ท่ามกลางแสงสนธยาที่สาดส่องลงมาเป็สีทอง หญิงสาวที่ดูมีอายุมากกว่ากำลังหันแผ่นหลังขาวเนียนละเอียดราวกับหยกเนื้อดีที่ไร้ตำหนิมาทางด้านที่อวี้เหวินยืนซุ่มอยู่ เอวคอดกิ่วราวกับเอวของนางพญาผึ้ง ภายใต้ร่มผ้าที่นางกำลังปลดออก เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันเย้ายวนเพียงเล็กน้อย ราวกับบุปผาแรกแย้มที่กำลังเบ่งบาน ก็สามารถก่อให้เกิดความร้อนรุ่มในหัวใจของบุรุษผู้ใดก็ตามที่ได้พบเห็นจนแทบจะลืมหายใจ
อีกฝั่งหนึ่งเป็สาวน้อยวัยแรกแย้ม ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับกลีบดอกท้อในยามเช้า กำลังจะดึงผ้าเนื้อบางเบาที่ปกปิดทรวงอกลงต่ำ เผยให้เห็นร่องรอยแห่งเนินเนื้อสีขาวอมชมพูระเรื่อที่กำลังผลิบานตามวัย ราวกับผลท้ออ่อนสองผลที่กำลังอยู่ใน่เวลาแห่งการเก็บเกี่ยว รอคอยผู้มาัั
"ส...สตรี... ถึงสองนาง!" อวี้เหวินอุทานออกมาด้วยเสียงกระซิบแ่เบา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงราวกับเห็นภาพมายา ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นราวกับผลตำลึงสุกที่ต้องแสงตะวัน ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งของเขาจะพลั้งก้าวถอยหลังไปโดยมิได้ตั้งใจ ราวกับถูกแรงดึงดูดอันลึกลับ
"แกร๊ก!" เสียงกิ่งไม้แห้งเล็กๆ ที่ถูกเหยียบหักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของป่า ราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำลายความเงียบลงในพริบตา
"ผู้ใด!!" สาวน้อยนามซินซินร้องะโขึ้นด้วยน้ำเสียงใปนความโกรธเคือง พลางยกมือเรียวเล็กขึ้นปิดบังทรวงอกอวบอิ่มที่เพิ่งจะเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อยของตน นางเบิกตากลมโตดุจดวงดาว จับจ้องไปยังทิศทางของต้นเสียงอย่างระมัดระวัง ราวกับลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อ
วูบ! ร่างกายที่กำลังเลือนหายไปราวกับหมอกควันยามเช้าของอวี้เหวิน พลันปรากฏร่างขึ้นมากลางอากาศอย่างฉับพลัน ราวกับภาพลวงตาที่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
"บัดซบ! เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ไปได้!" อวี้เหวินสบถออกมาด้วยเสียงต่ำอย่างหัวเสีย ดวงตาคมกริบเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เขาพยายามรวบรวมสมาธิทั้งหมด ส่งกระแสจิตอันแรงกล้าเข้าไปควบคุมลูกแก้วสีดำสนิทอีกครั้ง แต่ทว่าส่งไปเท่าไรก็ไร้ผล ราวกับลูกแก้วนั้นดื้อรั้นไม่ยอมตอบสนองต่อคำสั่งของเขา
เป็เพียงว่าขีดจำกัดในการใช้ลูกแก้ววิเศษเม็ดนี้ของเขายังมีอยู่มากนัก อีกทั้งครั้งนี้ถือเป็ครั้งแรกที่เขาใช้มันอย่างจริงจังในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ไหนเลยจะล่วงรู้ได้ว่าจะสามารถควบคุมมันไว้ได้นานเพียงใด ผลลัพธ์จึงเป็อย่างที่เห็น ร่างของเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าสตรีทั้งสองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัด ราวกับเวลาได้หยุดนิ่งลงในชั่วขณะนั้นเอง
เมื่ออวี้เหวินตระหนักว่าเงาร่างของตนปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนต่อหน้าสตรีทั้งสอง ไร้ซึ่งหนทางที่จะซ่อนเร้นอีกต่อไป
ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในห้วงสมองคือการสลัดหลุดจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้ให้เร็วที่สุด ราวกับปลาที่ติดร่างแหย่อมดิ้นรนสุดกำลังเพื่อกลับคืนสู่อิสรภาพในสายน้ำ
