“ก็แค่เปลี่ยนสีจะตื่นเต้นใอะไรหนักหนา ข้าว่ามากสุดคงไม่เกินสีส้มหรอก หากเปลี่ยนเป็สีเหลืองได้ถือว่าดีเกินพอสำหรับเขาแล้ว”
ทุกคนต่างตกตะลึงและอึ้งไปชั่วขณะ แต่เมื่อมีคนเรียกสติกลับคืนมาได้จึงพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ เพราะต่างก็นั่งอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้วแค่วงแหวนแสงเปลี่ยนสีมันเป็เื่ที่ปกติธรรมดาเกินไปไม่มีความจำเป็ต้องโหวกเหวกโวยวายขนาดนั้น
“เอ่อ...เ้าพูดไม่ผิดจริงๆ กลายเป็สีเหลืองแล้ว”
หลังจากที่หายจากอาการใทุกคนก็เริ่มพูดคุยสนทนากันขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนเย่ชิงอวี่จดจ้องไปยังวงแหวนแสงอย่างไม่ละสายตาราวกับถูกสะกดไว้ หยาดน้ำตาอุ่นสองสายไหลออกมาจากเบ้าตาของนาง นางไม่ได้สนใจฟังเสียงพูดคุยสนทนาของคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดท่านพี่ก็ทำมันได้สำเร็จ จิตใจของนางในตอนนี้ตื่นเต้นดีใจเป็อย่างมาก
ผู้าุโทั้งสี่ที่นั่งอยู่แถวหน้าต่างไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังคงพูดคุยและดื่มชากันปกติ เหตุผลที่เป็เช่นนั้นเพราะลูกหลานของตระกูลที่เข้าร่วมปลุกพลังตลอด่บ่ายล้วนทำให้ผิดหวังอย่างมาก
“เอ๊ะ? ยังเปลี่ยนสีอีก? สีเขียวแล้ว? เป็ลูกหลานของตระกูลฝ่ายไหนกัน? พร์พอใช้ได้เลย”
วงแหวนแสงค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแหลืองกลายเป็สีเขียวอย่างช้าๆ ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น ต่างพากันสอบถามถึงบุคคลที่อยู่ในวงแหวนแสงว่าเป็ใคร? เพราะวงแหวนแสงสีเขียวมีโอกาสที่จะเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับสี่ออกมาได้ ภายภาคหน้ายังพอมีอนาคตอยู่บ้าง
“หืม? ยังเปลี่ยนอีก? สีเขียวอ่อนแล้ว! เป็ไปได้อย่างไร?”
ทุกคนต่างเบนความสนใจไปยังวงแหวนแสงที่อยู่ตรงกลาง จากวงแหวนแสงที่มีอย่สามวง ผิว้าของวงแหวนแสงที่อยู่ตรงกลางกำลังเปล่งประกายแสงสีเขียวอ่อนให้เห็น ผู้าุโทั้งสี่ต่างก็หยุดดื่มชาและเริ่มหันมาให้ความสนใจขึ้นมา
“ไหนมาให้ข้าตรวจดูหน่อยว่าที่อยู่ด้านในแท่นบวงสรวงตรงกลางคือใคร? พร์ไม่เลวเลยทีเดียว...อืม ชื่อว่าเย่ชิงหาน? เอ๊ะ อายุจนสิบห้าปีแล้วยังสามารถปรากฏวงแหวนแสงสีเขียวอ่อนได้อีก? หรือว่าจะเป็อัจฉริยะในบั้นปลาย?” ผู้าุโเทียนชิงพลิกเปิดสมุดรายชื่อพยักหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย ตลอดทั้ง่บ่ายในที่สุดก็ปรากฏผู้ที่มีศักยภาพพอเข้าท่าหน่อยทำให้เขารู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็อย่างมาก
ในขณะที่ผู้าุโเทียนชิงรู้สึกพอใจและกำลังจะยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้! ทุกคนดูนั่น เปลี่ยนสีอีกแล้ว...”
