เล่มที่ 3 บทที่ 69
ดั้งจมูกที่เขาคิดอยู่เสมอว่าหล่อเหลาน่าภาคภูมิใจถูกคนทำหัก นั่นคือสิ่งที่หมอเทวดาโมโหมากที่สุด และแม้กระทั่งตอนถูกวางยาพิษอวสานของปรมาจารย์ปรุงยาพิษ ก็ยังไม่ได้ทำให้เขาโกรธถึงเพียงนี้
หลายวันที่ผ่านมา หมอเทวดาได้แต่ก่นด่าเด็กสาวที่สมควรตายคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาจับนางได้ ดูซิว่า เขาจะถลกหนังและซี่โครงออกมาอย่างไร
เดิมทียังคิดอยู่ว่าด้วยความกว้างใหญ่ของเมืองหลวง เขาจะหาเด็กสาวสมควรตายคนนั้นได้อย่างไร? แต่เขาไม่นึกไม่ฝันว่า ในขณะที่เขาพยายามหาแทบตายกลับไม่เจอ แต่พอเลิกหา เลิกสนใจ กลับพบเจอโดยง่ายแบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น สิ่งที่ได้มากลับไม่ต้องพยายามเลยแม้แต่น้อย
เขาแสยะยิ้มพลางพลิกมือทั้งสองข้าง ทุกคนยังคงสงสัยว่าทำไมผ้าม่านสีแดงสวยงามของรถม้าถึงได้ทิ้งตัวลงมาอย่างกะทันหันเพื่อปิดกั้นภาพด้านใน แต่จังหวะนั้นผู้คนก็ได้ยินเสียงจากข้างหน้าอย่างฉับพลัน
“องค์ชายสามมาต้อนรับด้วยตัวองค์เอง หรือว่าการอภิเษกสมรสในคราวนี้เป็การอภิเษกสมรสเพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับโอรสของฮ่องเต้?”
“เป็สิ่งที่พูดยาก ซื่อจื่อสองสามคนยังไม่ได้อภิเษกสมรส และคราวนี้องค์ชายรองก็ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ คุณค่าขององค์หญิงองค์นี้ก็ต่ำ บางทีการอภิเษกสมรสในคราวนี้อาจไม่เกี่ยวอะไรกับราชวงศ์”
“มันเป็สิ่งที่พูดยากจริงๆ โธ่ เื่ของราชวงศ์ช่างคาดเดาได้ยากจริงๆ”
องค์ชายสามที่อยู่เบื้องหน้ามาต้อนรับด้วยตัวเองซึ่งเป็การให้เกียรติแก่องค์หญิงเป็อย่างมาก สายตาของผู้คนจึงเลื่อนจากบนรถม้าไปทางองค์ชายสามที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา
ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะพบองค์ชายสามได้อย่างที่้าเสมอ
องค์ชายสามอยู่บนหลังม้าอาชาไนยตัวหน้า เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงลายก้อนเมฆล่องลอย แขนเสื้อกุ๊นขอบด้วยด้ายสีทอง มือจับสายบังเหียน ข้อต่อกระดูกนิ้วมือเรียวยาวปรากฏชัด โดยเฉพาะภายใต้แสงแดดจัดจ้า จึงขาวแพรวพราวอย่างยิ่ง
หากพิจารณาลักษณะท่าทาง จะสังเกตเห็นรอยยิ้มเกียจคร้านบนใบหน้าอันหล่อเหลาซึ่งงดงามราวกับรูปสลัก สันกรามคมชัดยิ่งส่งเสริมให้ชวนมองแม้จะมีรอยยิ้มเกียจคร้านคล้ายไม่ใส่ใจประดับอยู่