ทางด้านสองสาวพี่น้อง เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินมิได้มีทีท่าจะขออภัย แต่กลับเหินร่างเตรียมหลบหนี จึงรีบคว้าอาภรณ์เนื้อดีที่วางอยู่ริมธารมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว ท่าทางคล่องแคล่วราวกับสายลมวสันต์ที่พัดผ่านแมกไม้
"หยุดนะ! เ้าโจรลามก! บังอาจมาล่วงเกินร่างกายอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น อย่าคิดว่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือของข้าไปได้! หึ่ม!" สาวน้อยนามซินซินตวาดลั่นด้วยความโกรธเคือง ดวงตากลมโตเบิกโพลงราวกับจะพ่นไฟออกมา จ้องมองไปยังร่างของอวี้เหวินที่กำลังจะลับหายไปในหมู่แมกไม้
จากนั้นจึงเหยียดร่างเพรียวบาง พุ่งทะยานตามไปอย่างรวดเร็ว ดุจศรที่ถูกโก่งออกจากแล่งด้วยแรงโทสะ
จากนั้นสองพี่น้องจึงเร่งรุดตามอวี้เหวินไปติดๆ เงาร่างสามสายพุ่งทะยานผ่านผืนป่าเขียวขจี ราวกับดาวตกที่กำลังเคลื่อนที่ อวี้เหวินเมื่อััได้ถึงไอสังหารที่แผ่ซ่านมาจากเื้ั ราวกับคมดาบที่จ่ออยู่บนต้นคอ
เขาจึงเค้นพลังกายทั้งหมดที่มี เร่งความเร็วของฝีเท้าจนถึงขีดสุดของร่างกายตนเอง สายลมหวีดหวิวปะทะใบหน้า ราวกับคมมีดที่กรีดผ่าน แม้ว่าสองพี่น้องคู่นี้จะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งกว่าอวี้เหวินหลายขั้น ทว่าอวี้เหวินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติขั้นที่หนึ่ง ระดับกลาง ได้สำเร็จนั้น ได้เสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันไปมากนัก กล้ามเนื้อทุกส่วนทำงานประสานกันอย่างลงตัว ปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นต่อให้สองพี่น้องคู่นี้จะเร่งตามมาด้วยความเร็วสูงสุด ก็ยังยากที่จะตามทันเงาร่างที่ว่องไวดุจสายลมของเขา
ทางด้านของหญิงสาวผู้เป็พี่ ดวงตาคู่สวยราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง จับจ้องไปยังร่างที่กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าอย่างไม่กะพริบ นางสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในท่วงท่าและพลังกายของอีกฝ่าย คนผู้นี้มิได้มีพลังต่ำต้อยดังเช่นคนธรรมดา หากแต่ต้องเป็ผู้บ่มเพาะที่มีระดับขั้นใกล้เคียงกับตนอย่างแน่นอน
'คนผู้นี้ช่างรวดเร็วยิ่งนัก! ความแข็งแกร่งของร่างกายก็มิได้ด้อยไปกว่าข้ามากนัก หากประมาทผลีผลามเข้าโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว อาจจะเสียทีให้แก่ความเร็วของเขาก็เป็ได้' นางครุ่นคิดในใจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ
"ซินซิน พี่สาวขอเหินร่างล่วงหน้าไปดักรอชายผู้นี้ที่บริเวณหน้าผาด้านหน้าก่อน จากนั้นเ้าจึงตามมาสมทบ เข้าใจหรือไม่? จงระวังตัวให้ดี อย่าได้ประมาทพลังของเขา" สาวผู้พี่หันไปมองน้องสาวของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและวางแผนอย่างรวดเร็ว
"เ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านพี่ไม่ต้องเป็ห่วง ข้าจะตามไปสมทบอย่างรวดเร็วที่สุด" สาวน้อยซินซินรับคำอย่างหนักแน่น พลางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธบัดนี้กลับฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในตัวพี่สาวของตน
ทันใดนั้นเอง หญิงสาวผู้เป็พี่ก็หยิบยาเม็ดสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลลึกที่สะท้อนแสงจันทร์ออกมาหนึ่งเม็ด บรรจงใส่เข้าไปในริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อราวกับกลีบดอกท้อของนาง พลันบังเกิดลมปราณอันเร้นลับหมุนวนรอบกาย ราวกับพายุที่กำลังก่อตัว
