“ฟู่อิน ข้ารู้ว่าเ้าเป็เด็กดี ถึงหาเงินได้ก็ไม่เคยลืมชาวบ้านที่นี่ เ้ามาขอให้ข้าช่วยหาคนที่ขาดห้าค้ำประกันเช่นนี้ก็นับเป็การช่วยแบ่งเบาภาระของหมู่บ้านด้วย เข้าฤดูหนาวทีไร ทุกบ้านก็ต้องช่วยกันสมทบเงินเล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันซื้อแป้งข้าวให้คนเหล่านี้ผ่านฤดูหนาวไปให้ได้” หลี่เจิ้งหัวเราะ เริ่มชมหลินฟู่อินก่อน
เด็กสาวเองก็หัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ
“แต่ว่านอกจากคนพวกนี้แล้ว บางคนในหมู่บ้านเองก็ใช้ชีวิตลำบาก เ้าบอกว่างานในเมืองค่อนข้างดี เ้าจ้างคนเพิ่มขึ้นได้หรือไม่?” หลี่เจิ้งรู้สึกคล้ายตัวเองเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อถูกสายตาของเด็กสาวจับจ้อง
ฝั่งหลินฟู่อินยุ่งมากก็จริงถึงได้จ้างคนทีเดียวสิบคน ซึ่งจำนวนเท่านี้ถือว่าพอแล้ว หากมากกว่านี้ก็เป็การจ่ายเงินไปเปล่าๆ
ฟังความหมายของหลี่เจิ้ง ดูแล้วคนที่อยากเติมเข้าไปคงเป็ญาติๆ หรืออะไรพวกนั้น หลินฟู่อินเกลียดการกระทำเช่นนี้ที่สุดแต่กลับไม่อาจล่วงเกินหลี่เจิ้งได้ แต่ต่อให้ไม่อยากได้คนแล้วก็ต้องพูดให้ดี
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงหลิวฉิน ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่ากิจการที่ภัตตาคารตอนนี้ซบเซาลงกว่าตอนที่ออกอาหารใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้มีลูกค้าน้อยลงขนาดนั้น ก็แค่ลูกค้าส่วนมากเห็นว่าอากาศเย็นเลยไม่อยากจะออกไปไหน โดยเฉพาะตอนกลางคืน
พูดอีกอย่างก็คือคนที่มีงานสังสรรค์รอบค่ำต่างก็ไม่อยากออกมากินข้าวนอกบ้าน
หลินฟู่อินนึกถึงบริการจัดส่งถึงที่ในโลกปัจจุบัน ที่จริงบริการส่งอาหารถึงบ้านในยุคนี้ก็ทำได้อยู่ แต่คงไม่ได้เหมือนกับของยุคใหม่ ถึงจะเป็อาหารจานด่วนเหมือนกันก็เถอะ
ความคิดของเด็กสาวหมุนรวดเร็ว ถ้าภัตตาคารหลิวจี้มีบริการส่งอาหารจริงๆ ก็จะต้องนำไปส่งให้พวกบ้านคนรวยเ่าั้ เพราะพวกคนรวยที่สั่งอาหารก็น่าจะ้าให้มีบริการเช่นนี้เหมือนกัน แล้วก็น่าจะสั่งจำนวนมากด้วย ร้านอาหารทำเงินได้แน่ ดังนั้นการให้คนคอยไปส่งอาหารต้องมีกำไรแน่นอน
เพราะ่นี้อากาศหนาว การหาทางรักษาความร้อนของอาหารไว้จึงเป็สิ่งจำเป็ หลินฟู่อินคิดถึงพวกกลวิธีการนึ่งซาลาเปา อาหารพวกนี้เวลาเอาไปส่งน่าจะใช้วิธีวางบนซึ้งนึ่ง ด้านล่างมีถังเหล็กใส่น้ำเดือด ทีนี้อุณหภูมิของน้ำเดือดก็จะช่วยรักษาความร้อนเอาไว้ได้แม้ในหน้าหนาว
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีการนี้เป็ไปได้ ขอเพียงหลิวฉินกล้าแนะนำวิธีการนี้ขึ้นมา กิจการร้านอาหารในหน้าหนาวก็จะดีกว่าปีก่อนๆ มาก
จากนั้นก็ต้องใช้คนส่งอาหาร ที่จริงการส่งอาหารค่อนข้างวุ่นวาย ส่งอาหารหนึ่งครั้งน่าจะต้องใช้สองคน ถ้าภัตตาคารหลิวจี้มีบริการส่งอาหารก็จำเป็ต้องใช้แรงงานคนค่อนข้างมาก
ถึงอย่างไรตอนนี้ใช้คุณชายใหญ่หลิวมาบังหน้าอยู่ ดังนั้นนางจะรับปากหลี่เจิ้งไว้ก่อนก็ไม่ใช่เื่ใหญ่
แต่พูดกันตามตรง สุดท้ายตอนนี้ก็เป็ฤดูหนาวที่หนาวจนตัวแข็ง เพราะฉะนั้นคนที่มาทำจะบ่นเื่นี้ไม่ได้!
