28.
งานบายเนียร์
คืองานที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่ออำลารุ่นพี่ปีสี่ที่เรียนจบไปแล้ว และถูกจัดขึ้นเพื่อเป็การฉลองปิดเทอมของนักศึกษาชั้นปีอื่น ๆ ด้วย โดยปกติแล้วจะถูกจัดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการสอบปลายภาคแล้ว ถือได้ว่าเป็งานเลี้ยงฉลองที่ใหญ่ที่สุดของคณะที่จะทำให้เหล่านักศึกษาในคณะได้มาพบปะทำความรู้จักกัน ซึ่งตัวเอกในงานก็มักจะเป็พี่ปีสี่
ผมเคยไปงานนี้มาเมื่อปีที่แล้วตอนที่อยู่ปีหนึ่ง ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบงานสังสรรค์แบบนี้เท่าไหร่ เพราะยิ่งคนเยอะมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกมากเท่านั้น แต่ที่ผมยอมไปก็เพราะขนุนขอร้องให้ไปเป็เพื่อน ผมแทบไม่ได้คุยกับใครเลย แม้แต่เพื่อนในภาคที่เรียนด้วยกันก็แทบไม่ได้คุยเลย สุดท้ายแล้วผมก็กลับก่อนงานเลิกอยู่ดี
“กูว่ามึงควรจะมานะ งานนี้รุ่นพี่ที่เราสนิทจบไปหลายคนเลยนะเว้ย” ขนุนหันมาพูดกับผมในตอนที่กำลังนั่งตัดกระดาษสำหรับเตรียมทำซุ้มไว้ถ่ายรูปในงาน ส่วนผมก็นั่งอยู่ข้าง ๆ มันคอยช่วยอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ
“รุ่นพี่ที่มึงสนิทต่างหาก กูไม่เห็นจะสนิทกับใครเลย” ผมตอบกลับไป ตอนนี้ผมกับมันนั่งกันอยู่ที่โถงของตึกคณะรวมกับเพื่อนคนอื่น ๆ อีกหลายคนที่มาช่วยกันเตรียมของสำหรับตกแต่งงานที่จะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ ผมสามารถช่วยงานได้ทุกอย่าง เพราะผมก็ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องทำ แต่ยังไงผมก็ยืนยันคำเดิมว่าจะไม่ไป
“ไหนมึงบอกว่าอยากมีเพื่อนไง ไม่ไปงานอะไรของคณะสักอย่าง มันจะมีเพื่อนให้มึงไหมเนี่ย” ขนุนบ่นอุบอิบ หลังจากที่มันพยายามโน้มน้าวให้ผมไปงานกับมันและก็ล้มเหลวมาแล้วเป็สิบ ๆ ครั้ง แต่มันก็ยังคงพยายามต่อไป
“กูไม่ค่อยอินกับงานเท่าไหร่ว่ะ”
“แต่มันเป็ครั้งสุดท้ายแล้วนะเว้ย”
“…”
“กับเขาทั้งสองคนอะ”
ผมรู้ดีว่าประโยคนั้นของขนุนมันหมายความว่าอะไรและหมายถึงใคร สำหรับพี่ปรง ผมกับเขาคุยกันเรียบร้อยจนเข้าใจกันทุกอย่างแล้ว ส่วนพี่อูน ผมไม่ได้เจอเขาเลยั้แ่เื่ลูกพีช ไม่รู้ว่าเขางานยุ่งมากจนไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็น หรือเขาพยายามลี่ยงมาเจอผมกันแน่ เขาเองก็คงรู้สึกกับผมเื่ที่เขาเข้าข้างลูกพีช แต่ผมไม่ได้เคืองเขาเลยสักนิด
“เขาสองคนอาจจะไม่มาก็ได้นะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะยิ้มออกมาแห้ง ๆ ขนุนคอยสังเกตอาการของผมตลอด่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเล่าเื่ที่คุยกับพี่ปรงให้มันฟังนิดหน่อย มันเองก็ดูมีความถามอยู่ในใจเยอะแยะ แต่เพราะผมตัดสินใจไปแล้ว มันก็เลยเลือกที่จะไม่ถามและเคารพการตัดสินใจของผม ซึ่งผมว่ามันก็คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“กูถามจริงนะ มึงไม่ได้ชอบพี่ปรงเหรอวะ” หลังจากที่ขนุนมันนั่งเงียบไปนานหลายนาที จู่ ๆ มันก็เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้หันมาสบตากับผม มันยังคงก้มหน้านั่งทำงานของตัวเองต่อไป