“โอ้์! แปรเปลี่ยนเป็สีน้ำเงินแล้ว! ไม่สิสีม่วงแล้ว! วงแหวนแสงสีม่วงเหมือนกับนายน้อยเฟิงเลย”
“เป็เื่มงคลที่น่ายินดียิ่ง คืนนี้จะต้องจัดโต๊ะเลี้ยงฉลองกันสักหน่อยแล้ว...”
ผู้าุโเทียนชิงนั่งไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป สาดน้ำชาที่อยู่ในแก้วทิ้งแล้วลุกขึ้นยืน ส่วนผู้าุโทั้งสามที่อยู่ข้างๆ ต่างลุกขึ้นยืนไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ทั้งสามจับจ้องไปที่แท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงกลางอย่างไม่ละสายตา
“์! เปลี่ยนสีอีกแล้ว...”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นดีอกดีใจที่ตระกูลเย่ของตนปรากฏผู้มีพร์เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งอยู่นั้น เสียงร้องของผู้ที่คล้ายกับโดนผีหลอกดังขึ้น แต่ต่อจากนั้นก็มีเสียงของใครอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของทุกคน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นปิดปากเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ
“ทุกคนจงอยู่ในความสงบ ใครที่กล้าส่งเสียงเล็ดลอดออกมาอีกจะถูกลงโทษตามกฎของตระกูล!”
วิชาถ่ายทอดกระแสเสียง!
ทันใดนั้น ข้างๆ รอบแท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงกลางปรากฏเงาร่างของคนสี่คนโผล่ขึ้นมาจากอากาศ สายตาเย็นะเืของผู้าุโเทียนชิงกวาดมองไปยังทุกคน เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ดังขึ้นในหัวของทุกคนเมื่อสักครู่เป็ผู้าุโเทียนชิงที่ใช้วิชาระดับสูงถ่ายทอดกระแสเสียงส่งออกมา
ผู้าุโทั้งสี่แยกย้ายกันโอบล้อมแท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงกลาง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและระมัดระวัง
วงแหวนแสงสีม่วงของแท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงกลางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็สีดำอย่างช้าๆ จนในที่สุดกลายเป็วงแหวนแสงสีดำอย่างสมบูรณ์ มองดูคล้ายดั่งมีกระแสน้ำสีดำไหลวนไปมาอยู่้าวงแหวน
วงแหวนแสงสีดำ! มีโอกาสเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปดออกมาได้เฉกเช่นเดียวกันกับหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกบ้าคลั่งยิ่งไปกว่านั้นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหลักจากนี้...สีของวงแหวนแสงยังคงไม่หยุดเปลี่ยนแปลง!
วงแหวนแสงสีดำเริ่มเปลี่ยนเป็สีทองอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีทองที่เจิดจ้าปรากฏอยู่เพียงแวบเดียวก็เลือนหายไป แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนที่คือสีสันต่างๆ จำนวนเก้าสี โดยมีสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีเขียวอ่อน สีน้ำเงิน สีม่วง สีดำและสีทอง ทั้งเก้าสีตัดสลับกันไปมากันเปล่งประกายสีสันแวววาวจนลานตา
วงแหวนแสงเก้าสี!
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จ้องตากันราวกับคนโง่งมที่พยายามค้นหาคำตอบจากั์ตาของอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้จากั์ตาของอีกฝ่ายนอกจากความสับสนมึนงงแล้วก็มีแต่ความสับสนมึนงงเช่นเดิม!
แม้กระทั่งั์ตาของผู้าุโทั้งสี่ก็มีความสับสนมึนงงไม่ต่างกัน สถานการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่พวกเขาทั้งสี่ที่จัดงานพิธีปลุกพลังทางสายเืมาตลอดหลายปีไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย กระทั่งในบันทึกของตระกูลก็ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นเอง ผู้าุโเทียนชิงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ั์ตาเป็ประกายทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาหันหน้ามาพูดกับผู้าุโอีกท่านหนึ่งอย่างรีบร้อนว่า
“น้องรอง เ้ารีบไปเชิญท่านผู้าุโสูงสุด ท่านหัวหน้าตระกูล และผู้าุโทั้งหลายให้มาที่นี่ ถ้าหากข้าคาดเดาไม่ผิดเล่าก็ อาจจะมีเื่ใหญ่เกิดขึ้น...”