“ฟู่อิน ฟู่อิน?” หลี่เจิ้งเห็นหลินฟู่อินเงียบไปพักใหญ่ราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำที่เขากล่าวก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก กระทั่งเมื่อเงยหน้าอีกทีดวงตาของเด็กสาวก็แวววาวจนดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ท่านลุงหลี่เจิ้ง” หลินฟู่อินหรี่ตายิ้ม “เพิ่มคนเข้าไปมากหน่อยใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ ข้าแค่สงสัยว่าท่านลุงหลี่เจิ้งมีกำหนดจำนวนคนไว้หรือไม่?”
“มี มี!” หลี่เจิ้งเห็นนางตกลงก็อารมณ์ดีขึ้นมา ความไม่พอใจก่อนหน้านี้หายวับไปแล้วยื่นมือออกมานับ “ชีวิตบ้านพี่สามของข้าลำบากมาก เป็แม่หม้ายกับลูกกำพร้า ข้าอยากให้หลานชายคนนี้ไปด้วย ครอบครัวเฉียนซานเป่าเองก็ลำบาก ปีนี้เก็บเกี่ยวข้าวได้น้อยนิด เกรงว่าจะไม่มีเงินเอาไว้ซื้ออาหาร ดังนั้นก็ให้เฉียนซานเป่าไปด้วยเถอะ ยังมีบ้านของหลี่เอ้อร์หนิว พ่อของหลี่เอ้อร์หนิวขาหัก คนต้องจ่ายค่ารักษาขาออกไปเยอะมาก ตอนนี้ใช้ชีวิตกระเบียดกระเสียร ยังมีบ้านอู๋ซานเหม่ยเป็หม้าย ในบ้านมีแค่สองคน ลูกสาวคนโตอายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่ได้หมั้นหมายเพราะบ้านจนไม่มีสินเดิม แม่หม้ายอู๋จึงไม่อยากให้ลูกสาวแต่งออกไป ให้ลูกสาวคนโตของนางไปทำงานหาเงินสินเดิมเถอะ คนพวกนี้ล้วนลำบากทั้งนั้น”
หลี่เจิ้งร่ายออกมาทีเดียวสี่คน ในบรรดาสี่คนนี้ คนแรกเป็หลานชาย เฉียนซานเป่าเป็เพื่อนบ้าน แม่ของหลี่เอ้อร์หนิวคือแม่ยายของญาติ ส่วนคนสุดท้ายแม่หม้ายอู๋คนนั้นมีความสัมพันธ์กับเขา แต่คนรู้มีเพียงน้อยนิด
หลินฟู่อินรู้ว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่พอได้ยินเขาอธิบายความลำบากของแต่ละคน นางก็เห็นว่ายุติธรรมดี เลยไม่ได้พูดอะไรอีก
ผู้ชายสามคนก็ใช้ได้อยู่ แต่ลำบากสุดคือผู้หญิง หากนางทำไม่ได้นางจะให้คนมาทำงานแทนหลินฟาง แล้วให้หลินฟางติดตามนางไปเรียนรู้เื่ค้าขายแทน
พอคิดได้เช่นนี้หลินฟู่อินก็ยิ้ม “ได้ยินลุงหลี่เจิ้งพูดแล้วก็รู้สึกว่าครอบครัวเหล่านี้ลำบากจริงๆ ยังไงก็คนหมู่บ้านเดียวกัน ข้าช่วยได้ก็จะช่วยเ้าค่ะ”
“ฟู่อินเป็เด็กดีจริงๆ!” หลี่เจิ้งถอนหายใจโล่งอก
จากนั้นหลินฟู่อินก็พูดเสียงแข็ง “แต่ว่าก่อนที่ข้าจะกลับมาหาคนที่หมู่บ้าน คุณชายใหญ่ร้านหลิวจี้เคยบอกข้าเอาไว้ ฟู่อินเห็นว่าเื่นี้จำเป็ต้องพูดกับท่านลุงหลี่เจิ้งเ้าค่ะ”
“ได้ๆ ถ้าคุณชายใหญ่หลิวมีอะไรจำเป็ต้องบอก ฟู่อินก็รีบพูดมาเถอะ” หลี่เจิ้งเร่งเร้า