“ชอบดิวะ ทำไมจะไม่ชอบ”
“ชอบแล้วทำไมถึงปล่อยเขาไปง่าย ๆ แบบนั้น”
“มึงจะให้กูไปบอกเขาว่าไม่ต้องไปงี้เหรอ มันอนาคตเขานะเว้ย แล้วอีกอย่าง…กูว่ามันคือสิ่งเขารู้มาั้แ่แรกแล้ว เขารู้ว่าเขาจะได้ทุนถ้าเขาทำผลการเรียนออกมาได้ดีมาก ๆ เขารู้อยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดจะบอกกู”
“กูไม่ได้หมายความว่าให้มึงไปห้ามเขาไม่ให้ไป กูหมายถึงว่าต่อให้เขาจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์ของมึงกับเขาจะต้องจบลงอะ นึกออกไหม” ขนุนตัดสินใจวางงานทุกอย่างของตัวเองลงและหันตัวมาคุยกับผมอย่างจริงจัง ผมเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะบอก ผมก็เคยคิดอยากลองทำแบบนั้น แต่ผมแค่นึกภาพไม่ออกเท่านั้นว่ามันจะเป็ยังไง
“กูคิดมาดีแล้วจริง ๆ”
“มึงตัดสินใจแบบคิดเองเออเองโดยไม่ถามเขาเลยอะ บางทีพี่ปรงเขาอาจจะไม่ได้้าแบบเดียวกับที่มึงเลือกก็ได้ มึงไม่คิดจะถามเขาหน่อยหรือไง” ขนุนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มันชอบทำเหมือนว่าไม่อยากยุ่งเื่ของผมสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมันก็ยุ่งอยู่ดี ผมรู้ว่ามันหวังดีกับผมในทุก ๆ เื่จริง ๆ แต่ผมไม่อยากให้ตัวเองตัดสินใจทำอะไรแค่เพราะคนรอบตัวพูดให้ทำ ผมถึงได้เอาเื่นี้ไปนอนคิดคนเดียวโดยไม่คิดจะปรึกษามันเลย
“สุดท้ายแล้ว ถ้าเขาจะไม่พอใจกับสิ่งที่กูเลือก แปลว่าเขาจะทำตามใจตัวเองยังไงก็ได้โดยไม่เคารพการตัดสินใจของกูแบบนั้นเหรอ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น ขนุนเลยเงียบไป
“…”
“พี่ปรงเขาไม่พอใจหรอก กูรู้ แต่ที่เขาเลือกที่จะปล่อยกูไปแบบนี้ ก็เพราะเขาเชื่อว่ากูตัดสินใจมาดีแล้วจริง ๆ แล้วเขาก็เคารพกับการตัดสินใจนั้น แล้วกูก็หวังว่ามึงจะเคารพการตัดสินใจของกูแบบพี่ปรงเหมือนกัน”
“กูขอโทษนะ กูแค่เสียดายความสัมพันธ์ของมึงกับพี่ปรงอะ ผ่านเื่อะไรด้วยกันมาตั้งเยอะ ไม่น่ามาจบลงง่าย ๆ แบบนี้เลย” ขนุนพูดพร้อมกับขยับตัวเข้าหาผม ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมันหรอก
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่มึงคิดหรอก”
“มึงไม่เสียดายเหรอ”
“เสียดายดิ แต่กูคิดว่ามันดีที่สุดแล้วอะ กูกับเขาเพิ่งจะเริ่มชอบกันเมื่อไม่นานนี้เอง ความสัมพันธ์ของกูกับเขามันไม่เหนียวแน่นพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเื่ระยะทางได้หรอก”
“มันก็ไม่แน่หรอก พี่ปรงเขาอาจจะไม่เจอใครที่เขาชอบมากกว่ามึงได้อีกแล้ว อะไรงี้” คำพูดของขนุนทำให้ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหัวเราะทำไม หลังจากนั้นขนุนมันก็ก้มหน้าลงไปทำงานของมันต่อ
“ไม่หรอก”
