สถานที่ที่พวกนางผ่านมาคือห้องส่วนตัวขอหอเฟยชุ่ย ซึ่งมีไว้ให้บุคคลสำคัญของเมืองเทียนเฉิง ประตูบานหนึ่งเปิดออกกว้าง และมีเสียงที่ของสตรีหลายคนที่พูดคุยกันในอารมณ์ที่แต่งต่าง เมื่อลิ่วซีเดินผ่าน นางก็แอบมองดู พบว่ามีผู้หญิงมากกว่าสิบคนนั่งล้อมรอบชายคนหนึ่ง และชายที่อยู่ตรงกลางก็เพลิดเพลินไปกับหญิงงาม ดูเหมือนเขาจะเมา สายตาเหม่อลอย ใบหน้าแดงก่ำ
เขาคนนั้นคือกู้หนานเฟิง ลิ่วซีจึงวิ่งหนีอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ากู้หนานเฟิงจะเห็น แต่น่าเสียดายที่กู้หนานเฟิงซึ่งกอดหญิงสาวทั้งซ้ายและขวาไม่ได้โปรดปรานใครเป็พิเศษ ราวกับว่าพวกเขามีใจตรงกัน มองเห็นนางเดินผ่านประตู
เขาลุกขึ้นยืนทันที และเด็กสาวทั้งสองข้างก็ล้มลงกับพื้น แต่เขากลับไม่แยแส วิ่งออกไปทางประตูทันที
“หลิวเยว่”
“หลิวเยว่ เ้ากลับมานะ”
ลิ่วซีจะกล้าหยุดได้อย่างไร นางกับบกู้หนานเฟิงไม่เจอกันดีกว่า เพราะถ้าเจอมันจะเป็การทำร้ายเขา
กู้หนานเฟิงไล่ตามนางต่อไป แต่เพราะดื่มเยอะ เขาจึงวิ่งได้ไม่เร็วเท่าหลิวเยว่
“คุณชายกู้ โปรดหยุดก่อน ท่านจำผิดคนแล้ว”
มีคนขวางทางกู้หนานเฟิงไว้ เมื่อเขาจ้องไป คนผู้นั้นก็คือเจิ้นลิ่วเจิ้ง จากนั้นก็มองไปที่หลิวเยว่ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เขายิ้มออกมาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ข้าแค่อยากรู้ว่านางอยู่ในวังสบายดีหรือไม่”
เจิ้นลิ่วเจิ้งกลับไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดคุณชายกู้ถึงได้วิ่งตามน้องสาวเขา
“คุณชายกู้ เ้าจำผิดคนแล้ว”
“ใช่ ข้าจำผิดคนแล้ว คนที่ข้าตามหาคือแม่นางลิ่วเยว่”
ด้วยความช่วยเหลือของเตี๋ยเย่ ลิ่วซีกฃับวังมาได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนที่อยู่ไกลๆ ยังไม่เข้าไปในตำหนักลิ่วชิงนั้น ก็เห็นแสงไฟในตำหนักสว่าง และมีเสียงดังเอะอะโวยวาย
ลิ่วซีและเตี๋ยเย่มองหน้ากัน ในใจพลันตกตะลึง กลัวว่าอวิ๋นซู่จะรู้ว่านางแอบออกไปจากวัง เตี๋ยเยว่อยากเดินไปข้างหน้า แต่ลิ่วซีกลับห้ามนางไว้
“ข้าจะเข้าไปเอง เ้าไปที่ตำซิ่วหลิง รับเสื้อผ้าที่ข้าส่งไปเมื่อวาน คืนนี้เ้าไม่ได้อยู่กับข้า และไม่รู้ว่าข้าไปไหน”
ด้วยบทเรียนของเสียวอวี่ได้สอนลิ่วซี ลิ่วซีไม่กล้าเสี่ยงอีก สำหรับเตี๋ยเย่นางไม่จำเป็ต้องพูดมาก ก็หันตัวเดินไปที่ตำหนักซิ่วหลิงทันที
ลิ่วซีหายใจเข้าลึกๆ หลังจากสงบแล้วจึงเดินเข้าไปในตำหนักลิ่วชิง