ดวงตาของเขาเป็ประกายก่อนแสงวาววาบที่ฉายออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจะถูกระงับไว้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ถึงกระนั้นผู้คนกลับไม่กล้าที่จะมองโดยตรง เขาเกิดมาพร้อมกับดวงตาดอกท้อคู่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล มองแค่ปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะทำให้ผู้คนลุ่มหลงหากไม่ระวัง
ใบหน้าเช่นนั้นทำให้พวงแก้มของหญิงสาวมากมายถึงกับกลายเป็สีอมชมพูเพราะรู้สึกเคอะเขินตลอดเวลา มิหนำซ้ำมีหลายคนถึงกับเป็ลมเนื่องจากตื่นเต้นมากเกินไป
องค์ชายสามมองสภาพการณ์รอบตัวด้วยดวงตาอันชั่วร้ายเ็า ต่างจากริมฝีปากสีแดงได้รูปซึ่งยกขึ้นเป็รอยยิ้มพร่างพราย
ด้วยรอยยิ้มนั้นส่งผลให้บรรยากาศกดดันเมื่อครู่ก่อนกลายเป็ความคลุ้มคลั่งอย่างฉับพลันและเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีทหารองครักษ์คอยอารักขาทั้งสองข้างทาง เกรงว่าผู้หญิงหลายคนจะไม่สนสถานะสูงต่ำและกระโจนพรวดเข้าไปโดยตรงเป็แน่
ท่ามกลางความโกลาหลเบื้องหน้า มู่หรงฉิงกลับไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจั้แ่ที่นางเห็นท่าทีของหมอเทวดาซึ่งมองนางเหมือนจะกลืนกิน นางก็อยากจะจากไปโดยเร็วที่สุด
ขณะที่ฝูงชนชุลมุนวุ่นวาย มู่หรงฉิงจึงดึงปี้เอ๋อร์และเดินไปพร้อมกับฝูงชน ก่อนเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกและหนีไปไกลพร้อมกับปี้เอ๋อร์
“เฮอะ น่าหวาดกลัวจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าประชาชนธรรมดาทั่วไปจะหลั่งไหลออกมามากถึงเพียงนี้” ปี้เอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ ราวกับว่านางยังไม่ฟื้นจากภาพฉากความพลุกพล่านของผู้คนเมื่อครู่อย่างไรอย่างนั้น
"อย่าดูถูกประชาชนคนธรรมดา คนโบราณกล่าวว่า 'น้ำสามารถพยุงเรือได้ และน้ำก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน'" หลังจากหายใจเข้าหายใจออกหลายหน สมองของนางพลอยนึกไปถึงใบหน้าอันน่าสยดสยองของผู้หญิงคนนั้นที่นางเคยพบ
ผู้หญิงในทุ่งหญ้าส่วนใหญ่มีความกล้าหาญและประพฤติตนอย่างอิสระ โดยไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์หรือประเพณีใดๆ นอกจากนั้นพวกนางยังเก่งกาจทั้งการขี่ม้าและยิงธนู ด้วยอุปนิสัยอันกล้าหาญจะเป็ไปได้อย่างไรถ้านางต้องนั่งในรถม้าคลุมม่านแดงตามกฎระเบียบ? มิหนำซ้ำนางจะใช้ผ้าคลุมหน้าตามธรรมเนียมประเพณีของผู้หญิงในจงหยวนได้อย่างไร?