“เช่นน้ัน คนจากหมู่บ้านเราจะได้ทำงานเ้าค่ะ ค่าแรงวันละหกอีแปะ มีอาหารและที่อยู่ให้แล้ว แต่คนเหล่านี้จะต้องเชื่อฟังคำสั่งที่ได้รับและตั้งใจทำงานหนัก ต่อให้หิมะตก หากเ้านายสั่งให้ออกไปส่งของก็ห้ามปฏิเสธ” ตอนแรกหลินฟู่อินคิดค่อนข้างหนัก ที่จริงทุกคนก็ต้องฟังคำสั่งผู้ว่าจ้างอยู่แล้ว ส่วนเื่งานหนักนี้ก็น่าจะหนักมาก จากนั้นนางก็พูดเสริม “แต่งานหนักของผู้ชายอาจไม่เรียกว่าหนักเ้าค่ะ งานล้วนแต่อยู่ในชิงหยาง ไม่น่าจะหนักเกินไปนัก”
หลี่เจิ้งหัวเราะเมื่อได้ยิน “ฟู่อิน ดูที่คุณชายใหญ่หลิวพูดเข้าสิ การใช้เงินจ้างคนทำงานก็เป็เช่นนี้ไม่ใช่หรือ? ออกไปส่งของในวันหิมะตกแล้วยังไงกันเล่า? คนพวกนี้ต่อให้เ้านายสั่งให้ไปขุดหาแร่เหล็ก ขอเพียงให้ค่าจ้างมากพอก็ทำได้! ทุกคนล้วนแต่เป็ชาวไร่ชาวนาคุ้นชินกับงานหนักๆ ดังนั้นไม่ต้องเป็ห่วงไป!”
เห็นท่าทีหนักแน่นของหลี่เจิ้ง หลินฟู่อินก็พยักหน้าพอใจ
“แล้วสตรีเล่าจะทำงานแบบใด? ให้ผู้หญิงไปส่งของในวันหิมะตกก็ไม่น่าจะทำได้กระมัง?” หลี่เจิ้งคิดถึงลูกสาวคนโตของแม่หม้ายอู๋แล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้
หากไม่ใช่แม่หม้ายผู้นั้นขอร้องเขาหลายต่อหลายครั้งให้ช่วยหาครอบครัวดีๆ ให้ลูกสาวคนโตของนางเข้าไปเป็สาวใช้ทำงานหาเงิน เขาคงไม่ขอให้หลินฟู่อินช่วยรับนางเอาไว้
แม่หม้ายอู๋นั่นก็โง่งมนัก! ให้เด็กผู้หญิงเข้าบ้านรวยๆ ไปเป็สาวใช้มันดีตรงไหนกัน? เข้าไปทำงานได้สักหน่อย หากความงามของไป๋เนิ่นเข้าตานายท่านหรือคุณชายบ้านนั้นเข้าจะยังเป็เื่ดีได้อีกหรือ? ตามหลินฟู่อินไปหาเงินยังดีเสียกว่า ต่อให้เป็เงินเพียงสามอีแปะต่อวัน พอครบเดือนก็เกือบจะได้หนึ่งตำลึงเงินแล้ว ดีกว่าไปเป็สาวใช้ให้ผู้อื่นดุด่าตบตี หรือเสี่ยงต้องไปเป็อนุภรรยาผู้อื่น
หากเด็กคนนั้นกลายไปเป็อนุให้ผู้อื่น ทางบ้านก็ต้องโดนชาวบ้านดูถูกไปตลอดชีวิต
เห็นเขาเป็ห่วงลูกสาวของแม่หม้ายอู๋ ความคิดที่มีต่อหลี่เจิ้งก็เปลี่ยนไป อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เป็ห่วงและคอยดูแลคนในหมู่บ้านจริงๆ
ในใจเขาอาจคิดต่อผู้อื่นต่างกัน แต่ก็เป็เื่ธรรมดาของมนุษย์ไม่ใช่หรือ เหมือนอย่างนาง พอคิดจะจ้างคนก็นึกถึงบ้านลุงสองของนางก่อน จากนั้นก็เป็บ้านเฉียนที่เป็เพื่อนบ้าน
“พี่สาวคนนั้นข้าจะจัดการให้เหมาะสมเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าว แต่หลี่เจิ้งก็ยังวิตกเื่ของเด็กสาวผู้นั้น เล่าสถานการณ์ของนางให้หลินฟู่อินฟัง หวังว่าเด็กสาวจะช่วยให้คนผู้นั้นหาคู่ครองดีๆ ในเมืองได้
สายตาที่หลินฟู่อินมองหลี่เจิ้งประหลาดไป เหตุใดนางรู้สึกว่าหลี่เจิ้งดูไม่ค่อยปกติกับเื่นี้นะ?