เพียงไม่ถึงสองสามนาที ท่านเ้ามืองเย่เจี้ยน ผู้าุโรองหัวหน้าฝ่ายหอประจัญบานเย่เชียงและผู้มีตำแหน่งระดับสูงของตระกูลจำนวนสิบกว่าคนต่างมาพร้อมเพรียงกันที่หอสัตว์อสูรแห่งนี้ ส่วนหัวหน้าตระกูลเย่เทียนหลงและผู้าุโสูงสุดอีกสองท่านอยู่ในระหว่างเก็บตัวฝึกวิชาทีู่เาด้านหลัง หากไม่ใช่เื่คอขาดบาดตายร้ายแรงที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของตระกูล ห้ามมิให้ผู้ใดมารบกวนโดยเด็ดขาด
ทุกคนต่างยืนห้อมล้อมแท่นบวงสรวงที่มีวงแหวนแสงเก้าสีด้วยใบหน้าที่เคร่งขึม
“ทุกท่าน วันนี้ที่เชิญทุกท่านมาโดยกะทันหันสาเหตุก็มาจากแท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงหน้านี้ที่เปล่งแสงพิเศษแตกต่างออกมา แม้กระทั่งในบันทึกของตระกูลก็ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน เป็ที่ทราบกันดีว่าในบันทึกของตระกูลผู้ที่มีสีของวงแหวนแสงที่แปลกมหัศจรรย์พิเศษที่สุดคือ ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ย ท่านเป็คนแรกและเพียงคนเดียวในบันทึกของตระกูลที่สามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเก้า ‘พยัคฆ์ขาว’ ออกมาได้ แต่วงแหวนแสงเก้าสีที่อยู่ตรงหน้านี้ชัดเจนว่ามีระดับที่สูงกว่าวงแหวนแสงสีม่วงอยู่หนึ่งระดับ! ดังนั้น...”
ผู้าุโเทียนชิงพูดขึ้นก่อนเป็คนแรก ในขณะที่พูดหน้าตาแสดงออกถึงความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็อย่างมาก
“หรือว่า?”
“เอ่อ...คงไม่มั้ง?”
“หรือจะเป็จริงตามที่ตำนานกล่าวไว้?”
เหล่าผู้าุโเมื่อฟังจบใบหน้าพลันเปลี่ยนสีราวกับถูกผีหลอกในตอนกลางวัน ทั้งหมดออกอาการปลื้มปีติดีอกดีใจอย่างถึงที่สุดไม่เหลือเค้าของความเยือกเย็นแม้แต่น้อย เพราะพวกเขานึกถึงคำของบรรพบุรุษท่านหนึ่งที่เคยกล่าวทิ้งไว้ บรรพบุรุษท่านนั้นก็คือปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ย ผู้เดียวที่สามารถเรียกสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ ไม่เพียงแต่สามารถเรียกสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์พยัคฆ์ขาวออกมาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์บรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดของขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ เท้าข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าไปสู่ระดับขอบเขต์แล้ว จากอดีตจวบจนปัจจุบัน ปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ยไม่เพียงมีพลังฝีมือที่สูงส่งเป็หนึ่งไม่เป็สองรองใคร แต่ยังได้ศึกษาค้นคว้าในเื่เกี่ยวกับสัตว์อสูรของตระกูลอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
ใน่บั้นปลายชีวิตของท่านเคยกล่าวไว้ว่า “หากในพิธีปลุกพลังทางสายเืปรากฏวงแหวนแสงเก้าสี มีโอกาสอย่างมากที่จะเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเทพออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่ตัวข้าไม่มีบุญวาสนาพอที่จะได้พบเจอ...”
ระดับเทพ!