หลังจากคิดพิจารณา คงเป็เพราะยาพิษที่หมอเทวดาให้องค์หญิงทานยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แต่ครั้นคิดไตร่ตรองอีกหน นางกลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หลังจากกินยาในวันนั้น รอยแผลของอีกฝ่ายก็หายดีอย่างรวดเร็วซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่ายาแก้พิษมีประสิทธิภาพดีมาก
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก็มีเพียงคำอธิบายที่สมเหตุสมผลในใจ บางทีพิษบนใบหน้าขององค์หญิงอาจจะได้รับการรักษาแล้ว แต่เพราะหมอเทวดาถูกทำร้ายจนดั้งหัก ด้วยความโมโหเขาจึงวางยาพิษองค์หญิงอีกหน
คำอธิบายดังกล่าวค่อนข้างสมเหตุสมผลแต่มันทำให้มู่หรงฉิงยิ่งไม่มั่นใจเพิ่มมากขึ้น
นางควรจะไปพบหมอเทวดาหรือไม่? นางอยากรู้จริงๆ ว่า ‘ครึ่งปี’ ในสมุดบันทึกเล่มนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงวันนั้น วันที่ได้ดื่มยาอันน่ารังเกียจนั่น นางก็รู้สึกเ็ปจนอยากจะตาย พริบตาต่อมานางกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและรู้สึกลังเลเป็อย่างมาก
“ข้านึกว่าเ้าถูกเหยียบตายไปแล้วเสียอีก ปรากฏว่าเ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
น้ำเสียงไม่จริงจังดังขึ้นมา เมื่อเลื่อนสายตามองก็เห็นจ้าวจื่อซินเดินเข้ามาด้วยท่าทางเ็า
นางมีเื่ให้ต้องคิด จึงไม่อยากจะพูดกับเขานัก "ข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ข้าจะกลับจวนก่อนแล้ว"
พูดจบจากนั้นถึงได้หันหลังกลับและเดินจากไป
เพียงแต่ยังไม่ทันได้ย่างเท้าออกไป ลมแรงจากด้านหลังซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นหอมของสมุนไพรก็พุ่งเข้ามา นางใมากและด้วยการเคลื่อนไหวที่ว่องไว นางไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะโต้กลับ มิหนำซ้ำไม่ทันเห็นว่าชายผู้นั้นเคลื่อนไหวอย่างไร นางกลับถูกจี้จุดเซวียจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เสียแล้ว
“คุณหนูใหญ่” ปี้เอ๋อร์ใและรีบใช้มือฟาดกลับไปที่หมอเทวดา
“ทำไมแม่นางน้อยอารมณ์รุนแรงมากกว่าข้าล่ะ? ข้ายังไม่ได้ใช้กำลังเลยแต่ทำไมเ้าถึงใช้กำลังแล้วล่ะ?” หมอเทวดาพูดด้วยความไม่พอใจก่อนหายตัวไปราวกับภูตผี จากนั้นไปปรากฏตัวข้างหลังปี้เอ๋อร์และใช้มือที่สวมถุงมือตบไหล่ของปี้เอ๋อร์ "ทำตัวไม่น่ารักเลยจริงๆ ดูคุณหนูของเ้าสิ นางน่ารักมีมารยาทดีแค่ไหน"
ฝ่ามือของหมอเทวดาทำให้ปี้เอ๋อร์รู้สึกถึงความชาที่แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาและกระดูกนับร้อยท่อน ถัดจากนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกแมลงนับพันกัดต่อย ผิวหน้าของนางดูน่าเกลียดมาก แต่นางกลับไม่สามารถพูดหรือเคลื่อนไหวได้
“ตาเฒ่า เ้ากำลังจะทำอะไรหรือ?”
เห็นหมอเทวดาจัดการปี้เอ๋อร์ทั้งยังยกมือขึ้น ทำท่าจะล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินจึงเหยียดดาบยาวออกไปตีมือของหมอเทวดา "เ้าเคยมีนิสัยเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร เห็นผู้หญิงปราดหนึ่งก็ทำตัวเลินเล่อเชียว"