แต่นางก็เข้าใจความเป็ห่วงของเขา รู้สึกว่าหลี่เจิ้งทำถูกแล้ว สาวงามที่ไปรับใช้บ้านคนรวยมักมีจุดจบไม่สวย ดังนั้นหากนางช่วยพี่สาวคนนี้ได้ก็อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่สีหน้าของหลี่เจิ้งที่คอยเป็ห่วงเป็ใยนั้นราวกับพ่อที่ห่วงใยลูก
“เื่แต่งงานนี่ข้ารับปากไม่ได้เ้าค่ะ” หลินฟู่อินพูดชัดเจน “พี่สาวคนนั้นมีแม่ งานแต่งของนางก็ควรคุยกับคนเป็แม่เ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้หลี่เจิ้งก็หน้าแดง เขากังวลมากไปจริงๆ รีบพยักหน้าหงึกหงัก “ฟู่อินพูดถูก ข้าเกรงแต่แม่โง่งมของนางจะทำร้ายเด็กคนนั้นไปทั้งชีวิต อืม… ฟู่อินพานางไปด้วยได้ แค่มีข้าวกินก็ดีแล้ว ข้าไม่กล้าขออะไรมากมาย”
‘ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ข้าไม่ได้สนิทกับคนพวกนั้นด้วยซ้ำ ดูแลหมู่บ้านก็เื่หนึ่ง แต่หาเหาใส่หัวก็อีกเื่’ หลินฟู่อินแอบคิด
จากนั้นพวกนางก็ตกลงกันว่าจะให้คนที่ได้งานไปรออยู่ที่ต้นไม้ใหญ่หน้าหมู่บ้านในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า โดยมีคุณชายใหญ่หลิวส่งเกวียนเทียมลามารับ
อันที่จริงเป็หลินฟู่อินที่จ่ายเงินจ้างเกวียนเทียมลามารับคนจากหมู่บ้านเอง
คุยธุระลงตัวแล้ว หลินฟู่อินกับหลี่เจิ้งจึงแยกย้ายกัน
พอกลับถึงบ้านกินข้าวแล้วนั่งพักสักหน่อย อุ้มเสี่ยวเป่าเสี่ยวเป้ยอยู่ครู่หนึ่ง หลินฟู่อินก็กล่าวแนะนำย่าหลี่กับแม่นมฉินหลายประโยค ก่อนจะนำเกวียนเทียมลาเข้าเมืองอีกครั้ง
นางลงจากเกวียนเทียมลาแล้วก็เดินไปยังบ้านของตัวเอง ระหว่างทางผ่านร้านของแม่นางฉินที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านด้วยท่าทีสิ้นหวัง ในมือถือตลับชาดเปิดเอาไว้ พูดอะไรบางอย่างอยู่
หลินฟู่อินประหลาดใจ ครึ่งเดือนก่อนกิจการค้าขายของแม่นางฉินก็ยังเป็ไปได้ด้วยดี ใบหน้าแดงปลั่ง แต่เหตุใดตอนนี้ถึงได้ต้องออกมาเรียกลูกค้าเสียได้?
