ชอบ
เขาชอบเซี่ยเจิงเหรอ?
ชวีเสี่ยวรู้สึกว่าตัวเขาต้องระมัดระวังขึ้นหน่อยแล้ว เพราะในตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าที่ซือจวิ้นพูดคำว่าชอบจริงๆ แล้วมันบ่งชี้ไปในทิศทางไหนกันแน่
ตกลงแล้วเขารู้สึกหวั่นไหวกับเซี่ยเจิงจริงๆ หรือเปล่า
สิ่งที่คาดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จุ่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็นึกถึงวันนั้นที่เขาเจอกับโจวเจ๋อหยวน แล้วคู่หูคนนั้นก็ถามออกมาว่าเขาเป็ไหม บวกกับในตอนนี้ที่นึกย้อนกลับไปถึงคำอธิบายของเซี่ยเจิงก่อนหน้านี้ ความหมายที่คนคนนั้น้าจะสื่อก็คงจะหมายถึง
“นายชอบเพศเดียวกันหรือเปล่า”
ชวีเสี่ยวปอตัวสั่นขึ้นมาด้วยความใ รู้สึกว่าทั้งสองคำถามนี้้าการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
แต่ยังไม่ทันที่จะได้หาทางออกจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้ได้ เขาก็ได้ยินเสียงซือจวิ้นะโไปทางด้านนั้นว่า “กลับมาแล้วเหรอ” ทันใดนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยเจิงกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา และเข้ามายืนพิงลูกกรงอยู่ข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ
“โหยวเจียเรียกนายไปคุยเื่อะไรเหรอ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกตัวขึ้นมาทันที จึงทำให้เขาได้กลิ่นบุหรี่บนตัวของเซี่ยเจิง หลังจากออกจากห้องพักครูเขาคงจะไปสูบบุหรี่ก่อนแล้วจึงค่อยกลับมา ในขณะนั้นแขนของเซี่ยเจิงัักับแขนของเขาผ่านเสื้อไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกสับสนวุ่นวายใจขึ้นมา
“ไม่มีอะไร แค่ถามฉันว่าการแข่งขันบาสเกตบอลเตรียมตัวกันไปถึงไหนแล้ว” เซี่ยเจิงตอบ “ใช่แล้ว เมื่อวานนายลืมเลโก้ไว้ที่บ้านฉันนะ”
“เลโก้? เลโก้อะไร? ” ซือจวิ้นััได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจ้องไปยังชวีเสี่ยวปอ แล้วจึงกวาดสายตาไปมองเซี่ยเจิงอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง ราวกับว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างบนตัวของเขาทั้งสองคน “ใช่ที่ให้นายอันนั้นหรือเปล่า? เมื่อวานนายไม่ได้กลับบ้านหรอกเหรอ? ”
“ฉันไปหาเขาเพราะมีธุระนิดหน่อย”
ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน หลังจากพูดจบก็มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ให้ตายเถอะ! พวกนายสองคน! ” ซือจวิ้นกัดฟัน พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างโหดร้าย “ฉันััได้ถึงกลิ่นของความสัมพันธ์เชิงชู้สาวขึ้นมาแล้วสิ !”
“หุบปากไปเลย” ซือจวิ้นใช้คำว่าความสัมพันธ์เชิงชู้สาวนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ทั้งชวีเสี่ยวปอยังรู้สึกหมดคำพูดกับความรู้ใจกันที่ไม่ควรจะมีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกระหว่างซือจวิ้นและเซี่ยเจิง “ฉันแค่ไปหาที่อยู่สักพัก พ่อฉันอยู่บ้านเลยไม่อยากกลับไม่ได้หรือไง”
“ได้” ซือจวิ้นกัดฟันพูดออกมาหนึ่งคำ ใบหน้าของเขาแสดงออกมาว่า “ฉันรอฟังอยู่ นายแต่งเื่ต่อไปสิ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่ามันแปลกมาก อันดับแรกที่แน่นอนเป็ที่สุดคือเขาเห็นซือจวิ้นเป็เพื่อนสนิทที่ดีของเขา ถึงแม้ว่าซือจวิ้นจะเป็คนเรื่อยเปื่อยสบายๆ ไม่สนใจไยดีอะไรมากนัก แต่ระหว่างเขาทั้งสองคนก็บริสุทธิ์ใจต่อกันอย่างแน่นอน เพราะถึงยังไงการสร้างมิตรภาพก็คงจะไม่สามารถสร้างขึ้นมาภายในวันเดียว ทว่าเมื่อพูดถึงเื่นี้ เื่ที่เขากับเซี่ยเจิงสนิทสนมแแ่กันถึงขั้นนี้ เขากลับรู้สึกไม่ค่อยอยากที่จะสารภาพกับซือจวิ้นสักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าสมองอันน้อยนิดของซือจวิ้นที่เต็มไปด้วยความคิดอันแปลกประหลาดนี้จะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้เข้าในสักวัน แต่ไม่ใช่ในตอนนี้อย่างแน่นอน
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกจิตใจไม่สงบเลยแม้แต่น้อย ในขณะนั้นเขาจึงรีบหลบสายตาจากซือจวิ้นไปทันที
“พวกเราต้องหาเวลาไปซ้อมกันแล้วละ” เซี่ยเจิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแข่งแล้ว”
