หลงเหยียนยืนอยู่บนเวทีข้างสนามฝึกยุทธ์ กวาดตามองทุกคนพลางพูดขึ้น “คนตระกูลเซียวอยากจัดการตระกูลหลงของข้า และข้าก็เกิดเป็คนตระกูลหลง มีหรือที่จะเลือกจากไปในเวลาสำคัญเช่นนี้ คาดว่าทุกคนคงเดาได้แล้ว ตอนนี้คนตระกูลเซียววางแผนกำจัดตระกูลหลง ทำให้ข้าไปอย่างวางใจไม่ได้”
คนในตระกูลหลงอู่รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เข้าใจความหมายของหลงเหยียน เวลานี้ ตระกูลหลงกำลังเสี่ยงอันตราย หลงเหยียนจึงเลือกอยู่ต่อ ไม่เสียดายเลยที่เขาเกิดมามีพร์ เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูด ทุกคนเป็ต้องนับถือหลงเหยียน ตระกูลหลงโชคดีจริงๆ ที่มีเขา
เว่ยเวยพยักหน้าให้หลงเหยียนด้วยความพอใจ “ย่อมได้ ในเมื่อเ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่บังคับเ้า ทว่าอีกไม่นานตระกูลอู่ตี้จะเริ่มการทดสอบคนที่ถูกคัดเลือกในครั้งนี้แล้วนะ”
“ทุกคนต่างก็เป็เด็กอัจฉริยะจากเมืองต่างๆ ที่ผ่านการคัดเลือกเช่นเ้า เพื่อเข้าตระกูลอู่ตี้ ข้าหวังว่าภายในครึ่งเดือนนี้เ้าจะสะสางเื่ในตระกูลเรียบร้อยและเดินทางไปยังตระกูลอู่ตี้ หากเป็เช่นนั้น ข้ายังพอช่วยรายงานชื่อเ้าได้ หากพลาดการทดสอบในครั้งนี้ ข้าคงช่วยไม่ได้”
เว่ยเวยพูดจบ นางก็ลากหลงเหยียนไปข้างๆ แล้วพูดเสียงเบา “นี่เป็ทางที่เ้า้าเลือกจริงหรือ เ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าจะได้ชื่อนี้มามันยากเพียงใด? หากพลาดไป มันเป็ถึงทั้งชีวิตของเ้าเชียวนะ”
หลงเหยียนพยักหน้า “ท่านแม่ มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ท่านวางใจเถอะ ข้าต้องรีบเดินทางไปให้ถึงภายในครึ่งเดือน สำหรับข้าแล้ว การเข้าตระกูลอู่ตี้ในครั้งนี้สำคัญมากจริงๆ”
การเข้าไปเป็หนึ่งในสมาชิกตระกูลอู่ตี้ ไม่เพียงแค่จะได้รับการหล่อเลี้ยงที่ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือสามารถตามหาหลงหลิงได้ และแน่นอนว่ายังมีเื่ของมารดาเขาที่ต้องสืบให้กระจ่างด้วย
ทุกครั้งที่นึกถึงสตรีที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ใจหลงเหยียนก็อ่อนระทวย เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงเป็เช่นนี้ เป็เพราะนางเคยช่วยชีวิตเขา หรือว่า… นางงดงามมากเกินไป…
หลงเหยียนเป็คนพูดตรงไปตรงมา เขาเรียกนางว่าท่านแม่ ทำให้เว่ยเวยใจกระตุกวูบ ถึงกระนั้น นางก็แสดงได้ดียิงนัก
ความสนิทสนมของพวกเขาสองคนทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ประหลาดใจ หลงเหยียนเป็ความภาคภูมิใจของตระกูลหลง ทว่าหากไม่มีทรัพยากรที่ดีกว่า เขาก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่เมืองัไปชั่วชีวิต
และหากไปเมืองหยุนจงโดยไม่มีเื้ัคงต้องถูกสังหารตายในไม่ช้าแน่ ยิ่งเป็สถานที่กว้างใหญ่ การเข่นฆ่าก็มากยิ่งขึ้น
เซียวหยุนเหว่ยเข้าใกล้เซียวเหลิงเอ้า พี่รองของเขาสภาพแย่มาก หน้าปูดบวม เซียวหยุนเหว่ยเห็นแล้วก็โมโห
“เ้ามาทำไม หรือกลัวเรายังขายหน้าไม่พอ?”