ฟึ่บ! ร่างอรชรของนางก็พลันทวีความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับสายลมที่พัดกระโชกผ่านหุบเขา พุ่งทะยานไปข้างหน้า แซงหน้าน้องสาวของตนไปอย่างรวดเร็ว
ทางด้านของอวี้เหวิน เมื่อเห็นว่าตนเองสามารถรักษาระยะห่างจากผู้ที่ตามมาได้พอสมควร จึงผ่อนคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความประมาทนั้นเอง ที่สายลมสีเขียวสายหนึ่งกำลังเคลื่อนที่มาทางเขาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง ราวกับอสนีบาตที่ฟาดผ่าลงมาจากฟากฟ้า หนึ่งกระพริบตา สองกระพริบตา สามกระพริบตา
ฟึ่บ! ร่างงดงามในชุดสีเขียวอ่อนราวกับใบไม้ผลิที่ต้องแสงตะวัน ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของอวี้เหวินอย่างมิคาดฝัน
อวี้เหวินเมื่อเห็นเงาร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดวงตาคมกริบของเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ราวกับเห็นภูตผีปีศาจที่ออกมาจากนรก เขาเตรียมที่จะหันหลังกลับ เหินร่างหลบหนีไปยังทิศทางอื่น แต่ทว่าความตั้งใจนั้นไม่อาจสำเร็จได้ เมื่อร่างของสาวน้อยนามซินซินได้เหยียบย่างเข้ามาประชิดด้านหลังของเขาในชั่วพริบตานั้นเสียแล้ว
"เ้าโจรลามก!! วันนี้ต่อให้เ้ามีปีกบินดุจวิหค์ ก็มิอาจหนีรอดเงื้อมมือข้าไปได้อีก!" ซินซินกล่าวออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกที่ต้องแสงตะวัน
ทางด้านอวี้เหวิน เมื่อตกอยู่ในสภาพที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังเช่นนี้ เขารู้สึกจนหนทางราวกับนกน้อยที่ติดอยู่ในกรง จึงตัดสินใจเอ่ยกล่าวความจริงออกไป หวังจะขอความเห็นใจจากสตรีทั้งสองผู้มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดา เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงหน้างดงามราวกับจันทร์เพ็ญที่ส่องสว่างในคืนมืดมิดของหญิงสาวในชุดสีเขียว
"แม่นาง... ข้ามิได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินท่านทั้งสองจริงๆ ข้ามิได้คาดคิดว่าพวกท่านจะเป็สตรี ข้าเพียงแต่รู้สึกตัวเหนียวเหนอะหนะจากการฝึกฝน จึงได้ก้าวเดินตามเสียงธารน้ำมาเพื่อหวังจะชำระล้างกายาตนเองให้สะอาด แต่บังเอิญข้าได้ยินเสียงของมนุษย์ ทว่ามิอาจแยกแยะได้ว่าเป็บุรุษหรือสตรี จึงได้เเต่ซ่อนตัวเพื่อป้องกันตนเอง มิได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงเลยแม้แต่น้อย ขอพวกท่านโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นและจริงใจ แววตาคมกริบกลับฉายแววแห่งความสำนึกผิดและขอความเห็นใจ
"ท่านพี่ ท่านอย่าได้เชื่อวาจาเสแสร้งของบุรุษผู้นี้! ท่านแม่เคยกล่าวไว้ว่าวาจาของบุรุษนั้นล้วนเชื่อถือมิได้ คำพูดของพวกเขามีแต่คำโกหกหลอกลวง..." สาวน้อยซินซินกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตากลมโตจ้องมองอวี้เหวินอย่างไม่ไว้วางใจ ราวกับกำลังจ้องมองอสรพิษร้ายที่ซ่อนพิษสงอยู่ แต่ก่อนที่นางจะกล่าวจบประโยค
อวี้เหวินที่ยืนหันหลังให้นางอยู่ พลันหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยหวังจะโต้แย้งและอธิบายความบริสุทธิ์ใจของตนเองให้สาวน้อยผู้นี้ได้เข้าใจ
ทางด้านซินซิน เมื่อได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลางดงามราวกับเทพบุตรลงมาจากสรวง์ของอวี้เหวิน แสงจันทร์ยามเย็นที่สาดส่องลงมากระทบใบหน้าคมสันราวกับรูปสลัก ทำให้เห็นโครงหน้าที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ดวงตาคมกริบราวกับดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าในยามค่ำคืน จมูกโด่งเป็สันราวกับคมดาบ ริมฝีปากหยักได้รูปราวกับดอกท้อแรกแย้มที่ต้องหยาดน้ำค้าง