ระหว่างฝึกซ้อมใน่บ่าย มีหลายคนกระตือรือร้นขึ้นมาเป็อย่างมาก โดยเฉพาะชวีเสี่ยวปอ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาไปเอาแรงขนาดนี้มาจากไหน วิ่งไปวิ่งมาอย่างบ้าคลั่งทั้งยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ในตอนที่คนอื่นๆ ไปดื่มน้ำกันอยู่ที่ข้างสนามแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็ยังคงเลี้ยงลูกบาสเกตบอลไปมาอย่างไม่มีท่าทีที่จะเลิกรา
เล่นบาสเกตบอลนี่ดีมากเลยทีเดียว ถ้าร่างกายเหนื่อยขึ้นมาหน่อย หัวสมองของเขาก็จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย
ชวีเสี่ยวปอแอบชำเลืองมองเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง ในขณะนั้นเซี่ยเจิงกำลังวางคางเอาไว้บนเข่าพลางเหม่อลอยออกไป เสี้ยววินาทีนั้นชวีเสี่ยวปอยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่เลยที่แอบมองเขาแต่ไม่ถูกจับได้ ทว่าเสี้ยววินาทีถัดมาเขากลับรู้สึกใกับลูกบาสเกตบอลที่จู่ๆ ก็กระแทกเข้ามาที่ด้านข้างเท้าของเขา
“พวกนาย...” ชวีเสี่ยวปอนึกว่าใครมาแกล้งเขา แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่าลูกบาสเกตบอลของพวกเขาอยู่ในมือเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
มีคนผิวปากออกมา
“โยนได้ไม่เลว” มีนักเรียนสองสามคนเดินกระโดกกระเดกเข้ามาหาเขา ชวีเสี่ยวปอจึงหรี่ตาขึ้นไปมอง และพบว่าเป็พวกเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่ง
คนที่พูดคนนั้นมีผิวคล้ำอีกทั้งยังดูแข็งแรงกำยำ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้กำลังใส่เสื้อบาสเกตบอลสีเหลืองสะท้อนแสงอยู่ ชวีเสี่ยวปอก็เกือบจะนึกว่าเป็สุนัขพันธุ์ทิเบตันของใครสักคนแล้วซะอีก
“โยนลูกบาสมาให้หน่อยดิ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกคุ้นกับท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่ายเป็อย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่มองออก เซี่ยเจิงและพวกเขาหลายคนก็ลุกขึ้นยืนมาแล้วด้วยเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเจียงอี้หยางจะไม่เคยเจอเื่แบบนี้มาก่อน เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอเห็นใบหน้าของเขาเต็มใบด้วยความใผสมกับความงุนงงจึงทำให้รู้สึกอยากขำออกมา
ในความเป็จริงเขาไม่เพียงแต่หลุดขำออกมาแล้ว แต่ยังถูกคนที่เหมือนสุนัขทิเบตันมองเห็นเข้าแล้วด้วย
“นายหัวเราะอะไร? ” คนที่เหมือนสุนัขทิเบตันคนนั้นคิดว่าชวีเสี่ยวปอหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน ตอนที่พูดออกมาจึงได้ดูโมโหอย่างเห็นได้ชัด คนที่ชอบคิดอะไรไปเองเช่นนี้ค่อนข้างที่จะน่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกงงมากเช่นกัน เห็นๆ อยู่ว่าพวกเขาเป็คนโยนลูกบาสมาใส่เท้าของชวีเสี่ยวปอเอง แล้วทำไมถึงได้หน้าไม่อายมาพูดถึงอ้างโน่นอ้างนี่อีก
“นายยุ่งอะไรด้วยกับอีแค่คนหัวเราะ” ชวีเสี่ยวปอมองเขา รอให้คนที่เหมือนสุนัขทิเบตันตอบกลับมา
“นายนี่บ้าอยู่เหมือนกันเนอะ” คนที่เหมือนสุนัขทิเบตันคนนั้นชี้นิ้วไปที่ชวีเสี่ยวปอ
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทางยั่วโมโหของคนที่เหมือนสุนัขทิเบตันคนนั้นเลย ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นเซี่ยเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ขยับขึ้นไปด้านหน้า แต่เมื่อเห็นคนที่เหมือนสุนัขทิเบตันไม่ได้มีท่าทีที่จะเคลื่อนไหวใดใดเลยเขาจึงหยุดลง ราวกับว่าเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปล้มสุนัขพันธ์ทิเบตันตัวนั้นได้ตลอดเวลา
ส่วนชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้รู้สึกเป็ห่วงเท่าไหร่นัก เพราะถึงยังไงก็อยู่ในโรงเรียน ถ้าคนจำนวนมากขนาดนี้มีเื่ทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาเื่ก็คงจะไม่ใช่เล็กๆ แน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ตามท่าทางเช่นนี้ของเซี่ยเจิงทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกมีความสุขมากเลยทีเดียว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เชี่ย” คนที่เหมือนสุนัขทิเบตันคนนั้นด่าออกมา “พวกเรามาเล่นกันสักตา”
“ไม่ว่าง”
แบบนี้ไม่เรียกว่าสติไม่ดีหรือไง?