“นี่ จ้าวจื่อ…”
“เพราะโดนตากแดดกลางวันแสกๆ เ้าถึงได้ทำตัวไร้ยางอาย เ้าไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาหรือ?” เปล่งเสียงฮึเบาๆ และเดินไปยังตรงหน้าของมู่หรงฉิงพลางยกมือขึ้นคลายจุดเซวียของมู่หรงฉิง ก่อนที่จะดึงนางไว้ข้างหลังด้วยความว่องไว ท่าทีเหมือนจะปกป้องอย่างสมบูรณ์
“ข้า, จ้าวจื่อซินไม่ใช่คนจิตใจดีอะไร ในเวลานี้นางเป็เ้านายของข้าแล้ว ถ้าเ้าทำร้ายนางแม้เพียงเล็กน้อย เ้าย่อมรู้ผลที่จะตามมา” เขาชายตามองชุนรุ่ยและชิวเหอที่อยู่ด้านหลัง "พวกเ้ายังละล้าละลังอะไรอยู่หรือ? ประคองเ้านายของพวกเ้ากลับไปที่เรือน”
“ฮึ่ย เ้าสองคนนี้ก็มาด้วยหรือ?” เมื่อเห็นชุนรุ่ยและชิวเหอ หมอเทวดาก็หรี่ตาลง ชุนรุ่ยและชิวเหอหน้าตาไม่สู้ดีนักกับการพบเจอหมอเทวดา โชคดีที่จ้าวจื่อซินบังอยู่ด้านหน้า ทั้งสองถึงได้รีบช่วยประคองมู่หรงฉิง เดินอ้อมหมอเทวดา และพาปี้เอ๋อร์ซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดกลับเรือนอย่างรีบร้อน
จนกระทั่งไร้เงาผู้คน หมอเทวดาถึงได้หันไปมองจ้าวจื่อซิน "เ้ากำลังเล่นกลอะไรอยู่หรือ? ให้เ้าติดตามข้า แต่จะตีให้ตายอย่างไร เ้าก็ไม่ยอมติดตามข้า แต่เ้ากลับยอมรับเด็กสาวไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนนั้นว่าเป็เ้านาย”
จ้าวจื่อซินเหลือบมองหมอเทวดาปราดหนึ่ง เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยและเดินผ่านหมอเทวดาด้วยท่าทางอกผายไหล่ผึ่งกึ่งดื้อรั้นหัวแข็งไม่ยอมคนคล้ายไม่สนใจหมอเทวดา
ชิงยวี่ที่เดินตามด้านหลังจ้าวจื่อซินพลางลอบปาดเหงื่อ เ้านาย... ขอท่านโปรดอย่าดึงดัน ทุกครั้งที่เขาไม่กล้าทำอะไรท่าน แต่เขาสามารถทำให้ผู้น้อยรู้สึกว่าตายดีกว่ามีชีวิตได้
ในเรือน เมื่อมู่หรงฉิงเห็นเหงื่อร่วงลงจากบนหน้าผากของปี้เอ๋อร์ นางก็ไม่ลังเลใจอีกต่อไป
ครั้นหมอเทวดาและจ้าวจื่อซินเข้ามาในเรือน นางก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว "ผู้าุโ ขอเวลาพูดคุยสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่?"
"ฮึ่ย! เ้าดูสิ นางมาหาข้าด้วยตัวเอง" ในดวงตาของหมอเทวดาเจือความแดกดัน ทว่าน้ำเสียงของเขาแฝงอาการเย้าแหย่ "เื่ของเ้านายของเ้า เ้าที่เป็ลูกสมุนยุ่งให้มันน้อยๆ จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะไม่น่ารักนา"
พูดจบเขาก็จับมือของมู่หรงฉิงพร้อมมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ก่อนจะสุ่มเลือกห้องหนึ่งแล้วดึงนางเข้าไป
“ผู้าุโ ปี้เอ๋อร์ไม่เคยทำผิดอะไร ขอท่านโปรดให้ยาแก้พิษแก่นางด้วย”
ในตอนแรกคิดว่าจะต้องเกลี้ยกล่อมอีกมาก แต่ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากคำพูดเ่าั้หลุดออกไป มืออีกข้างของหมอเทวดากลับขว้างขวดสีเขียวออกมาราวกับเล่นกล โดยโยนขวดไปทางปี้เอ๋อร์ "กินเสีย นับว่าเป็เ้านายที่ดีจริงๆ”
