ค่ำคืนนี้ช่างพิเศษนัก
ลู่เต้าเห็นผู้คนมากมายมุงดูอะไรบางอย่างที่ปลายถนนมาแต่ไกล เขาเบียดเสียดฝูงชนอยู่นานกว่าจะผ่านเข้าไปได้
ไม่ว่าหญิงชาย เด็กหรือผู้เฒ่า บนใบหน้าของชาวบ้านที่เขาเห็นล้วนเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ปรบมือโห่ร้องให้กับคนสองคนที่เดินอยู่บนถนนใหญ่
ผู้แข็งแกร่งมักเป็ที่จับตามองไม่ว่าจะไปที่ใด
เมื่อไป๋เสียเห็นบุคคลที่เดินนำหน้าก็ร้องในใจ “ท่านอาจารย์โจว!”
“เมืองัทมิฬอย่างนั้นหรือ ไม่ได้มานานทีเดียว” โจวเทียนหยวน ผู้มีผมหงอกขาวโพลน ตรงขมับแต้มสีดอกเลา ท่าทางองอาจดุจเซียน มองดูผู้คนสองข้างทางที่มามุงดูด้วยรอยยิ้ม “คนที่นี่ก็ยังคงกระตือรือร้นเหมือนเคย ไม่ต่างจากครั้งก่อนเลย”
แม้จะอายุล่วงเลยวัยชราภาพแล้ว แต่ด้วยพลังยุทธ์อันล้ำลึกบวกกับการบำรุงด้วยโอสถิญญา ทำให้โจวเทียนหยวนยังคงรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ หากคนภายนอกที่ไม่รู้เื่รู้ราวมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก อาจคิดว่าโจวเทียนหยวนเป็เพียงชายวัยกลางคนอายุสี่สิบปีเท่านั้น
ส่วนบุรุษที่อยู่เื้ัโจวเทียนหยวนผู้สวมชุดคลุมลายเมฆาสีขาวฟ้าคราม เป็หนุ่มรูปงามอายุไม่เกินสามสิบปี ผิวขาวผ่อง รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ลำคอพาดขนจิ้งจอกขาว ซึ่งไม่เข้ากับอากาศอบอ้าวในยามฤดูร้อนนี้แม้แต่น้อย ตรงเอวมีกระบี่ิญญาผลุบๆ โผล่ๆ สีเงินวาววับ
ผู้คนต่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงสวมผ้าพันคอขนจิ้งจอกขาวในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ จึงพากันซุบซิบเซ็งแซ่
“ในที่สุดข้าก็ได้พบเ้าอีกครั้ง…” เมื่อไป๋เสียที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นก็กัดฟันแน่น “เฉายวนิ!”
“เอ๊ะ? ท่านรู้จักคนพวกนี้หรือ” ลู่เต้าเอ่ยถาม
ไป๋เสียเคืองแค้นเสียจนเผลอปล่อยคลื่นพลังิญญาออกมา เฉายวนิที่เดินตามหลังโจวเทียนหยวนอยู่ก็ััได้ถึงบางอย่าง พลันหยุดฝีเท้ากวาดตามองฝูงชนด้วยสายตาเ็า
“แย่แล้ว” ไป๋เสียรีบปกปิดกลิ่นอายของตนเองทันที กันไม่ให้ถูกเจอตัวเข้า
โจวเทียนหยวนที่เดินนำหน้าเห็นศิษย์ของตนหยุดเดินก็หันกลับมาถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เฉายวนิเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงกวาดตามองต่อไป สายตาของเขากลับหยุดลงที่ลู่เต้าอย่างไม่คาดคิด ทั้งสองสบตากัน ราวกับว่าสายตาเย็นะเืของเฉายวนิจะมองทะลุร่างของลู่เต้าได้อย่างไรอย่างนั้น ความเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“บัดซบ! ข้าซ่อนกลิ่นอายต่ำขนาดนี้ เขายังััได้อีกหรือ” ไป๋เสียคาดไม่ถึง
“หนีดีหรือไม่” ลู่เต้าเอ่ยถาม
เมื่อถูกเฉายวนิจ้องมอง ลู่เต้าก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ ถอยหลังหลบออกจากฝูงชน
เฉายวนิเองก็เดินตามออกมาจากถนนใหญ่ มุ่งงหน้าผ่านเหล่าฝูงชน เหล่าแม่นางที่เห็นเฉายวนิผู้มีรูปโฉมหล่อเหลากำลังเดินตรงเข้ามาหา ต่างส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นเต้น
ในขณะที่เฉายวนิกำลังจะผลักคนออกไปเพื่อลากตัวลู่เต้าออกมา ทันใดนั้นโจวเทียนหยวนที่อยู่ข้างกายเฉายวนิก็คว้ามือของเขาไว้ก่อนจะเอ่ยถาม “เป็อะไรไปหรือ”
ลู่เต้าฉวยโอกาสในตอนที่เฉายวนิกำลังเสียสมาธิ รีบวิ่งหนีหายเข้าไปในฝูงชนทันที
เมื่อเฉายวนิหันกลับมา ลู่เต้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว จึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเทียนหยวนมองเฉายวนิ จากนั้นก็หันไปมองสตรีที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นตรงหน้า ก็เข้าใจขึ้นมาทันที “วัยหนุ่มเืร้อน ข้าเข้าใจดี”
พูดจบก็ชูนิ้วโป้งให้ ทว่าเฉายวนิไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจโจวเทียนหยวน
โจวเทียนหยวนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ถอนหายใจอย่างจนใจ “ช่างเถอะ แค่หยอกเล่นนิดหน่อยก็ไม่ได้”
เขายกมือป้องปากะโไล่หลังเฉายวนิ “เ้าเด็กนี่! ข้าเป็อาจารย์เ้านะ!”