ด้วยความสงสัย นางจึงได้เดินไปร้องถาม “แม่นางฉิน ทำอะไรอยู่หรือเ้าคะ?”
พอแม่นางฉินเห็นนางก็ยิ้มขม ยกตลับชาดขึ้นมาตรงหน้า “แม่นางหลิน ข้ากำลังเรียกลูกค้าน่ะ แต่ทำมาทั้งวันยังได้ลูกค้าไม่ถึงห้าคน เกรงว่าอีกไม่นานร้านข้าคงต้องปิดตัวแล้ว”
หลินฟู่อินตกตะลึง รีบถามทันที “เหตุใดจึงเป็ถึงขั้นนี้ไปได้? มิใช่ของในร้านท่านล้วนมาจากไฉ่จือไจหรอกหรือเ้าคะ?”
แม่นางฉินยิ้มขมขื่น หยุดเรียกลูกค้าแล้วพาหลินฟู่อินเข้าไปข้างใน “แม่นางหลิน ตอนนี้ข้ากำลังหนักใจจริงๆ ท่านมาที่นี่ก็ดีแล้ว ช่วยสนทนากับข้าสักหน่อยเถอะนะ”
หลินฟู่อินจะยุ่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะตอนนี้ดูออกเลยว่ากิจการของแม่นางฉินกำลังมีปัญหาใหญ่จริงๆ
หลินฟู่อินรีบเข้าไปด้านในร้านพร้อมกับอีกฝ่าย นางเพิ่งจะทำชาดหิมะหลอมที่ส่งต่อไปให้หวงฝู่จินก็จริง แต่ตั้งใจว่าภายหลังจะทำพวกเวชสำอางจับตลาดคนรวยด้วย เป้าหมายส่วนมากเล็งไปที่กลุ่มคนชั้นสูงของต้าเว่ย ดังนั้นเป็เพื่อนกับแม่นางฉินที่รู้ภายนอกภายในของวงการนี้เอาไว้จะดีกว่า
ยามนี้คนกำลังมีปัญหา หากนางส่งถ่านร้อนให้ในตอนนี้ มิตรภาพต้องลึกซึ้งขึ้นเป็แน่
“ท่านนั่งก่อน” แม่นางฉินพานางไปหลังร้าน จากนั้นสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปดูแล ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีลูกค้าไม่มากอยู่แล้ว นอกจากคนที่มาซื้อที่เขียนคิ้ว ชาดทาปากและแป้งหอมเท่านั้น
หลินฟู่อินนั่งลงตามคำบอก แม่นางฉินยกชามาให้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มบ่น “ที่ข้าขายของไม่ได้ก็ต้องโทษพวกคนเป่ยหรงนั่นแหละ!”
“โทษคนเป่ยหรงหรือ?” หลินฟู่อินพึมพำ ในใจมีความคิดกระแสหนึ่ง คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา แล้วแม่นางฉินก็บ่นต่อ “ไม่ใช่หรือยังไงเล่า! ล้วนต้องโทษคนพวกนั้น! ทุกสิ่งดูประหลาดไปหมด เมื่อก่อนพวกคนเป่ยหรงต้องใช้ชาดนำเข้าจากต้าเว่ยของเราเป็ส่วนใหญ่ ขุนนางเป่ยหรงล้วนแต่ใช้ไฉ่จือไจทั้งสิ้นเพราะไม่อาจทำของที่ดีเท่าของเราได้”
หลินฟู่อินพยักหน้า รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“แต่แล้วพวกเขาก็หายไป เมื่อสามวันก่อนมีชาดทาหน้าแบบใหม่ที่เรียกว่าชาดหิมะหลอมจากเป่ยหรงเข้ามาในชิงหยาง แต่ราคาถูกยิ่งนัก! เพียงตลับละสิบแปดอีแปะเท่านั้น! ชาดที่ถูกที่สุดของไฉ่จือไจมีราคาถึงตลับละสามสิบอีแปะ จะเทียบกันได้เช่นไร?”
เป็ชาดหิมะหลอมที่นางทำจริงๆ แล้วก็เป็ฝีมือของหวงฝู่จินจริงๆ ด้วย!