ในเวลานี้ตำหนักลิ่วชิงวุ่นวายครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากสาวใช้และกงกงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว ยังมีองค์รักษ์ที่ติดอาวุธครบมือยืนอยู่รอบๆ แม้แต่ฮองเฮาชางรั่วอวี้ และสนมซินก็อยู่ที่นั่นด้วย อวิ๋นซู่ ยนอยู่ตรงกลางด้วยใบหน้ามืดมน เมื่อเห็นเจิ้นลิ่วซีเข้ามา สายตาของเขาก็ยิ่งเ็าราวกับบ่อน้ำที่มองไม่เห็นก้นบ่อ
ทุกคนถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นนางกลับมา แต่สายตาของจำหนักกลับมองนางด้วยความเกลียดชัง
ลิ่วซีคุกเข่าลง
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาที่นี่ โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วย” นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำในเวลานี้ไม่มีประโยชน์
อวิ๋นซู่ไม่พูดเพียงแค่จ้องไปที่ลิ่วซีที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่ข้างหน้า
แต่ชางรั่วอวี้กลับเป็คนเอ่ยออกมา
“พี่สาว ท่านไปไหนดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ พอไม่เห็นพี่สาว ฮ่องเต้ก็แทบจะพลิกวังหลวงค้นหา ถ้าท่านกลับมาช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วยาม ชีวิตคนในตำหนักคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว
ลิ่วซีคุกเข่าลงกับพื้น ในใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย นางไม่ต้องเงยหน้า ก็ยังััได้ถึงความขุ่นเคืองของคนในตำหนักที่มีต่อนาง นางทำเื่นี้ก็รู้ดีว่าจะได้พบกับเทพแห่งความตายทุกเวลา นางคุกเข่าให้อวิ๋นซู่
“หม่อมฉันกินอาหารมากไปเมื่อตอนเย็น จึงอยากจะออกไปเดินย่อยสักครู่ แต่พอเห็นแสงจันทร์คืนนี้สวยดี ข้าก็หยุดดู จนลืมเวลา หม่อมฉันผิดไปแล้ว ฝ่าาให้อภัยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
นางโขกศีรษะลงบนพื้น
ชางรั่วอวี้ก็เอ่ยถามอยู่ข้างๆ ราวกับหวังดี
“พี่สาว ท่านไปดูจันทร์ที่ไหน? องครักษ์ตามหาท่านตั้งนานแต่ไม่เจอ ครั้งหน้าถ้าจะออกไป ก็หาสาวใช้ไปเป็เพื่อน อย่างก็มีคนช่วยถือโคมไฟ
“ฮองเฮาเกล่าถูกแล้ว หม่อมฉันจะจำไว้”
ชางรั่วอวี้มองไปที่คนในตำหนัก และสั่ง
“ออกไปเถอะ ต่อไปก็ดูแลพระสนมซีให้ดี”
“ขอบพระทัยฝ่าาที่เมตตา ขอบพระทัยฮองเฮาที่เมตตา”
หลังจากเสียงโขกศีรษะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ราวกับรอดพ้นจากหายนะ ก็พากันออกไปจากตำหนักลิ่วชิง
ลิ่วซีไม่ได้พูดอะไร เพียงคิดว่า ภายใต้ความใจกว้างของฮองเอา เกรงว่าสถานการณ์ในวังของนางจะยิ่งโดดเดี่ยวและเงียบเหงามากขึ้น
กู้ซินที่เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางมองลิ่วซีอยู่นานราวกับพยายามดูว่านางหายไปไหนจากร่างกายของนาง เพราะมีความสัมพันธ์กับกู้หนานเฟิง กู้ซินจึงรู้สึกว่าเจิ้นลิ่วซีเหมือนกับมะเร็งร้ายที่ลุกราม พร้อมที่จะทำให้นางตายโดยไร้ทางรักษาได้
