครั้ง จึงจะสามารถเทียบเท่ากับการใช้บทเวทย์ระดับเซียนเพียงครั้งเดียว''
''สำหรับบทเวทย์ระดับ์และบทเวทย์ระดับเซียนจะมีประสิทธิภาพที่กล่าวได้ว่ารุนเเรงกว่าบทเวทย์ระดับอื่น นั่นด้วยเพราะการวางรูปแบบบทเวทย์ที่ทับซ้อนหลายชั้น ผสานเข้ากับการหยิบยืมเอาพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์เข้ามาใช้ในบทเวทย์อย่างสมดุล แต่อย่างไรเเล้วก็ตามระดับพลังิญญาของผู้ฝึกตนที่จะใช้บทเวทย์ทั้งสองประเภทนั้นก็ต้องอยู่ในระดับสูงเช่นกันจึงจะสามารถมีผลลัพธ์เช่นนั้นได้..." หวังจิ่งหลงอธิบายให้สามารถเข้าใจได้มากขึ้น
''ข้าเข้าใจมากขึ้นแล้ว ขอบคุณท่านตาขอรับ...'' หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจ ในเื่ของความแตกต่างของระดับบทเวทย์myh’ lv’
ลู่ซีนั่งฟังการสนทนาของหนิงอ้ายกับท่านตาหวังจิ่งหลงเพื่อเป็ความรู้ที่มีมุมมองกว้างขึ้น เขาได้เเต่นั่งยิ้มระบายด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยเพราะว่าตัวเขาได้อยู่กับหนิงอ้ายคนเก่ามาตั้งเเต่อีกฝ่ายยังเป็เด็กน้อย หลังจากเหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มนั้นไม่สามารถปลุกพลังิญญาได้คงเป็เื่ราวที่กระทบจิตใจเป็อย่างมาก แต่สิ่งที่หนิงอ้ายที่ในตอนนั้นเป็มีอายุเพียงเจ็ดแปดปีเลือกที่จะทำนั่นก็การอ่านตำราแขนงต่าง ๆ และมีการฝึกฝนวรยุทธบ้างถึงแม้ว่าร่างกายของจะไม่ค่อยเเข็งแรงก็ตาม ครั้นเมื่อมารดาสั่งสอนเกี่ยวกับศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีตัวหนิงอ้ายคนเก่าก็สามารถทำได้ดีแทบจะไร้ที่ติเสียด้วยซ้ำ...
เพราะหลังจากเหตุการณ์ปลุกพลังิญญาในปีนั้น หนิงอ้ายในวัยเด็กคงรู้สึกฝังใจในคำพูดทีได้ยินผู้คนะโด่าทออย่างมากมายในวันพิธีดังกล่าว รวมไปถึงบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นที่ต่อหน้านั้นแม้จะเรียกหนิงอ้ายว่าคุณชายใหญ่ก็จริง เเต่ลับหลังล้วนต่างนินทาว่าตัวเด็กหนุ่มนั้นเป็สวะของตระกูล ที่แม้เเต่บ่าวไพร่ในเรือนที่มีหน้าที่รับใช้ต่ำสุดยังสามารถปลุกพลังิญญาได้ อาจจะเป็ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้หนิงอ้ายคนเก่านั้นไม่ยอมเปิดใจศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องในวิถีของผู้ฝึกตนด้วยเพราะคิดว่าคงเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฝึกไปก็ไม่สามารถใช้พลังปราณธาตุได้นั่นเอง…
หลังจากหนึ่งปีผ่านมาที่หนิงอ้ายฟื้นคืนจากการล้มป่วยด้วยเพราะถูกกลั่นแกล้งให้ตกน้ำแม้จะเป็เวลาที่มานานนักก็จริง แต่ด้วยเพราะแต่เดิมร่างกายของหนิงอ้ายก็มีความอ่อนแออยู่แล้ว ในตอนนั้นลู่ซีคิดว่าตนจะต้องสูญเสียคุณชายของตนไปแล้วเป็แน่ ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันเด็กหนุ่มกลับหายจากอาการป่วยดังกล่าวได้อย่างน่าประหลาดใจ หลังที่รักษาจนหายดีแล้วจึงได้ทำการปลุกพลังิญญาสำเร็จหลังจากนั้นจึงเอาเเต่ทุ่มเทฝึกฝน อีกทั้งยังศึกษาตำราต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อจน เพียงเเค่หนึ่งปีก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็ราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสามัญได้เเล้ว นับได้ว่าเป็อัจฉริยะมากไปด้วยพร์คงไม่เกินจริงไปนัก...
จากนั้นหนิงอ้ายใช้เวลา่เช้าในการเรียนรู้เกี่ยวกับตำราบทเวทย์ต่าง ๆ นอกจากที่เขาและลู่ซีได้ทำการศึกษาเคล็ดวิชาระดับสูงของตระกูลหวังเเล้ว หวังจิ่งหลงยังได้มอบบทเวทย์ปลอมแปลงให้แก่หนิงอ้ายอีกด้วยด้วยเพราะรูปลักษณ์ในตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีความโดดเด่นเกินไปจนอาจชักนำอันตรายที่ไม่คาดคิดได้ อีกทั้งได้มอบตำราบทเวทย์ต่าง ๆ ที่ตรงกับปราณธาตุต้นกำเนิดของเขาทั้งสองและมอบผลึกปราณธาตุรให้อีกด้วยสำหรับการเพิ่มระดับพลังิญญาให้ได้มากที่สุด
หนิงอ้ายอยากรู้ไม่น้อยว่าต้นกำเนิดของตระกูลหวังนั้นยิ่งใดเพียงใดกันจึงสามารถครองครองตำราบทเวทย์ระดับสูงที่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โบราณ รวมไปถึงทรัพยากรสำหรับเพิ่มพูนระดับพลังิญญาอย่างมากมายเช่นนี้ แม้ว่าท่านตาของเขาจะไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา หนิงอ้ายคาดคิดเอาไว้ว่าต้นตระกูลและท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังย่อมมีความเป็มาที่ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาสามัญเป็แน่ อย่างไรเข้าใจได้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องหาความจริงในตอนนี้ เพราะอย่างไรเสียหนิงอ้ายคิดว่าเขาคงจะได้รู้เื่ราวความเป็มาเมื่อถึงเวลาอันสมควรในสักวันแน่นอน
การเรียนรู้อักษรเวทย์ของหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็ไปด้วยดี มากไปกว่านั้นทั้งสองยังได้เรียนรู้บทเวทย์ที่เป็เคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังหลากหลายบท อีกทั้งยังได้เรียนบทเวทย์ระดับสูงที่หนิงอ้ายนั้นคิดว่าตนสามารถนำมาปรับใช้ในงานประลองได้นับว่าหวังจิ่งหลงส่งต่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของอักษรเวทย์รวมไปถึงเคล็ดลับเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ ที่สามารถดึงศักยภาพของบทเวทย์ออกมาได้มากที่สุดนั่นเอง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้