สัตว์อสูรคุณภาพระดับเทพหมายถึงอะไร? นั่นเทียบได้กับผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขต์เลยทีเดียว...ระดับเทพระดับขั้นสูงสุด! สมมติ...สมมติว่าลูกหลานของตระกูลเย่มีผู้สามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเทพออกมาได้เล่าก็ ถ้าเป็อย่างนั้นทั้งฐานะและตำแหน่งของตระกูลเย่จักต้องอยู่เหนือกว่าอีกสี่ตระกูลที่เหลืออย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับนครแห่งเทพก็เป็ได้
“ผู้ที่อยู่ข้างในคือเย่ชิงหาน? ไม่เลว ไม่เลวเลยทีเดียว...อย่างที่ข้าบอก เย่เตามีพร์สูงส่งขนาดนั้นลูกชายเของเขาก็จะต้องมีพร์ที่เป็หนึ่งไม่เป็สองรองใครเช่นกัน”
“ถูกต้อง ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่าชิงหานเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เดิมทีข้าคิดอยากจะขอร้องเหล่าผู้าุโให้รับเขาเข้าเป็ศิษย์สายในก่อนเสียด้วยซ้ำ”
“อืม...เด็กคนนี้พ่อแม่มาด่วนตายจากไปก่อนเป็เด็กที่น่าสงสารเป็อย่างมาก หลังจากปลุกพลังครั้งนี้สำเร็จทางตระกูลควรชดเชยเป็การบำรุงขวัญเขาหน่อย”
“ข้าจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เด็กคนนี้ได้อ้อนวอนขอให้ฝังศพมารดาในสุสานบรรพชน ข้าเห็นว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร...”
เหล่าผู้าุโทั้งหมดต่างพยักหน้าตอบรับแสดงอาการเห็นดีเห็นงามด้วย ใบหน้าทุกคนต่างเต็มไปด้วยอาการที่ยิ้มแย้มราวกับตกอยู่ในห้วงบรรยากาศของความสุข จะมีก็แต่เพียงเย่เจี้ยนคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าดำคล้ำลง
ั้แ่เด็กเย่เจี้ยนถูกเย่เตาพ่อของเย่ชิงหานกดทับรัศมีมาโดยตลอด ความคับแค้นใจที่สะสมระหว่างครอบครัวลูกคนโตกับครอบครัวลูกคนรองจึงมีมาก เมื่อไม่นานมานี้เื่ที่เย่ชิงหานอ้อนวอนขอให้ฝังศพมารดาในสุสานบรรพชนแต่ถูกปฏิเสธ สาเหตุสำคัญก็คือเย่เจี้ยนผู้นี้ที่กดดันเหล่าผู้าุโให้ตัดสินใจเช่นนั้น แต่ในเวลานี้เหล่าผู้าุโกลับแสดงอาการออกนอกหน้ากันเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก อดไม่ได้จึงกระแทกเสียงเ็าออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ทุกท่านอย่าเพิ่งด่วนสรุป ทุกอย่างต้องรอให้เรียกสัตว์อสูรออกมาได้สำเร็จค่อยพิจารณากันอีกทีก็ยังไม่สาย แค่ปรากฏวงแหวนแสงระดับสูงสุดไม่ได้หมายความว่าต้องเรียกสัตว์อสูรระดับสูงออกมาได้ซะทีเดียว”
อืม...ก็จริง!
ได้ยินดังนั้นเหล่าผู้าุโจึงค่อยๆ สงบจิตใจให้เย็นลง เพราะเมื่อก่อนก็มีเหตุการณ์ที่ปรากฏวงแหวนแสงระดับสูงแต่กลับเรียกสัตว์อสูรระดับต่ำออกมาก็มีเยอะแยะ ตอนนี้ปรากฏวงแหวนแสงเก้าสีระดับสูงสุดและเป็เพียงการคาดเดาของบรรพบุรุษเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันว่าจะเป็จริงเต็มร้อย ดังนั้นทุกสิ่งอย่างคงต้องรอให้การเรียกสัตว์อสูรเสร็จสิ้นค่อยว่ากัน
แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่ความปรารถนาและความหวังอันแรงกล้าในสายตาของทุกคนก็ยังแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดดังเดิม
แท่นบวงสรวงที่อยู่ตรงกลาง วงแหวนแสงเก้าสียังคงพร่างพราวสว่างไสวและงดงามลานตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้