ดวงตาของหลินฟู่อินทอวาบ ผู้ชายคนนั้นลงมือรวดเร็วยิ่งนัก ไม่ถึงครึ่งเดือนก็ขายสินค้าจนกลายเป็สินค้ากระแสหลักมาถึงต้าเว่ย เบียดชาดของร้านไฉ่จือไจได้
แม่นางฉินที่บ่นจนพอใจก็หยุดพักยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“แม่นางฉินอย่ากังวลไปเลยเ้าค่ะ ท่านเพียงเสียยอดขายชาดทาหน้าอย่างเดียวไม่ใช่หรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินถาม ลดสายตามองแม่นางฉิน
หญิงสาวถอนหายใจ คิดว่าขนาดนางที่อยู่ในวงการนี้ยังมองไม่เห็นทางออกเลย
จากนั้นจึงได้อธิบาย “แม่นางหลินไม่เข้าใจ ที่จริงชาดที่ขายดีที่สุดคือชาดทาหน้า หากมีแม่นางหรือฮูหยินท่านใด้าให้ผิวขาวผุดผ่องก็ต้องใช้ชาดทาหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ จำนวนก็ต้องมาก โดยทั่วไปแล้วชาดหนึ่งตลับอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน คนที่ใช้เยอะมากจริงๆ อาจอยู่ได้เพียงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ”
กล่าวจบ แม่นางฉินก็ทอดถอนใจอีกครั้ง “ดังนั้นลูกค้าของข้าส่วนมากจึงมักมาซื้อชาดหน้าทากัน จากนั้นเวลาซื้อชาดทาหน้า ข้าก็จะขายของอย่างอื่นไปด้วย ตอนนี้ต่อให้ลูกค้ามาซื้อของอย่างอื่นก็มีเพียงชาดทาปากเล็กๆ น้อยๆ หรือที่เขียนคิ้วเท่านั้นเอง ขอเพียงไม่ได้ออกไปสังสรรค์ร่วมงานเลี้ยงบ่อยครั้งหรือใบหน้าไม่ได้แย่เกินไปนัก ของเหล่านี้ก็แทบจะไม่จำเป็เลยด้วยซ้ำ ของเหล่านี้ใช้อย่างน้อยเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น”
ฟังคำอธิบายของนางจบ หลินฟู่อินก็พยักหน้า เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงนางจะพอเข้าใจแนวทางแต่ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการธุรกิจพวกนี้โดยตรงก็ยากจะจินตนาการ ตอนนี้ถึงได้รู้แล้วว่าเหตุใดแม่นางฉินถึงได้ถอนหายใจดูเศร้าๆ
“เช่นนั้นท่านสามารถนำชาดอันนั้นของเป่ยหรงมาขายได้หรือไม่เ้าคะ? แค่นำชาดของเป่ยหรงมาแทนที่เท่านั้นเอง ที่เหลือยังคงขายไฉ่จือไจเช่นเดิม” หลินฟู่อินเสนอความเห็น แต่นางรู้ว่าทางไฉ่จือไจน่าจะไม่มีทางตกลง นางยังจำได้ว่าแม่นางฉินบอกเื่สัญญากับไฉ่จือไจคือต้องขายเฉพาะสินค้าของไฉ่จือไจเท่านั้น
แม่นางฉินยิ้มเหนื่อยล้าแล้วส่ายหน้า “หากเื่นี้เป็ไปได้ข้าคงไม่ต้องมานั่งกังวลแล้ว” นางชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม “ร้านที่ผูกสัญญากับไฉ่จือไจมีอยู่มากมาย ร้านเราโชคร้ายที่สุดที่ตั้งอยู่ในชิงเหลียน เพราะชาดหิมะหลอมนั้นเริ่มมีการใช้ในเมืองนี้เป็แห่งแรกๆ เ้าของเองก็ไม่เลือกผู้ขาย ไม่ว่าจะร้านเล็กร้านใหญ่ ขอเพียงสั่งและมีเงินจ่ายก็จะส่งของให้ หากท่านลองเดินดูในเมืองตอนนี้ จะไปร้านไหนๆ ทั้งข้างถนนหรือที่มีหน้าร้านก็หาซื้อได้ทั้งนั้น!”
หลินฟู่อินคิดว่านี่เป็เพราะหวงฝู่จินเชื่อคำนาง ผลจึงทำให้ชาดหิมะหลอมเป็ที่นิยมในเมืองชิงเหลียนของต้าเว่ยอย่างรวดเร็ว
เื่ดีก็ดี อย่างไรนางก็เป็เ้าของด้วย กำไรครึ่งหนึ่งนางย่อมได้รับ!