เฉายวนิยิ่งเดินห่างออกไปกว่าเดิม ทำเหมือนไม่ได้รู้จักกับเขา
ทุกครั้งที่พบเจอสถานการณ์เช่นนี้ โจวเทียนหยวนมักจะนึกถึงศิษย์อีกคนหนึ่งของตน
ศิษย์ที่มีพร์แต่ไม่เคยเชื่อฟัง
ในสายตาของโจวเทียนหยวน ร่างเฉายวนิที่เดินอยู่เบื้องหน้าพลันเล็กลง และมีอีกสองร่างปรากฏขึ้นเคียงข้าง
“ถ้าเ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ดีสิ อู๋ฉาง...” โจวเทียนหยวนถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินตามเฉายวนิไปท่ามกลางเสียงต้อนรับของฝูงชน
ภายในตรอกเล็กๆ อันมืดมิดและหนาวเย็นห่างไกลจากฝูงชน ลู่เต้าทิ้งตัวพิงกำแพง เหงื่อเย็นไหลซึม ความรู้สึกกดดันเมื่อถูกเฉายวนิจ้องมองนั้นรุนแรงเกินไป แม้จะผ่านมานานแล้ว เขาก็ยังตื่นตระหนกไม่หาย
“พวกเขาเป็ใครกันแน่” ลู่เต้าถามอย่างร้อนรน “เหตุใดถึงได้แผ่รังสีกดดันน่ากลัวเช่นนั้น”
“ผมสั้นสีดอกเลา ใบหน้าดุดัน นามว่าโจวเทียนหยวน ปรมาจารย์อสนีหกดารา ได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน สมญานามราชันย์อสุนีบาต” จู่ๆ ไป๋เสียก็โผล่มาอยู่ข้างๆ ทำเอาลู่เต้าสะดุ้งโหยง ไป๋เสียกอดอกพลางกล่าวต่อ “เขาเป็อาจารย์ของข้า”
“ส่วนเ้าหน้าขาวที่จ้องเ้าเมื่อครู่…” ไป๋เสียทำหน้าถมึงทึง กัดฟันกรอด “มันเป็คนผนึกสหายรักของข้า ปรมาจารย์สายน้ำแข็งหกดารา เ้าเฉาใบ้ เฉายวนิ!”
“เอ๋? เขาเองหรือ เ้าเมืองแดนน้ำแข็ง เฉายวนิ” ลู่เต้าร้องออกมาอย่างตกตะลึง
“เหอะ...ดูเหมือนว่าหลังจากผนึกข้าแล้ว มันก็ได้ฉายาใหม่มาด้วย” ไป๋เสียเอ่ยด้วยใบหน้าขยะแขยง “เ้าเฉาใบ้!”