ชวีเสี่ยวปอถึงกับพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม ยั่วโมโหกันมาตั้งนานสองนานเพียงเพราะว่าอยากเล่นด้วยกันสักสนาม พวกเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งกลุ่มนี้ทำไมถึงได้สมองกลับถึงขนาดนี้นะ อาทิตย์หน้าก็ถึงวันที่จะต้องแข่งขันแล้ว ตอนนี้มาขอเล่นด้วยกันเพื่อลองเชิงหรือยังไง?
พวกเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งกลุ่มนั้นผงะไปในทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าชวีเสี่ยวปอจะตอบออกมาเช่นนี้ คนที่เหมือนสุนัขพันธุ์ทิเบตันซึ่งเป็หัวหน้าทีมของคนกลุ่มนั้นถูกชวีเสี่ยวปอพูดตอกหน้าเข้าอย่างจัง ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าชวีเสี่ยวปอเป็คนที่ค่อนข้างจะอวดเก่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกินกว่าที่เขาคาดเดาเอาไว้มากขนาดนี้
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาจึงหยิบลูกบาสเกตบอลที่อยู่ใต้เท้าของเขาขึ้นมา เขาไม่ได้โยนออกไป แต่กลับยัดมันเข้าไปที่อกของคนที่เหมือนสุนัขทิเบตันคนนั้น “ถ้าอยากแข่งก็เจอกันในสนามแข่ง”
หลังจากที่พวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงหันกลับมามองและพบว่าพวกเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งกลุ่มนั้นก็แยกย้ายออกจากสนามไปแล้วเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ” เจียงอี้หยางรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงถามออกมา “แข่งก็แข่งสิ ทำไมพวกเขาต้องทำเหมือนจะเข้ามาหาเื่ด้วย”
“ครูประจำชั้นของพวกเด็กสายวิทย์ห้องหนึ่งนั่น” เซี่ยเจิงส่ายหน้า “ฉันได้ยินคนในห้องพวกเขาพูดว่า ครูประจำชั้นของห้องพวกเขาบอกว่าห้ามแพ้ให้กับห้องที่ครูผู้หญิงดูแลอยู่โดยเด็ดขาด เพราะมันน่าขายหน้าสุดๆ ”
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปออึ้งไปทันที จากนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าประโยคนั้นจริงๆ แล้วมันหมายความว่าอะไรกันแน่ “เล่นเกมการแข่งขันยังจะเหยียดเพศอีก? ไม่แปลกใจเลยที่คุณธรรมของนักเรียนห้องเขาถึงได้เป็แบบนี้ ครูเป็แบบไหนก็ดูแลห้องแบบนั้นจริงๆ”
“คงจะคิดว่าตัวเองเก่งมากแหละมั้ง” สวี่เจี๋ยกระทืบเท้า พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม : “หม่าเวยนี่มันหาเื่เก่งจริงๆ ”
“หม่าเวย? ” ชวีเสี่ยวปอถาม “ใครอะ? ”
“ก็คนที่ทั้งอ้วนทั้งดำที่ยืนพูดกับนายเมื่อกี้ไง” เซี่ยเจิงอธิบายได้ตรงมากเลยทีเดียว
“หม่าเวย หม่าเวย” ชวีเสี่ยวปอท่องชื่อเขาเสียงเบาซ้ำอยู่หลายครั้ง แล้วจู่ๆ เขาก็ตบมือขึ้นมาด้วยท่าทางที่มีความสุข “ให้ตายสิ ตั้งชื่อได้ดีจริงๆ ถ้างั้นพวกเราก็มาทำตามปรารถนาของเขา แสดงพลังอำนาจ [1] ให้เขาเห็นกันเถอะ”
.............................
เชิงอรรถ
[1] 下马威 อ่านว่า เซี่ยหม่าเวย มีความหมายว่าแสดงพลังอำนาจให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น ซึ่งไปคล้องจองกับชื่อของหม่าเวยเข้าพอดี