หลังจากที่บ่าวรับใช้ถอยออกไปหมดแล้ว อวิ๋นซู่ที่มีท่าทางเหนื่อยล้า ก็อ่ยเสียงต่ำ
“พวกเ้าทุกคนออกไปให้หมด”
ชางรั่วอวี้และกู้ซินเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ติดตามเอาเื่ของลิ่วซีในคืนนี้ พวกนางดูเหมือนไม่เต็มใจและขุ่นเคือง อุตส่าห์คอยผสมโรงมาครึ่งค่อนวัน แต่ผลสุดท้าย กลับไม่ได้ดูละครงิ้ว
หัวใจที่ลอยอยู่กลางอาการพลันตกลงไปที่พื้นที่
ชางรั่วอวี้มองไปที่กู้ซิน กู้ซินก็มองไปที่ชางรั่วอวี้ ทั้งสองทำอะไรไม่ถูกในขณธนั้น ได้แต่กะพริบตามองอย่างจนใจ สถานการณ์ในวังหลังเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ใต้หล้าของชางรั่วอวี้ และไม่ใช่ใต้หล้าของกู้ซินอีกต่อไป พวกเราเป็ศัตรูกันมาตลอด เวลานี้ มาร่วมมือกันได้นับว่าหาได้ยาก
เมื่อทุกคนออกไป ภายในตำหนักก็เงียบสงัด แสงเทียนสั่นไหว ลิ่วซีที่คุกเข่าอยู่นานก็รู้สึกปวดเล็กน้อย เครื่องหอมในเตาใกล้ ๆ มีควันขาวลอยฟุ้งออกมา
ความเงียบนี้ทำให้นางรู้สึกสับสน นางไม่อาจคุกเข่าแบบนี้ได้อีกต่อไป นางต้องทำอะไรบางอย่างให้อวิ๋นซู่หายโกรธ นางเงยหน้าขึ้น คิดจะพูดบางอย่าง แต่กลับมองเห็นแววตาที่ดำขลับและลึกล้ำของอวิ๋นซู่ที่จ้องมองมาที่นางมีเส้นสีแดงเล็กน้อย
เขาโน้มตัวลง เหยียดมือยาวออก ดึงลิ่วซีขึ้นมาจากพื้น พลังของเขาทั้งแรงและดุดัน ไร้ซึ่งความรานี ลิ่วซีเกือบจะลอยขึ้นไปบนอากาศขณะที่ประจันหน้ากับเขา เมื่อเห็นแววตาที่เฉียบแหลมของอีกฝ่าย ลิ่วซีรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย และในที่สุดนางก็แสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าเขา นางพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ครั้งนี้ ไม่มีคนนอกแล้ว ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมาเสียงต่ำ
“ขอโทษ”
นางทำท่าสำนักผิด แต่มันกลับไม่ได้ผล ใบหน้าของอวิ๋นซู่ยังคงน่าเกลียด
“ข้าจะไม่ให้โอกาสเ้าดเป็ครั้งที่สอง ไม่มีวัน”
อวิ๋นซู่ยังคงกระชากนาง ร่างกายที่ผอมบางของนางไม่จำเป็ต้องให้เขาใช้แรงมาก แต่ถึงแม้ร่างกายของนางจะเบาหวิว ราวกับลมสามารถพัดปลิวได้ แต่เหตุใดหัวใจของเขาถึงได้หนักอึ้งขนาดนี้
พานางกลับมาที่วัง จัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับตำหนักอวี้เซวียนของเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาในห้องทรงอักษร เขาก็สามารถมองเห็นตำหนักลิ่วชิงได้ และเห็นหน้าต่างห้องนอนของนาง