“น้องสาม ครั้งนี้ตระกูลเซียวของเราจะพ่ายแพ้จริงๆ หรือ? แม้แต่ตัวแทนจากตระกูลอู่ตี้ยังช่วยเ้าเด็กนั่นเพียงนี้”
เซียวหยุนเหว่ยกระตุกยิ้มที่มุมปาก “เ้าจะไปรู้อะไร ความสัมพันธ์ระหว่างนี้แม้แต่ข้ายังดูออกเลย เ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เขารอดพ้นสิบห้าวันนี้หรือ? ชีวิตต่อจากนี้ พวกเราตระกูลเซียวจะตามล่าเ้าเด็กนั่น จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขา ต่อให้เขารอดพ้นสิบห้าวันนี้ไปได้ ก้าวสู่เมืองหยุนจง เขาก็หนีความตายไม่พ้นหรอก”
“เมืองหยุนจงมียอดฝีมือมากมาย อย่าว่าแต่ยอดฝีมือระดับชีพัขั้นที่เก้าเลย แม้แต่ชีพเทพก็ยังมีนับไม่ถ้วน ด้วยนิสัยของเ้าเด็กนั่น เ้าคิดว่าเขาจะปลอดภัยหรือ? ในสายตาของคนพวกนั้นเขามันก็แค่คนไม่เอาไหน เป็เหมือนมดตัวเล็กๆ โดนฆ่าตายได้ทุกเมื่อ”
“เ้านึกว่าการเอาตัวรอดในโลกที่โหดร้ายนั่นมันง่ายนักหรือ?” เมื่อพูดจบ เซียวหยุนเหว่ยแทบะโออกมา ไม่อยากคิดเลยว่าในใจเขาร้อนรุ่มเพียงใด
ในเมืองหยุนจงมีผู้มากความสามารถเต็มไปหมด หากใครไม่มีเื้ั ไม่มีพละกำลังมากพอ คงมิอาจออกไปบุกเบิกอะไรได้ ต่อให้เื้ัมีตระกูลใหญ่หนุน ทว่าเ้าตัวก็ต้องมีพร์ที่ทำให้ตระกูลยอมรับด้วย ไม่เช่นนั้น มีหรือที่พวกเขาจะเสียทรัพยากรและเสียแรงไปปกป้องคนไร้ประโยชน์
เว่ยเวยยิ้มอย่างสบายใจ ถึงแม้อายุจะอยู่ใน่วัยกลางคนแล้ว ทว่าด้วยสัดส่วนร่างกาย การแต่งตัวและบุคลิกทำให้นางดูน่าดึงดูดมาก จึงมีผู้ฝึกยุทธ์บางคนคิดว่านางชื่นชอบหลงเหยียนหน้าอ่อนนั่นเสียอีก
ตอนนี้เซียวเหลิงเอ้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เขาหันไปพยักหน้ากับเซียวหยุนเหว่ย คล้ายเข้าใจแล้ว
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้…”
เซียวหยุนเหว่ยพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “หมูชนต้นไม้ ส่วนเ้าก็วิ่งชนหมูอีกทีใช่หรือไม่ ยังมีคนโง่กว่าเ้าอีกไหม!” เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่สนใจเซียวเหลิงเอ้าอีก
จากนั้นเว่ยเวยก็จับแขนหลงเหยียน ขณะที่มองก็พูดด้วยความเป็ห่วง “เหยียนเอ๋อ จงจำไว้ เ้ามีเวลาเพียงสิบห้าวันเท่านั้น ภายในระยะเวลาสิบห้าวันหากเ้ายังไม่ปรากฏตัว ข้าก็คงช่วยเ้าไม่ได้ หากเ้าอยากรู้เื่ของแม่เ้า จำไว้ว่าต้องมาให้ทัน”
เว่ยเวยหยิบป้ายประจำตัวออกมาจากเอวแล้ววางไว้ที่มือหลงเหยียน “เ้าเก็บแผ่นป้ายนี้ไว้ เมื่อไปถึงตระกูลอู่ตี้ สามารถใช้มันมาหาข้าได้ เมื่อมีมันอยู่ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าหลังจากมาถึงเมืองหยุนจงแล้วเ้าจะปลอดภัยขึ้นบ้าง มหาอำนาจเล็กๆ ในเมืองไม่กล้าหาเื่เ้าง่ายๆ”