ความเกลียดชังรุนแรงของไป๋เสียส่งมาถึงลู่เต้า จนขมับเขาปวดตุบๆ หูอื้ออึง ภาพบางอย่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว
บรรพตเมฆดำทะมึน อสนีฟาดผ่าครามครัน
สายฟ้าผ่าสว่างวาบ เผยให้เห็นบุคคลทั้งสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากัน
ร่างกายไป๋เสียเต็มไปด้วยาแ เืย้อมอาบร่าง พิงหลังกับหน้าผา บนใบหน้ามีรอยยิ้มแปลกประหลาด เบื้องหน้าเขาคือเฉายวนิที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร มือถือกระบี่ิญญา “หยาดน้ำฟ้าเหมันต์” ดวงตาเปล่งประกายสีแดงก่ำชวนขนลุก
ลมวายุพัดกระหน่ำ สายพิรุณสาดซัดไป๋เสียอย่างไร้ความปรานี เืไหลทะลักออกมาจากรอยกระบี่เฉือน ปะปนไปกับสายฝนจนพื้นเบื้องล่างกลายเป็สีแดงฉาน
หลังจากต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ของวิเศษของไป๋เสียก็ถูกใช้จนหมดสิ้น เขาก้มลงมองพื้นก็พบว่าเืของตัวเองไหลนองจนกลายเป็แอ่ง ในใจพลันหม่นหมอง
เสียเืมากขนาดนี้… คงไม่รอดแล้ว
“อึก…เฉาใบ้…” ไป๋เสียเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ทำไม…ทำไม…”
เฉายวนิยืนนิ่งงันท่ามกลางหยาดฝน ชุดคลุมขนสัตว์ของเขาหาได้เปียกปอนแม้แต่น้อย เพราะมีพลังิญญาปกป้อง
ไป๋เสียหัวเราะเยาะ “หึ ลืมไปได้อย่างไรว่าเ้าเป็ใบ้…ถามไปก็เท่านั้น”
เฉายวนิที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนมานาน พลันขยับตัวยกกระบี่หยาดน้ำฟ้าเหมันต์ขึ้นมา กระบี่สาดประกายเงินวาววับ สายพิรุณที่ตกกระหน่ำพลันหยุดชะงัก ก่อนจะกลายเป็เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาแทน
เพียงพริบตา ทุกสิ่งก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง
แอ่งเืใต้เท้าแข็งตัวจนกลายเป็น้ำแข็ง เท้าทั้งสองข้างของเขาถูกแช่แข็งจนขยับไม่ได้ ในตอนนี้เขาอ่อนแอเกินกว่าจะดิ้นรน ทำได้เพียงมองเฉายวนิฟาดฟันกระบี่เข้ามา
บัดซบ...อุตส่าห์หาตำแหน่งหอคัมภีร์ต้องห้ามจากบันทึกโบราณได้แล้ว อีกนิดเดียวก็จะรู้วิธีหยุดยั้งการจุติของเทพาแล้วแท้ๆ
ทำไมต้องขัดขวางข้า…
ทำไม…
ทำไมต้องเป็เ้า!
ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องในอดีต นึกขึ้นตอนนี้กลับรู้สึกรังเกียจ
“น่าขยะแขยง!” ไป๋เสียกัดฟัน รวบรวมพลังิญญาที่เหลือน้อยนิด ชักขลุ่ยสะกดมารออกจากอกเสื้อ เปลี่ยนเป็ไม้สะกดมารสีดำเข้าปะทะกับกระบี่ิญญาของเฉายวนิ
“เคร้ง!” การโจมตีที่ควรจะเป็อันตรายถึงชีวิตถูกไป๋เสียต้านทานไว้ได้อย่างหวุดหวิด กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายกำลังร้องเตือนและตึงเครียดจนถึงขีดสุด
เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อใดพลังิญญาหมดลง นั่นหมายถึงความตาย
เฉายวนิััได้ว่าแรงที่ต้านทานกระบี่เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ จึงชักดาบกลับมา และดึงไม้สะกดมารไปจากมือไป๋เสีย ลูบไล้ไม้สะกดมารเบาๆ อักขระสีทองก็เปล่งประกายระยิบระยับ
ดวงตาเฉายวนิพลันเป็ประกายสีแดงก่ำ ก่อนจะเอาไม้สะกดมารแทงร่างไป๋เสียอย่างแรง
ภาพในหัวหายวับ
แต่ลู่เต้ารู้ดีว่าการโจมตีครั้งนั้นของเฉายวนิไม่เพียงแต่ผนึกไป๋เสียไว้เท่านั้น แต่ยังทำให้สภาพอากาศในบริเวณนั้นแปรปรวน ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี ต่อมากลายเป็เขตต้องห้ามที่ชาวบ้านในหมู่บ้านเมฆาขาวไม่กล้าเฉียดใกล้
เขตต้องห้ามที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ
ถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าครามอันเงียบสงัด
ไม้สะกดมารถูกฝังลึกเข้าไปในกำแพงน้ำแข็ง ผนึกิญญาของจอมมารเอาไว้…