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขางานยุ่งมาก เพราะต้องหารือกับขุนนางใหญ่ที่จะส่งทหารออกไปรบกับแคว้นเสวียน การต่อสู้ของสองแคว้น ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ชอบทำอะไรเดิมๆ สิ่งนี้นำไปสู่ความรุนแรงของความขัดแย้งในปัจจุบัน การเดินทางของเขาในครั้งนี้มีความหวังที่จะชนะแคว้นเซวียนในคราวเดียว เพราะยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาไปหานาง แต่จริงๆ แล้ว เขาสามารถเห็นนางผ่านหน้าต่างได้เป็ครั้งคราว เห็นนางนั่งริมหน้าต่างในเวลากลางวัน อ่านหนังสือหรือฝึกคัดลายมือด้วยคิ้วที่ขมวดอยู่บนโต๊ะ นอกจากนี้ยังสามารถเห็นเงาร่างของนางจากแสงเทียนที่ส่องผ่านหน้าต่างในเวลากลางคืน ความอบอุ่นนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่ว่าเื่ของราชสำนักจะซับซ้อนแค่ไหนหัวใจของเขาก็สบายใจ
หลายคนมักพูดถึงการเริ่มต้นครอบครัวและการเริ่มต้นธุรกิจ เมื่อละทิ้งสถานะการเป็ฮ่องเต้ ในที่สุด เขาก็รู้สึกอุ่นใจกับคำว่าเริ่มต้นครอบครัวและการเริ่มต้นธุรกิจ
แต่คืนนี้ เมื่อเขามองไปที่หน้าต่างเช่นเคย แม้ว่าไฟในห้องจะยังเปิดอยู่ แต่ไม่มีเงาของนาง เขาออกจากงามต่างๆ และมาที่ตำหนักลิ่วฉือเพื่อตามหานาง แต่ไม่มีร่องรอยของนางเลย
เขาไม่โกรธ แต่มันเป็ความกลัว
หกปีที่แล้วก็เป็เช่นนี้ เมื่อเขากลับมาถึงเมืองเทียนเฉิงด้วยสภาพเกือบตาย สู่บัลลังก์สูงสุดของการเป็ฮ่องเต้ เมื่อเขา้าแบ่งปันเกียรตินี้กับนาง กลับได้รับการต้อนรับจากนางด้วยการะโลงจากหน้าผาต่อหน้าต่อตาเขา ไม่เหลือที่ไว้ให้รั้งกับเขาเลยสักนิดช
นึกถึงรอยมีดที่เขาใช้กรีดข้อมือตัวเอง ทุกรอยนั้นเกิดขึ้นในวันที่นางตายไปทุกปีจนถึงตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงนาง หัวใจเขาจะเ็ป วิธีเดียวที่จะบรรเทาได้คือการเฉือนข้อมือของเขาด้วยมีด และมองดูคราบเืที่ไหลออกมา มันไม่เจ็บ แต่มันสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเขาได้ และมือข้างนี้ ก็คือข้างที่จับมือของนางเอาไว้บนหน้าผาวันนั้น
ในเวลานี้ เขาใช้สองมือลากนาง ทำให้นางลอยขึ้นไปบนอากาศ นางเบามาก ตอนนั้นเหตุใดถึงจับไว้ไม่ได้?
บางทีเขาอาจจะแข็งแกร่งขึ้น คนตรงหน้านี้ ใบหน้าเริ่มซีดขาว หายใจเริ่มรำบาก แต่เขาก็ยังไม่ปล่อย เขาอยากรู้ ว่านางจะต่อต้านไปจนถึงเมื่อไร? เมื่อไหร่จะเต็มใจขอความเมตตาจากเขา
ลิ่วซีเริ่มหายใจไม่ออก ในสายตาของนางอ้อนวอนอวิ๋นซู่ให้ปล่อยนางไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในภวังค์ และไม่มีความอบอุ่นในดวงตาของเขาที่มองมาที่นางเลย
นางรู้ว่านางคิดผิดในคืนนี้ นางคิดอย่างไร้เดียวสา ว่าการจะออกจากวังไม่ได้เป็สิ่งที่ยกโทษให้ไม่ได้ขนาดนั้น เมื่อเทียบกับกู้ซินที่มีอิสระที่ไปไหนมาไหนได้ แต่คนเรามันจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?