หลงเหยียนพยักหน้า มองลวดลายบนแผ่นป้ายในมือ ลวดลายของัและหงส์ก่อตัวกันเป็คำว่าอู่ คาดว่านั่นคงเป็ตัวแทนอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล หลงเหยียนเก็บมันไว้แล้วมองนางด้วยความตื้นตัน
ถึงกระนั้น ขณะที่นางวางแผ่นป้ายลงในมือหลงเหยียน เว่ยเวยกระตุกวูบในใจ พลังจิตของพลังิญญา นางััได้ถึงิญญาัที่แข็งแกร่งของหลงเหยียนทำให้นางสะดุ้งเด้งตัวออก
ผู้แข็งแกร่งระดับชีพเทพไม่อาจััิญญายุทธ์ของหลงเหยียน นี่คือสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจนัก ทว่านางกลับแสดงสีหน้านิ่งทำให้หลงเหยียนไม่รู้ตัว
เสียงคำรามที่มาจากพลังภายในของเขาคล้ายกำลังพิโรธอย่างไรอย่างนั้น หลงเหยียนยิ้มให้นาง รู้สึกตื้นตันใจอย่างถึงที่สุด
เว่ยเว่ยเพียงแค่สงสัยว่าภายในตัวหลงเหยียนมีิญญาสัตว์อสูรตัวไหนกันแน่ เหตุใดทุกครั้งที่ใช้กายธาตุพลัง บ้างก็กลายร่างเป็นกสายฟ้า บ้างก็กลายร่างเป็หมาป่าสมุทร และครั้งนี้เขาก็แปลงกายเป็กิ้งก่า
เพราะหลงเหยียนมีิญญาัที่แข็งแกร่ง เขาสามารถดูดธาตุพลังจากปีศาจอสูรทุกชนิดบนโลกได้ ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนผู้หลอมกายอสูรที่นางเคยเจอสามารถดูดธาตุพลังจากสัตว์ชนิดเดียวกันเท่านั้น
นี่คือความแตกต่างครั้งใหญ่! อีกทั้งยังเป็ความลับของหลงเหยียน ต่อให้เว่ยเวยเป็มารดาของเขา หากหลงเหยียนไม่บอกด้วยตัวเอง นางก็ไม่อยากถามเหมือนกัน
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจมากที่สุดนั้นคือการที่หลงเหยียนสามารถเปลี่ยนจากผู้ไร้ิญญายุทธ์เข้าสู่ชีพัขั้นที่หนึ่ง ทั้งยังเลื่อนระดับพลังมาถึงขั้นที่เจ็ดภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยความเร็วของการหลอมกายเช่นนี้ เกรงว่าในเมืองัหรือเมืองขนาดเล็กอื่นๆ คงไม่มีใครเหมือน
หากเป็ในเมืองใหญ่อย่างเมืองหยุนจง เว่ยเวยรู้ว่ายังมีคนที่มีพร์ที่ดียิ่งกว่าหลงเหยียน ทั้งยังมีจำนวนยังไม่น้อย ในฐานะมารดา นางคิดหาวิธีมากมายในการปกป้องหลงเหยียน
หากนางรู้ว่าิญญายุทธ์ที่อยู่ในร่างหลงเหยียนคือิญญาั แล้วยังเป็เพียงเสี้ยวิญญาเพียงสามส่วนเท่านั้น นางต้องตกตะลึงมากแน่
ครั้งแรกเขาได้เสี้ยวหนึ่งของิญญาัมาจากใต้เหวหยุนอู่ ครั้งที่สองเขาพบระหว่างถูกปีศาจอสูรตามล่าในเทือกเขาหยุนหลัว ส่วนครั้งที่สามก็คือตอนที่เขาได้พบกับราชสีห์หิรัณย์
--------------------