คำพูดที่กำลังจะกล่าวออกมาพลันถูกกลืนลงคอไปในทันใด ความคิดมากมายที่จะตำหนิและเอาผิดอวี้เหวินล้วนอันตรธานหายไปในเสี้ยววินาทีนั้น ราวกับเวลาได้หยุดเคลื่อนไหว นางนิ่งค้าง จ้องมองไปยังใบหน้าของอวี้เหวินอยู่สองอึดใจ ราวกับต้องมนต์สะกด
'มีบุรุษรูปงามปานนี้อยู่ในโลกมนุษย์ด้วยหรือ? หรือว่าเขาจะเป็เทพเซียนที่แปลงกายลงมาบนโลกมนุษย์กัน?' ความคิดของนางเลื่อนลอยออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลมที่พัดพาเมฆหมอกสีขาวบริสุทธิ์ไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
"แม่นาง! ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรือ? เหตุใดท่านจึงจ้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น" อวี้เหวินยกมือขึ้นแตะใบหน้าของตนเองอย่างงุนงง พลางหันไปมองสาวน้อยนามซินซินด้วยความสงสัยใคร่รู้
คำถามนั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจ ปลุกซินซินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความตะลึงงัน กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็จริงที่นางยืนอยู่ริมหน้าผาอันเงียบสงบ
"อ่...มิได้...มิได้มีสิ่งใดผิดปกติ" นางตอบกลับด้วยอาการประหม่า ใบหน้าแดงก่ำราวกับดอกท้อในยามเช้า ดวงตากลมโตดุจดวงดาวหลุกหลิกไม่กล้าสบตาอวี้เหวิน ในขณะนั้น สมองน้อยๆ ของนางก็เริ่มประมวลเื่ราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางคิดถึงความเป็ไปได้ต่างๆ เกี่ยวกับเด็กหนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง
"เ้า...เ้าชื่นชอบข้ารึ?" ทันใดนั้น นางก็พลันเอ่ยถามคำถามที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ว่าเหตุใดจึงหลุดปากถามออกไปเช่นนั้น หากภายหลังนางได้กลับมาทบทวนสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไปในวันนี้ นางคงแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นจากความอับอายขายหน้า
อวี้เหวินเมื่อได้รับคำถามที่แปลกประหลาดและไม่คาดฝันในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ถึงกับงงงวยไปชั่วขณะ แม้แต่พี่สาวของสาวน้อยซินซินเองก็ยังแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเห็นเื่เหลือเชื่อ กับคำถามที่น้องสาวนางเอ่ยออกมาอย่างฉับพลัน
ก่อนที่อวี้เหวินจะได้ทันกล่าวตอบกลับมา สาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็รีบพูดขึ้นมาก่อนด้วยความเขินอายจนลามไปถึงใบหู "มิใช่ๆๆ เหตุใดเ้าถึงมาเเอบดูพวกเรา?" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมราวกับผลทับทิมสุก
"ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้ามิได้มีเจตนาแม้แต่น้อยที่จะแอบดูพวกท่าน ข้าเพียงแต่้าป้องกันตนเองจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และเกิดความสงสัยว่าผู้ใดกันที่มาอยู่ในสถานที่อันตรายท่ามกลางป่าอสูรเช่นนี้" อวี้เหวินส่ายศีรษะอย่างจนใจ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง แววตาคมกริบกลับฉายแววแห่งความบริสุทธิ์ใจ
"เป็เช่นนั้น... งั้นเ้าคิดจะชดใช้ความผิดนี้ให้แก่พวกเราอย่างไร? หรือว่า..." แต่ก่อนที่นางจะกล่าวคำต่อไปออกมา พี่สาวของนางราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่น้องสาวกำลังจะพูด นางจึงส่ายศีรษะเล็กน้อยอย่างมีท่าที และเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและน่าเชื่อถือ