หกปีที่ผายมา นางเหมือนความว่างเปล่าสำหรับเขา แต่กู้ซินนั้นอยู่กับเขามาหกปี
นางช่างไม่ประเมินกำลังของตัวเองเลยจริงๆ
“ฝ่า...บาท...ไว้ชีวิตข้าด้วย”
นางสูญสิ้นสติของตนไปแล้วในที่สุด และเค้นคำพูดนี้ออกไป
นางไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน เหมือนกับถูกความฝันฉุดรั้งเองไว้ ความฝันเต็มไปด้วยไฟ เื เงาดำที่พุ่งเข้ามาหานาง แล้วบนที่รกร้างว่างเปล่า มีต้นไม้ที่โดดเด่นตั้งอยู่เพียงต้นเดียว เธอถูกแขวนด้วยผ้าขาว ในความฝันนั้นทำให้นางหายใจไม่ออก นางดิ้นรนอย่างหนักที่จะตื่น แต่ความฝันดูเหมือนจะขยายไปสู่ความเป็จริง ลำคอของนางปวดแสบปวดร้อน
แค่กๆๆ...
นางกระแอมในลำคอ แต่ยังรู้สึกปวกแสบปวดร้อนอยู่
“น้ำ...น้ำ...” นางเปิดปากพูดได้เพียงคำนี้
เตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็รีบเทน้ำให้นาง หลังจากดื่มลงไป ความเ็ปก็บรรเทาลงเล็กน้อยหลังจากที่ลำคอชุ่มชื้น นางก็ถามเตี๋ยเย่
“ฝ่าาล่ะ”
“ตอนที่ข้ากลับมาเมื่อคืนนี้ ฮ่องเต้ก็ไปแล้ว”
นางครุ่นคิด นอนลงไปบนเตียง อยากทำให้ชุ่มคอ แต่นอนไปได้สักพักก็ลุกขึ้นมา
“เตี๋ยเย่ เ้าช่วยเอาชุดที่อยู่ชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้าให้ข้าที”
“เ้าค่ะ”
เตี๋ยเย่รีบนำชุดที่ลิ่วซีบอกมาให้ นี่คือชุดกระโปรงสีดอกไห่ถัง เป็สีม่วงแดง มีเสน่ห์และงดงามมาก แต่รัดเอวไปนิดหน่อย ขอบเอวโค้งราวกับสามารถจับได้เพียงมือเดียว และสวมผ้าคลุมไหล่สีชมพูอีกชั้น กูมีเสน่ห์ยิ่งนัก
หลังจากลิ่วซีอาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมมัน นางงดงามเหมือนเดินออกมาจากภาพวาด ทำให้เตี๋ยเย่มองดูหลายครั้งอย่างอดไม่ได้
แต่ลิ่วซียังไม่พอเท่านี้ นางนั่งอยู่หน้ากระจกสีทองแดงอีกครั้งและแต่งหน้าเบาๆ เพื่อเพิ่มสีสันให้ใบหน้า ทำให้ดวงตาดูฉลาด สดชื่นและบริสุทธิ์ขึ้นในทันที และเสริมความเป็ผู้หญิงที่สง่างามให้กับนาง
ในที่สุด นางก็มองตัวเองในกระจก และยิ้มออกมา เหมือนแบบที่อวิ๋นซู่ชอบไม่ผิด เหมือนเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนางสวมชุดนี้จะทำอะไรก็ล้วนราบรื่น สิ่งที่เขายืนหยัดมาทั้งหมดของเขาจะพังทลาย
เตี๋ยเย่มองไปที่นาง เหตุใดนางถึงได้แต่งตัวสวยในวันนี้? มองนางอย่างไม่เข้าใจ ในใจของนางก็ขมขื่นเล็กน้อย เลยพูดอย่างจนใจ
“ในวังถ้าเ้า้ามีชีวิตที่ดี ความสามารถของเ้าไม่ว่าจะโดดเด่นแค่ไหน ภูมิหลังของครอบครัวจะดีแค่ไหน และไม่ว่าตำแหน่งจะสูงแค่ไหน มีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เ้ามีชีวิตที่ดีได้ นั่นคือได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้”