“หรือไม่ก็อาจจะเป็มึงเอง มึงอาจจะไม่เจอใครที่ทำให้มึงชอบเขาได้มากกว่าพี่ปรงก็ได้นะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เป็จังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนของขนุนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พวกเรา ผมกับขนุนจึงหยุดบทสนทนาเื่นั้นไว้เพียงเท่านี้
สำหรับพี่ปรง เขาอาจจะเจอคนอื่นที่เขาชอบมากกว่าผมก็ได้ เพราะเขายังต้องไปเจอสังคมใหม่ ๆ และผู้คนอีกมากมายก็รอให้เขาไปทำความรู้จักในอนาคต ส่วนผมก็ยังต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปอีกสองปี อยู่กับผู้คนเดิม ๆ ที่ผมไม่คิดจะผูกมิตรด้วย ผมอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนอื่น แต่เชื่อเถอะ ผมไม่มีทางรู้สึกกับใครแบบที่รู้สึกกับพี่ปรง
ผมก็คงเสียดายแหละ ที่สุดท้ายความสัมพันธ์ของเขากับผมมันจบลงแบบนี้ ผมกับเขาผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะมากจริง ๆ เราเรียนรู้กันผ่านปัญหาที่เราเจอมาด้วยกัน นั่นอาจจะเป็เหตุผลว่าทำไมเราสองคนถึงได้เริ่มมีความรู้สึกดีให้กันและกัน ผมไม่ได้เสียดายที่ผมใช้เวลาอยู่กับเขา แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ไปต่อนะ ผมแค่เสียดายว่าทำไมเราถึงไม่รู้จักกันให้เร็วกว่านี้
หลังจากที่เอาแต่คิดเื่ของพี่ปรงจนไม่เป็อันทำอะไร ผมสลัดไล่ความคิดมากมายในหัวออกไปเพื่อให้ตัวเองจดจ่อกับงานที่ทำ แต่พอเพื่อนขนุนเข้ามาช่วยทำงาน ทำให้ตอนนี้แทบไม่มีอะไรให้ผมทำเลย
“ขนุน เดี๋ยวกูไปดูผักที่ห้องภาคก่อนนะ” ผมหันไปบอกขนุนที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนมันอย่างออกรส ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกมาจากบริเวณนั้นทันที ผมเดินผ่านกลุ่มคนมากมายเพื่อไปขึ้นลิฟต์และตรงไปยังห้องภาคของผม
เมื่อเช้าก่อนที่จะมาช่วยคนอื่น ๆ ทำของจัดงานบายเนียร์ ผมได้แวะไปดูผักของผมที่ฟาร์มมา และเมื่อเห็นว่ามันโตดีมากจนสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ผมก็จัดการถอนผักทั้งหมดออกมาโดยไม่รอให้ครบกำหนดปลูก เพราะผมกลัวว่าผักมันจะเป็อะไรขึ้นมาอีก ผมเอาผักทั้งหมดไปล้างและตากไว้บนห้องภาค กะว่าถ้าแห้งแล้วจะเอาไปส่งอาจารย์
ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องภาคก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างกับผักของผมอยู่ ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็ปกติแล้วส่งยิ้มมาให้ผม เป็รอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยเป็อย่างดี เขาคือเ้าของรอยยิ้มที่เคยเป็รอยยิ้มที่ผมชอบมากที่สุด และตอนนี้ก็ยังคงเป็อยู่
พี่อูน
“ล้างผักเสร็จแล้วต้องย้ายไปวางที่อื่นนะ วางตรงนี้ไม่ได้ แอร์มันลง เดี๋ยวผักจะได้เหี่ยวก่อนส่งอาจารย์พอดี” พี่อูนพูดพร้อมกับยกตะกร้าผักของผมย้ายไปวางตรงโต๊ะที่อยู่ตรงมุมห้อง ผมจึงเดินเข้าไปช่วยเขาย้าย
“ขอบคุณนะครับพี่อูน” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น หลังจากที่เราย้ายผักทั้งหมดมาไว้ที่โต๊ะอีกตัวเสร็จแล้ว พี่อูนก็นั่งลงที่โต๊ะตัวนั้นแล้วเลื่อนตะกร้าผักเข้าหาตัวเอง ราวกับว่าเขาจะทำอะไรสักอย่าง ผมจึงยืนดูการกระทำของเขาอย่างไม่วางตา