"สหายจอมยุทธ์ ข้าเชื่อมั่นในคำกล่าวของท่าน" แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกจะดูเหมือนว่าอวี้เหวินจงใจแอบดูพวกนาง ทว่านางได้สังเกตเห็นถึงท่าทางที่บริสุทธิ์ใจ และคำพูดที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา ซึ่งมิใช่วิสัยของคนโกหกปลิ้นปล้อนแต่อย่างใด เพียงแต่เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเท่านั้นเอง ดวงตาคู่สวยราวกับดวงจันทร์ในคืนเพ็ญของนางจ้องมองอวี้เหวินอย่างพิจารณา ราวกับ้าอ่านความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาให้ทะลุปรุโปร่ง
"ขอบคุณแม่นางที่เข้าใจในความบริสุทธิ์ของข้า พวกท่านมิจำเป็ต้องกังวลใจไป ข้าผู้นี้แซ่อวี้ นามเหวิน ขอให้คำมั่นสัญญาด้วยเกียรติของข้า ว่าวันหนึ่งข้างหน้า หากข้ามีโอกาส จักต้องตอบแทนความเมตตาของพวกท่านในวันนี้และชดเชยในสิ่งที่ข้าได้ล่วงเกินไปโดยมิได้ตั้งใจ จึงใคร่ขอเรียนถามนามของแม่นางทั้งสอง เพื่อจะได้จดจำไว้ในใจ" อวี้เหวินกล่าวด้วยความเคารพอย่างแท้จริง ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววสำนึกผิดอย่างชัดเจน พร้อมกับประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ท่าทางสง่าผ่าเผยแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน
"ข้า เเซ่กู้ มีนามว่า เจียอี้ ส่วนน้องสาวข้าผู้นี้คือกู้ซินซิน ยินดีที่ได้รู้จักสหายอวี้" นางตอบกลับด้วยรอยยิ้มละไมราวกับดอกไม้ในยามเช้า ดวงตาคู่สวยของนางจับจ้องไปยังอวี้เหวินด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเมตตา นางทำมือประสานคารวะตอบเช่นกัน
"ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางกู้ทั้งสอง ข้าน้อมรับความผิดที่ได้ล่วงเกินพวกท่านไปโดยมิได้เจตนา บัดนี้ข้ามิมีสิ่งล้ำค่าใดติดตัวมากมาย มีเพียงดาบเหล็กเก่าๆ เล่มนี้เท่านั้น" อวี้เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่น ดวงตาของเขาแสดงความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม
"ข้ารู้ดีว่ามันอาจมิอาจทดแทนสิ่งที่ข้าได้กระทำแก่พวกท่าน แต่ข้าเพียงแค่อยากมอบสิ่งนี้ไว้เป็ประกันแห่งสัญญาของข้า ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า ข้าจักต้องกลับมาชดใช้ให้แก่พวกท่านอย่างแน่นอน" อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น พร้อมกับดึงดาบเหล็กที่เก็บไว้ในสัมภาระของเขาออกมาอย่างระมัดระวัง ดาบเหล็กเล่มนี้ดูเก่าคร่ำคร่า แต่ก็ยังคงความคมกล้าเอาไว้ เป็อาวุธธรรมดาที่ซ่งเหยียนเฟยมอบให้เขาในยามที่เขาเริ่มฝึกฝนวิชา
"ดา...ดาบขั้นนภา!!" กู้ซินซินอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มองไปยังดาบเหล็กในมือของอวี้เหวินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางถึงกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความประหลาดใจ ราวกับได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน
อวี้เหวินทำหน้างุนงงเล็กน้อย เอามือข้างหนึ่งเกาศีรษะแกรกๆ ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงได้แสดงอาการตกอกใกับอาวุธที่ดูซอมซ่อและธรรมดาในสายตาของเขานัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดดาบเหล็กเล่มนี้จึงทำให้เด็กสาวผู้นี้ถึงกับแตกตื่นได้ถึงเพียงนี้