“เตี๋ยเย่ ถ้าเราไม่เคลื่อนไหวสักที ก็จะถูกคนอื่นจูงจมูกเอาได้”
เตี๋ยเย่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนาง ราวกับบอกว่าสนับสนุนนาง
ลิ่วซีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูการเคลื่อนไหวในตำหนักอวี้เซวียน และมองเห็นทุกย่างก้าวของอวิ๋นซู่ ตำแหน่งของนางมีความได้เปรียบมากที่สุดในวังหลวงแห่งนี้
อวิ๋นซู่ยุ่งทั้งวัน ขันทีวิ่งเข้าออกหลายครั้งด้วยความยุ่งวุ่นวาย จนกระทั่งถึงตอนเย็น พระอาทิตย์คล้อยลง ในที่สุดก็เห็นอวิ๋นซู่เสร็จงาน และนั่งเอนกายกับเก้าอี้ หลับตางีบซักพัก หลังพิงกับเก้าอี้และเอียงศีรษะเล็กน้อย ลูกกระเดือกนูนขึ้นมา มีกลิ่นความยั่วยวนของผู้ชายที่โตเป็ผู้ใหญ่แล้วลอยออกมา หัวใจของลิ่วซีเต้นรัว นางมานั่งข้างหน้าต่างนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสังเกตว่าตำแหน่งที่อยู่นี้จะมองเห็นอวิ๋นซู่ได้อย่างชัดเจน
ราวกับััได้ว่านางมองมา อวิ๋นซู่จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่นาง จนนางไม่อาจหลบได้ทันเวลาจนถูกพบเข้า เดินทีนางคิดจะมองไปที่อื่น แต่อวิ๋นซู่จ้องนางตลอด งทำได้แค่มองกลับ
ถูกคั่นกลางด้วยระยะทางสั้นๆ แววตาทั้งคู่ต้องมองกัน ยากจะแยกออกจากกัน
แค่ถูกอวิ๋นซู่มองเช่นนี้ หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นตลอดเวลา ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงอย่างช้าๆ และในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะออกไปและละสายตาไปจากเขา
ไม่นานหลังจากที่หัวใจของนางสงบลง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ในตำหนักที่อยู่ไม่ไกล แสงไฟก็ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย ภายใต้แสงไฟที่ริบหรี่ ทำให้ทั่วทั้งวังมีความสง่างามและโอ่อ่า
นางยกกระโปรงขึ้น ไม่ให้เตี๋ยเย่อยู่เป็เพื่อนาง นางมาที่ตำหนักเซวียนอวี้เพียงลำพัง ที่นางทำทั้งหมดในวันนี้ ก็เพื่อจะได้ปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยรูปลักษณ์ที่ดีที่สุด
อันกงกงที่อยู่หน้าประตูเห็นนางเข้าก็แปลกใจ จึงรีบทักทาย
“น้อมทักทายสนมซี”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าอยากพบฝ่าา รบกวนอันกงกงช่วยแจ้งให้ข้าที”
อันกงกงแสดงสีหน้าลำบากใจ
“เอ่อ… ฝ่าาเพิ่งเสร็จราชกิจ กำลังเสวยอาหารค่ำ” เว้นแต่จะมีสถานการณ์พิเศษ ปกติฮ่องเต้จะกินข้าวคนเดียวไม่ให้ใครมารบกวน
ขณะที่ลิ่วซีกำลังจะพูดว่านางจะรออยู่นอกตำหนัก แต่เสียงอวิ๋นซู่ก็ดังขึ้นก่อน
“ให้นางเข้ามา”