“จริง ๆ ก็เอาไปส่งได้เลยนะ แต่รอให้มันแห้งกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า เด็ดใบที่มันไม่สวยออก จัดเรียงดี ๆ ในตะกร้า แค่นี้ได้ก็คะแนนเต็มแล้ว” พี่อูนพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม เขาหยิบผักขึ้นมาต้นหนึ่งแล้วพลิกไปพลิกมาเพื่อหาใบที่ไม่สวย ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ “ปลูกผักเก่งเหมือนกันนะเรา ผักไม่มีใบไหนไม่สวยเลยเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำได้เพียงแค่มองการกระทำของเขานิ่ง ๆ เขาหยิบผักขึ้นมาดูจนครบทั้งตะกร้า บ้างก็มีใบไม่สวยที่ต้องเด็ดออก แต่ก็น้อยมากจริง ๆ การกระทำของเขาในตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย
เขาหลบหน้าผมไปหลายวัน แต่วันนี้เขากลับมาและทำตัวปกติกับผม เหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเคยแสนดีกับผมยังไง วันนี้เขาก็ยังแสนดีกับผมเหมือนเดิม แต่เขาไม่รู้เลยว่าความแสนดีของเขามันใจร้ายกับผมมากแค่ไหน
ผมคิดมากเื่ของเขาพอ ๆ กับที่คิดเื่ของพี่ปรง ผมคิดมาตลอดว่าเขาจะต้องรู้สึกผิดกับผมมากแค่ไหนจนถึงขั้นไม่กล้าสู้หน้ากับผม แล้วการที่เขาหายไปเฉย ๆ โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้บอกเขาว่าผมไม่ได้โกรธ มันทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากเหมือนกัน แต่พอมาเจอเขาในวันนี้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้ผมโมโหมากจริง ๆ
“พี่อูน” ผมเอ่ยขึ้นในตอนที่พี่อูนเขาดูตั้งใจกับการจัดแจงผักให้ผม เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้ม นั่นยิ่งทำให้ผมโมโหเข้าไปใหญ่ เขาควรจะพูดอะไรกับผมสักอย่างหลังจากเหตุการณ์วันนั้น แต่ไม่เลย เขาทำเพียงแค่หายไปเฉย ๆ
“ว่าไง” เขาตอบกลับมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“พี่หายไปไหนมา”
“พี่สอบ”
“สอบ? เราจะไม่เดินสวนกันเลยเหรอพี่”
“พี่สอบเสร็จพี่ก็กลับห้องไปอ่านหนังสือ เวลาสอบเราก็ไม่ได้ตรงกันด้วย ไม่แปลกที่เราจะไม่เจอกันนะ” พี่อูนตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ เขาดูปกติมาก ๆ ต่างจากผมที่ตอนนี้กระวนกระวายไปหมด
“พี่ตั้งใจหลบหน้าผม”
“เปล่า”
“แล้วตอนนี้พี่ก็ทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่หายหน้าไปโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำอะไรผิด ทำไมพี่ถึงต้องหนีหน้าผมด้วย แต่วันนี้พี่กลับมายืนอยู่ตรงนี้และยิ้มให้ผม ราวกับว่าพี่ไม่ได้หายไปไหนมา” ผมพูดกลับไปในขณะที่เขากำลังจัดแจงผักในตะกร้าสุดท้ายของผมอยู่ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในตอนที่จัดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเลื่อนมันไปรวมกับตะกร้าอื่น ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
“พี่ไปจัดการตัวเองมา”
“…”