ในตอนที่นางบอกว่าชาดหิมะหลอมนี้ให้มีราคาครึ่งหนึ่งของชาดทาหน้าที่ราคาถูกที่สุดของไฉ่จือไจ เื่นี้คิดว่าหวงฝู่จินเองก็ทำตาม ทั้งยังมีคำแนะนำจากแม่นางเยว่ จึงอนุญาตให้พวกพ่อค้าคนกลางขายได้ในราคาสิบแปดอีแปะ เนื่องจากชายหนุ่มกำหนดให้ได้กำไรเพียงตลับละสามอีแปะเท่านั้น
ข้อได้เปรียบของการทำเช่นนี้คือราคาที่ตายตัว หลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา ทั้งยังเป็การปกป้องพ่อค้ารายย่อยอีกด้วย ดูเหมือนหวงฝู่จินจะเป็พ่อค้าที่มีจริยธรรมทีเดียว!
ไม่สิ ดูจากนิสัยเอาแต่ใจเช่นนั้นไม่น่าจะใช่พ่อค้าแน่ๆ
เท่าที่ฟังจากแม่นางฉิน ดูเหมือนชาดหิมะหลอมเพิ่งจะเข้ามาในชิงเหลียน่นี้เอง หากแพร่กระจายออกไปในต้าเว่ยได้มากกว่านี้ก็คงจะยาก หรืออาจจะไม่เป็ที่นิยมมากนัก
เพราะถึงอย่างไรในต้าเว่ยนอกจากไฉ่จือไจก็ยังมีชาดยี่ห้ออื่นอยู่อีกมาก
การแข่งขันของตลาดขายชาดในต้าเว่ยรุนแรงกว่าทางเป่ยหรงที่เน้นการนำเข้า
ดังนั้นชาดหิมะหลอมที่เน้นจับตลาดลูกค้าชั้นล่าง เป้าหมายหลักเป็ชาวเป่ยหรง ส่วนลูกค้าชั้นสูงยังมีสินค้าหรูหรากว่ารออยู่
ครั้งนี้พอชาดหิมะหลอมเข้าสู่ตลาดชิงเหลียนแล้ว หลินฟู่อินก็ยิ่งมั่นใจในการจับตลาดลูกค้าชั้นสูงมากขึ้น
แต่เห็นแม่นางฉินเคร่งเครียด หลินฟู่อินจึงได้คิดหาวิธีช่วยเหลือ
พอคิดดูแล้ว แม่นางฉินก็กล่าวเสียงเบา “เพราะครึ่งเดือนมานี้ข้าทำยอดขายได้ไม่ดี ทางไฉ่จือไจจึงได้ส่งคนส่งสารมาบอกยกเลิกสัญญา ทำให้อีกหน่อยก็ไม่อาจขายสินค้าของไฉ่จือไจได้แล้ว และหากอีกหนึ่งเดือนยังขายสินค้าออกไปได้ไม่หมด ทางไฉ่จือไจจะส่งคนมาเอาสินค้าในคลังไปแล้วจ่ายเงินชดเชยค่าสินค้าที่เหลือ”
หลินฟู่อินนิ่งอึ้ง มิน่าแม่นางฉินถึงได้กลัวจะต้องปิดร้าน ที่แท้ทางไฉ่จือไจเห็นน่านน้ำแถบนี้ไม่ดีแล้วก็รีบลงมือทันที
เรียกว่าเป็การถ่ายสินค้าแล้วฆ่าลาทีเดียว หลินฟู่อินหรี่ตา พอเห็นว่ากระแสสินค้าแถบนี้เริ่มย่ำแย่ก็ฉีกสัญญา ให้เวลาขายสินค้าที่เหลือเพียงเดือนเดียว หากขายไม่หมดก็ขอซื้อคืน
“ไฉ่จือไจใจร้ายเกินไปแล้ว” หากเป็นางคงไม่ใช้วิธีการโง่ๆ เช่นนี้แน่ นางมองแม่นางฉินด้วยสายตาสงสาร หากคนๆ นี้ต้องเลิกขายไฉ่จือไจไปขายอย่างอื่น นางจะขายอะไรกันนะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้