"ท่าน...ท่านไม่ทราบหรือว่าดาบเล่มนี้มีระดับขั้นถึงนภา?" กู้เจียอี้ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคู่สวยของนางจับจ้องไปยังดาบในมือของอวี้เหวินอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับ้าจะค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในดาบเล่มนั้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
"ข้าไม่เคยทราบเลยว่าดาบเองก็มีระดับขั้นเช่นกัน" อวี้เหวินหัวเราะแหะๆ ด้วยความขำขันให้กับความไม่รู้ของตนเอง พลางส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาตัวเองเล็กน้อย
"ในแคว้นตงชิงอันกว้างใหญ่นี้ อาวุธวิเศษนั้นแบ่งออกเป็ห้าระดับชั้น ขั้นต่ำสุดคือปฐี เปรียบเสมือนดินที่รองรับทุกสรรพสิ่ง ขั้นที่สองคือ นภา ดุจท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต และขั้นที่สาม สี่ ห้า คือ โลก ์ ตำนาน ตามลำดับ เพียงแต่ระดับตำนานนั้นเลือนรางดุจดั่งเื่เล่า มิเคยมีผู้ใดได้พบเห็นเป็ประจักษ์มาก่อน ดาบที่อยู่ในมือของท่านนั้นเป็ถึงอาวุธขั้นนภา แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่สอง แต่กระนั้นภายในดินแดนภาคใต้ หรือแม้แต่ในแคว้นตงชิงแห่งนี้เอง ก็ยังถือว่าเป็ของหายากยิ่งนัก มีเพียงตระกูลใหญ่ หรือบุคคลผู้มีวาสนาเท่านั้นที่จะได้มัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์เช่นพวกเรา อย่างดีที่สุดที่พอจะหามาได้ก็เพียงอาวุธขั้นปฐี มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ดาบขั้นนภา ท่านช่างโชคดีนักที่มีมัน ท่านเก็บรักษาเอาไว้เถิด" กู้เจียอี้กล่าวอธิบายแก่อวี้เหวินด้วยน้ำเสียงสุภาพและจริงใจ ดวงตาคู่สวยของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่ดาบในมือของเขาอย่างชื่นชม
"สิ่งที่นางกล่าวมานั้นเป็ความจริง แต่ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้แล้ว ยังมีระดับของอาวุธที่สูงส่งยิ่งกว่านั้นอีกมากมายนัก" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวขึ้นในห้วงความคิดของอวี้เหวินหลังจากที่เงียบหายไปนาน ราวกับพึ่งจะตื่นจากการหลับใหล
ทางด้านอวี้เหวินเมื่อได้ยินคำพูดของซ่งเหยียนเฟย ที่ดังขึ้นในมโนสำนึกของตนเอง จึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเงาของบุรุษผู้นี้ติดตามตนอยู่
'เ้านี่ช่างเป็สหายที่น่าขันนัก ยามเมื่อข้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก กลับนิ่งเฉยไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ออกมาช่วยเหลือ แต่เมื่อข้ารอดพ้นจากอันตรายมาได้แล้ว จึงค่อยเปิดปากพูดจาออกมา' อวี้เหวินรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้แสดงออกทางสีหน้า
"รับไปเถิดแม่นางกู้ หากข้าเพียงคิดจะทวงคืนดาบเล่มนี้ในภายหน้า เพียงเพราะล่วงรู้ถึงคุณค่าของมัน ข้าก็คงเป็เพียงคนกลับกลอกไร้สัจจะ พวกท่านทั้งสองจงรับไว้เถิด" เขากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่และจริงใจ ดวงตาคมกริบของเขาหันไปมองกู้ซินซินใน่ท้ายประโยค ราวกับ้ายืนยันความจริงใจของตน
"เช่นนั้นพวกเราก็ขอรับน้ำใจของท่านไว้ ณ ที่นี้แล้วกัน" กู้เจียอี้ยื่นมือเรียวงามราวกับกิ่งไผ่ไปจับดาบเหล็กที่อวี้เหวินยื่นมอบให้ด้วยความเต็มใจ
ทันทีที่มือของนางัักับด้ามดาบ ก็บังเกิดประกายแสงสีฟ้าอ่อนจางๆ วูบหนึ่ง ก่อนที่นางจะเก็บดาบเล่มนั้นใส่ลงไปในแหวนมิติที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ติ้ง! อวี้เหวินเห็นภาพเหตุการณ์นั้นถึงกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ราวกับได้เจอสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