หมอเทวดาดึงมู่หรงฉิง จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในห้องและปิดประตูซึ่งมันเป็เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
ครู่ก่อนตอนอยู่ข้างนอก จ้าวจื่อซินไม่รู้ว่าทำไมหมอเทวดาถึงได้ทำกับมู่หรงฉิงเช่นนั้น? แต่เมื่อคิดได้ว่าหมอเทวดาชอบใช้คนเพื่อทดลองยา เขาจึงคิดว่าหมอเทวดาอาจหลงใหลในตัวมู่หรงฉิงและ้าใช้นางเพื่อทดลองยา ดังนั้นเขาจึงไม่ถามไถ่ให้มากความ
แต่ครั้นกลับเข้ามาในเรือน เขานึกไม่ถึงว่ามู่หรงฉิงจะ้าพูดคุยกับหมอเทวดาด้วยตัวเอง และสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกอย่างคือหมอเทวดาดึงมู่หรงฉิงเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ประตูก็ปิดลงเสียแล้ว
ผิวหน้าของจ้าวจื่อซินกลายเป็สีขาวซีดก่อนกระโจนพรวดไปยืนอยู่หน้าประตู ในจังหวะที่เขากำลังจะยกเท้าขึ้นเตะประตู จู่ๆ เสียงของหมอเทวดาก็ดังแทรกออกมา “ถ้าเ้ากล้าที่จะเตะประตู ข้าจะวางยาพิษนางโดยตรง”
“ตาเฒ่า เ้ากล้าที่จะแตะต้องคนของข้า นับว่าเ้ารนหาที่ตายโดยแท้ เ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?” การคุกคามของหมอเทวดาทำให้เท้าของจ้าวจื่อซินหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ เขาเชื่อว่าถ้าเขาเตะประตูจริงๆ ตาเฒ่าคนนั้นจะต้องฆ่าคนเป็แน่
หลังจากฟังคำพูดของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงที่อยู่ข้างในถึงกับพูดไม่ออกจริงๆ นางกลายเป็คนของเขาั้แ่เมื่อไร? นางกลอกตามองบานประตูจากนั้นพูดเบาๆ ว่า "ข้าไม่ได้เจอกับผู้าุโเป็เวลานานแล้ว ก็แค่คุยกันถึงเื่เก่าๆ เท่านั้น เ้าไม่ต้องกังวล"
“ไม่เจอกันเป็เวลานาน? คุยกันถึงเื่เก่าๆ หรือ?” หลังจากได้ยินคำตอบ จ้าวจื่อซินจึงเลิกคิ้ว วางเท้าลงกับพื้นและยอมยืนนิ่งอยู่หน้าประตู “ทำอะไร ลับๆ ล่อๆ พูดคลุมเครือ มู่หรงฉิง เ้าจะโกหกคนทั้งทีก็ต้องใช้ทักษะให้มากกว่านี้ ตาเฒ่าคนนี้บอกว่าไม่เคยมาที่จงหยวนเป็เวลาสามปีแล้ว เ้ารู้จักเขาั้แ่เมื่อไร?”
เกี่ยวอะไรกับเ้าด้วยเล่า? แม้จะนินทาในใจถึงกระนั้นนางก็มีข้อสงสัยมากมายที่จะถามหมอเทวดา นางย่อมไม่อยากจะเสียเวลากับจ้าวจื่อซิน ดังนั้นนางจึงพลั้งปากออกไปว่า "สี่ปีที่แล้ว"
"เ้ามู่หรงฉิงตัวดี" จ้าวจื่อซินส่งเสียงฮึอย่างเ็าก่อนเตะกำแพงอย่างดุดัน และหันหลังเดินกลับไป "ตาเฒ่าคนนี้ไม่ได้อยู่ในจงหยวนเป็เวลาอย่างน้อยห้าปีแล้ว"
"..." เลื่อนสายตามองหมอเทวดาอย่างจนปัญญา มู่หรงฉิงรู้สึกจริงๆ ว่าคนประเภทเดียวกันมักจะคบหากันได้
จ้าวจื่อซินเป็คนบ้า และแม้กระทั่งหมอเทวดาก็ยังเป็คนประหลาดเช่นเดียวกัน
“เ้าชื่อมู่หรงฉิงหรือ?” หมอเทวดาดึงผ้าที่คลุมหน้าของตนออก “เ้าเป็คนทำดั้งจมูกของข้าหักใช่หรือไม่?”
“เอ่อ... จะพูดอย่างไรดี ดูเหมือนว่าจะเป็ข้าที่ทำดั้งจมูกของท่านหัก...” ข้าสามารถพูดปฏิเสธได้หรือไม่? ถ้าพูดออกไป เ้าจะไม่โกรธเกรี้ยวใช่หรือไม่?