“พี่รู้สึกผิดที่พี่ห่วงแต่ความรู้สึกของลูกพีชจนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วเราเป็คนที่ถูกกระทำ พี่ไม่กล้าสู้หน้าเรา เพราะพี่ไม่รู้ว่าเราจะโกรธพี่หรือเปล่า พี่ขอโทษนะ” พี่อูนเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นเขาเป็มาก่อน แววตาของเขาที่กำลังจ้องมาทางผมทำให้ความหงุดหงิดทั้งหมดที่ผมมีกับเขาก่อนนี้ได้อันตรธานหายไปในพริบตา
พี่อูนก็ยังเป็พี่อูนคนเดิม
คนที่เป็ที่หนึ่งของผมเสมอ
“อย่างน้อยพี่ก็ควรจะบอกผมหน่อย”
“ตอนนั้นเสียศูนย์ไปเลยแหละ พี่ไว้ใจมันมาก ๆ เลยนะ พอมารู้ความจริงว่ามันเป็คนทำทุกอย่างจริง ๆ มันยิ่งทำให้พี่รู้สึกผิดกับทานตะวันเข้าไปใหญ่ แล้วตอนนี้พี่ยังมาทำให้เราคิดมากอีก”
“พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว พี่อูน ผมแค่กลัวว่าพี่จะหายจากผมไปตลอด” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แค่เห็นว่าเขายังสบายดีและไม่ได้มีความคิดที่จะหายหน้าไป แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
“พี่ไม่หายไปหรอกน่า เดี๋ยวพี่เรียนโทต่อที่นี่อีกสองปี เราได้เจอหน้าพี่ไปจนเบื่อแน่”
“ก็ดีครับ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อ จู่ ๆ เื่ของพี่ปรงก็วนกลับเข้ามาในหัวของผมจนทำให้ผมต้องก้มหน้างุดมองมือตัวเองเพื่อซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า
เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วผมเป็คนที่แน่วแน่ในการตัดสินใจของตัวเองมาก แม้ว่าขนุนจะพยายามโน้มน้าวแค่ไหน แต่ผมก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจกับสิ่งที่ผมเลือกไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลและเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่ผมเลือกมันถูกแล้วหรือเปล่า มันคือสิ่งที่ผม้าจริง ๆ ใช่ไหม
“มันบอกพี่แล้วแหละ” พี่อูนพูดขึ้นในตอนที่เห็นว่าผมเงียบไป เหมือนเขารู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ “จะว่าพี่ยุ่งก็ได้นะ แต่พี่แอบไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเลือก ทำไมถึงรีบตัดสินใจจัง”
“เดี๋ยวพี่ปรงเขาก็จะไปแล้ว”
“หมายถึง ทำไมรีบตัดสินใจที่จะทิ้งมันเร็วขนาดนี้ ไม่เชื่อใจมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ผมไม่ได้ไม่เชื่อใจนะพี่อูน แต่ผมแค่รู้สึกว่าในอนาคตพี่ปรงเขาอาจจะเจอคนอื่นที่เขาชอบมากกว่า ผมไม่อยากให้เขามาเสียเวลากับผมที่อยู่ไกลเขามากขนาดนี้อะ แล้วอีกอย่าง ผมกับเขาก็เพิ่งชอบกันมาไม่นาน จบตอนนี้ก็ยังดีซะกว่า”
“ใครบอกว่าไม่นาน”
“…”
“พี่ว่าเรา้าความช่วยเหลือ” พี่อูนเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมสงสัยว่าเขาจะพูดอะไรกันแน่
“สงสัยอยู่บ่อย ๆ นะครับ”
“เวลาที่น้องมีปัญหาหรือมีเื่้าให้ช่วย ไอ้ปรงมันก็จะเป็คนบอกพี่ให้ไปช่วย เห็นมันเป็คนไม่ค่อยสนใจใครแบบนั้น แต่มันสังเกตคนรอบข้างตลอดเวลาเลยนะ”
“แล้วทำไมเขาไม่มาช่วยเอง?”