"หากข้ามีสิ่งนี้ คงจะสะดวกสบายไม่น้อยเลยทีเดียว" เขาละสายตาจากแหวนวงนั้นด้วยความอยากได้
"ขอบคุณแม่นางที่เข้าใจในความบริสุทธิ์ใจของข้า พวกท่านมิจำเป็ต้องกังวลใจไป ผู้เเซ่อวี้ ขอให้คำมั่นสัญญาด้วยเกียรติของตนเอง ว่าวันหน้า หากมีโอกาส ข้าจักไปเยี่ยมเยือนพวกท่านถึงที่อย่างแน่นอน" อวี้เหวินกล่าวด้วยความเคารพอย่างแท้จริง ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววสำนึกผิดอย่างชัดเจน พร้อมกับประสานมือคารวะให้แก่สองพี่น้องแซ่กู่อย่างนอบน้อม
"ลาก่อน สหายอวี้" กู้เจียอี้ประสานมือตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ยังคงแฝงไว้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้
เมื่อเห็นว่าอวี้เหวินกำลังจะหันหลังเดินจากไป กู้ซินซินที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความขวยเขิน พลันเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นางยื่นมือออกมาเล็กน้อย ทำท่าจะเอ่ยบางสิ่งบางอย่าง แต่เหมือนมีถ้อยคำมากมายจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้
"พวก...พวกเรา...เราพำนักอยู่ที่เมืองลั่วเฉิน!!" กู้ซินซินรวบรวมความกล้าและพลังทั้งหมดที่มี ะโออกไปด้วยเสียงอันดังก้องกังวาน ขณะที่อวี้เหวินก้าวเดินจากไปโดยมิได้หันหลังกลับ
อวี้เหวินยกมือขวาชูขึ้นเหนือศีรษะ เป็สัญลักษณ์บอกว่าเขารับทราบถึงถ้อยคำนั้นแล้ว จากนั้นจึงก้าวเดินจากไปจนลับสายตาของสองแม่นางแห่งตระกูลกู้ ทั้งสองหารู้ไม่ว่าทั่วทั้งร่างของอวี้เหวินในยามนี้นั้นเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลรินลงมา เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนเองอย่างโล่งอก
"ในที่สุดข้าก็รอดออกมาได้เสียที" เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
"ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงห้ามข้ามิให้กล่าวออกไป?" กู้ซินซินถามขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความผิดหวังเล็กน้อย
นางส่ายศีรษะอย่างอ่อนโยน พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยเหตุผล "ซินซิน พวกเรายังมิรู้จักภูมิหลังความเป็มาของเขา ทั้งนิสัยใจคอก็ยังมิอาจหยั่งถึง การพบพานเพียงครั้งเดียวมิควรผลีผลามกล่าวสิ่งใดให้มากความ อีกทั้งเ้าเป็สตรี การเอ่ยเช่นนั้นออกไปอาจมิงามนัก อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของเขาดูมิได้เสแสร้ง หากมีโอกาสคงได้พบพานกันอีก การที่เขารับปากจะชดเชยให้แก่พวกเราก็ถือว่าเพียงพอแล้ว" นางหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูน้องสาว
"แล้วข้าจะได้พบเจอเขาอีกหรือไม่ ท่านพี่?" นางพูดด้วยน้ำเสียงซึมๆ ใบหน้าสวยหวานนั้นเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
"หากมีโอกาสย่อมได้พบกันอีก ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เป็ผู้ที่ยึดมั่นในคำสัญญา มิมีทางที่จะผิดคำพูดอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงมิยอมมอบดาบขั้นนภาอันล้ำค่าให้แก่พวกเราโดยมิอาลัยอาวรณ์ จริงหรือไม่?" กู้เจียอีตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา พร้อมกับยกมือเรียวลูบศีรษะน้องสาวของตนด้วยความอ่อนโยน
"อื้ม... แล้วข้าจะรอ" เมื่อได้รับคำตอบที่เต็มไปด้วยความหวังจากผู้เป็พี่ จิตใจที่ห่อเหี่ยวของนางจึงกลับมาเบิกบานขึ้นอีกครั้ง
*1จิน เท่ากับ 0.5กิโล
*1จั้ง เท่ากับ 3.33เมตร
*1ลี้ เท่ากับ 0.5กิโล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้