“ดูเหมือนหรือ? เ้าไม่เพียงแต่ทำดั้งจมูกของข้าหักเท่านั้น เ้ายังขโมยสมุดบันทึกของข้าไปด้วยใช่หรือไม่?” พูดดังนั้น หมอเทวดาก็ถอดถุงมือสีดำที่ดูน่าอึดอัดโยนทิ้งไปด้านข้าง มือขาวจนน่ากลัวของเขาตบโต๊ะอย่างดุดัน
“เ้าเด็กไม่รู้ประสา คิดไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าวางแผนทำร้ายข้า คิดแล้วก็ปวดใจ จมูกของข้าเป็จมูกที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในภายภาคหน้า ก่อนหน้านี้สามภพก็ไม่มี และหลังจากนี้อีกหนึ่งหมื่นภพก็หาคนที่มีจมูกโด่งหล่อเหลาและชวนให้คนหลงใหลเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เ้าเด็กไม่รู้ประสา คิดไม่ถึงว่าจะทำมันหัก เดิมคิดว่าวันนี้ข้าจะต้องโดดเด่นให้มากที่สุด แต่เ้าดูสิ เ้าดูจมูกของข้าสิ จมูกของข้าพังหมดแล้ว ข้าทำได้เพียงสวมผ้าคลุมหน้าเท่านั้น ข้าไม่กล้าให้ผู้ใดพบเห็น"
เมื่อเอ่ยถึงเื่ที่ทำให้ขุ่นเคือง หมอเทวดาก็โน้มตัวไปข้างหน้าพลางจ้องมู่หรงฉิงอย่างดุดันและชี้นิ้วมือไปที่จมูกซึ่งมองไม่เห็นรอยแผลใดๆ จากนั้นแผดเสียงก่นด่า
มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ครั้นได้ยินคำต่อว่าของหมอเทวดาซึ่งเ้าตัวยังไม่ลืมที่จะชื่นชมจมูกของตนเอง แต่นางก็หยุดหัวเราะทันควันและพูดเบาๆ ว่า "ถ้าผู้าุโไม่พูด ผู้น้อยก็มองไม่เห็นจริงๆ ว่าจมูกเคยหักมาก่อน ท่านดูจมูกโด่งอันหล่อเหลาชวนให้คนหลงใหลนี้สิ นี่เป็จมูกที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในภายภาคหน้า ก่อนหน้านี้สามภพก็ไม่มี และหลังจากนี้อีกหนึ่งหมื่นภพก็ไม่มีใครสามารถมีจมูกที่สวยงามเช่นนี้ได้"
“จริงหรือ? มองไม่ออกว่าเคยหักใช่หรือไม่?” หมอเทวดาเลิกคิ้วขึ้นจากนั้นหยิบกระจกงามจากแขนเสื้อ เขายกกระจกขึ้นส่อง มองขึ้นลงและซ้ายขวา “อืม หลายวันมานี้ ข้ารักษาจมูกของข้าจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดูเหมือนว่ามันััได้ถึงความจริงใจของข้า และในที่สุดมันก็หายดีอย่างสมบูรณ์ก่อนถึงเวลาร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง”
"..." นี่คือหมอเทวดาจริงๆ หรือไม่? มู่หรงฉิงมองไปที่กระจกอย่างจนปัญญา จากนั้นหันมองหมอเทวดา นางรู้สึกขบขันในใจ ถึงกระนั้นนางก็เอ่ยคำพูดอันน่าฟัง "ทักษะทางการแพทย์ของผู้าุโไม่มีใครเทียบได้ในใต้หล้า กอปรกับจมูกโด่งและหล่อเหลาที่อยู่กับผู้าุโมาทั้งชีวิต จมูกจะพังง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ในเวลานั้น ผู้น้อยแค่เจ็บมากสุดจะทนจึงพลั้งมือไปก็เท่านั้น..."
องค์หญิงอะไรนั่น บาปนี้... ข้าแบกมันแล้ว