“ก็มันคิดว่าน้องไม่ค่อยชอบหน้ามันอะดิ ั้แ่ก่อนเื่ขโมยเห็ดแล้วแหละ มันบอกว่าน้องไม่ค่อยอยากมองหน้ามัน ไอ้ปรงมันก็เลยคิดว่าน้องไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่”
ผมไม่ได้ไม่ชอบพี่ปรงนะ แต่เขาเป็รุ่นพี่ที่ชอบทำหน้าเหมือนโกรธใครอยู่ตลอดเวลา ผมก็เลยไม่กล้ามองหน้าเขาเพราะกลัวว่าเขาจะด่าผม แต่หลังจากเื่ขโมยเห็ดที่เขาชอบแกล้งผมบ่อย ๆ ตอนนั้นไม่ชอบจริง ๆ ผมยอมรับเลย
“ผมก็นึกว่าพี่มาช่วยผมเพราะอยากช่วยซะอีก”
“ก็อยากช่วยด้วยแหละ เลยมาช่วย”
“ตอนนั้นพี่ดีกับผมมาก ๆ จนผมอะ…”
“แอบชอบพี่เหรอ” พี่อูนหัวเราะออกมานิดหน่อย เขาตอบกลับมาในตอนที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค ผมพยักหน้ารับเพราะคิดว่าพี่อูนเขาก็สมควรได้ยินจากปากผมซะอีก “จริง ๆ เื่ที่ทานตะวันชอบพี่ พี่ก็รู้อยู่แล้ว”
“ผมก็คิดไว้แล้วว่าพี่ต้องรู้”
“เื่เห็ดพี่ก็รู้นะ พี่รู้หมดทุกเื่แหละ แต่พี่แค่รู้สึกว่าความรู้สึกดี ๆ ที่เรามีให้ พี่ไม่ควรได้รับเลย เพราะสิ่งที่พี่ทำลงไปทุกอย่าง พี่ทำเพราะไอ้ปรงมันขอให้พี่ทำ พี่ไม่ได้ใจดีกับเราแบบที่เราเข้าใจหรอก”
“ที่ผ่านมา เขาขอให้พี่มาช่วยผมตลอดเลยเหรอ”
“ก็หลายครั้งอยู่นะ แต่หลัง ๆ มันก็เริ่มไปช่วยเอง”
“แล้วทำไมพี่ปรงเขาต้องขอให้พี่อูนทำแบบนั้น”
“ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าทำไม?”
“…” ผมส่ายหน้า แต่มีคำตอบอยู่ในใจนะ ผมแค่อยากมั่นใจจากปากของพี่อูนมากกว่า ผมไม่เคยรู้เื่ของพี่ปรงมาก่อน พอมาได้ยินจากปากของพี่อูนแบบนี้มันก็ทำให้ผมคลายข้อสงสัยต่าง ๆ ในใจ
“มันชอบน้อง”
“…”
“ชอบมานานแล้วด้วย”