หลายวันมานี้เฟิงซื่อมาคุยกับจ้าวซื่อทุกวัน ในคำพูดแฝงไปด้วยความหมายว่า อยากให้บ้านหลี่ขายเต้าหู้ให้ตระกูลหวัง
ก่อนหน้านี้จ้าวซื่อไม่มีการตอบสนองใดๆ ในที่สุดคราวนี้ก็ผ่อนคลายลง ปล่อยให้เฟิงซื่อพูดเพื่อตระกูลหวัง “ตระกูลหวังของพวกเ้ามีทั้งหมดยี่สิบสามสิบครอบครัว หากให้พวกเราคิดว่าจะขายให้ผู้ใดหรือไม่ขายให้ผู้ใดคงเป็เื่ยุ่งยาก เช่นนั้นพวกเราจะขายให้ตระกูลพวกเ้า ส่วนตระกูลพวกเ้าจะให้ผู้ใดไปขายเต้าหู้ หรือไม่ให้ผู้ใดไปขายพวกเราจะไม่ยุ่ง”
เฟิงซื่อรีบตอบรับทันที
“พวกเราขายให้บ้านสวี่ชั่งละสามทองแดงครึ่ง วันละสองร้อยถึงสามร้อยชั่ง พวกเราจะขายให้ตระกูลพวกเ้าสามทองแดงครึ่งเช่นกัน ตอนเริ่มต้นขายได้มากที่สุดวันละพันชั่ง ในอนาคตต้องดูตามสถานการณ์ว่า จะเพิ่มหรือลดลงเท่าใด พวกข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียวก็คือ ตระกูลหวังของพวกเ้าห้ามไปขายเต้าหู้ที่อำเภอซั่ง ส่วนที่อื่นจะไปขายที่ใดล้วนได้ทั้งสิ้น”
เฟิงซื่อพยักหน้ากล่าวขอบคุณเป็การใหญ่ คุยจบก็รีบกลับไปบอกให้คนในตระกูลไปตามหวังไห่กลับมา
หวังไห่ได้รับข่าวดีแล้วก็รีบกลับมาพร้อมใบหน้าที่เปล่งประกายราวกับแสงแดดยามฤดูใบไม้ผลิ นี่ต้องขอบคุณเฟิงซื่อที่ยอมออกแรงเพื่อตระกูล เขาจึงถือโอกาสตอนที่ยังไม่มีคนอื่นอยู่บ้านหอมแก้มภรรยาไปหนึ่งครั้ง ทำให้เฟิงซื่อเขินอายจนยิ้มออกมาเต็มหน้า
หวังไห่นำสุราดีไหหนึ่งและเนื้อหมูสิบชั่งเดินนำเฟิงซื่อและหวังเยี่ยนไปที่บ้านหลี่ หลี่ซานอยู่บ้านพอดี จึงบอกให้หลี่สือจัดเตรียมอาหารกลางวันเพิ่ม จากนั้นสองครอบครัวก็นั่งกินข้าวร่วมกัน
หลังจากครอบครัวของหวังไห่กลับไปแล้ว หลี่ซานก็ถามหลี่หรูอี้ว่า “ลูกสาวข้า ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปพวกเราต้องขายเต้าหู้ให้ตระกูลหวังหนึ่งพันชั่ง จำนวนนี้มากไปหรือไม่” เพราะหลี่ซานไปขายเต้าหู้ที่อำเภอฉางผิงและตำบลจินจีทุกวัน รวมแล้วขายได้จำนวนห้าร้อยชั่ง หลี่ซานกลัวว่าหากตระกูลหวังขายเต้าหู้ไม่หมดจะทำให้หวังไห่รู้สึกกดดัน
หลี่หรูอี้อธิบาย “หากมีท่านเพียงคนเดียวก็ไปขายได้เพียงสองแห่ง แต่ตระกูลหวังมียี่สิบกว่าครอบครัว ทั้งในอำเภอและที่ตำบลในระยะร้อยลี้รอบๆ นี้ พวกเขาล้วนไปได้ทุกเมือง กระทั่งเมืองเยี่ยนก็ยังไปได้ ข้าจะบอกอะไรท่านให้ ท่านวางใจได้ เต้าหู้พันชั่งไม่มากเลยเ้าค่ะ ไม่พอขายแน่นอน ผ่านไปอีกไม่กี่วันลุงหวังจะต้องมาขอให้พวกเราเพิ่มจำนวนแน่”
เมื่อครู่จ้าวซื่อได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากสองสามีภรรยาหวังไห่จึงอารมณ์ดียิ่งนัก นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ซาน ท่านไปขายเต้าหู้ที่อำเภอฉางผิงและตำบลจินจีทุกวันยังขายได้วันละหลายร้อยชั่ง แต่ตระกูลหวังไปขายทุกที่นะเ้าคะ”
เมื่อหลี่ซานคิดได้ว่า เต้าฮวยร้อยกว่าชั่งทำเงินได้สองร้อยทองแดงก็รีบกล่าวถามขึ้นว่า “ลูกสาวข้า เ้าว่าพรุ่งนี้ข้าต้องไปขายเต้าฮวยที่อำเภอฉางผิงและตำบลจินจีอีกหรือไม่”
“พวกเราต้องทำเต้าหู้หนึ่งพันสามร้อยชั่ง มากกว่าเมื่อก่อนถึงห้าร้อยชั่ง ข้ากับท่านอารองยุ่งจนทนไม่ไหวแล้วเ้าค่ะ นอกจากนี้เต้าฮวยก็ต้องกินตอนร้อน เมื่ออากาศเย็นผู้ใดจะมากินเต้าฮวยเย็นๆ กันเ้าคะ?”
หลี่หรูอี้รู้ดีว่าหลี่ซานไม่อยากทิ้งกิจการขายเต้าฮวย แต่กลับไม่ยอมคิดเลยว่าบ้านเราจะขายเต้าหู้ได้เพิ่มอีกตั้งห้าร้อยชั่ง ทั้งยังไม่ต้องออกไปเหนื่อยอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือ หากเขาอยู่บ้านย่อมไม่มีอันตรายและสามารถปกป้องครอบครัวได้
จ้าวซื่อใกล้จะคลอดแล้ว เด็กชายทั้งสี่ของบ้านก็ไปเรียนที่สำนักศึกษากันหมด ส่วนหลี่สือก็มีงานให้ทำมากมาย หลี่หรูอี้จึงต้องแนะนำว่าหลี่ซานควรทำอะไรบ้าง
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นว่า “สมองของหรูอี้ใช้การได้ดีที่สุดแล้ว ท่านก็ฟังนางเถิด นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
หลี่สือที่ล้างถ้วยและตะเกียบเสร็จแล้ว ก็เดินออกจากห้องครัวมายังห้องโถง พูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ถ้าไม่มีหรูอี้ท่านก็ไม่ได้ที่ดินสี่หมู่”
หลี่หรูอี้คิดจะขายเต้าหู้ให้ตระกูลหวังมานานแล้ว แต่การเสนอขายด้วยตนเองกับการที่คนตระกูลหวังมาขอร้องให้บ้านหลี่ขายให้ย่อมไม่เหมือนกัน ระยะนี้เกิดเื่วิธีการก่อเตียงเตาหลุดลอดออกไปพอดี หลี่หรูอี้จึงใช้เื่นี้มากดดัน รอให้ตระกูลหวังมาขอร้องถึงบ้าน ทั้งยังไดู้เาและที่ดินเป็ของชดเชยอีกด้วย สุดท้ายจึงให้จ้าวซื่อตอบรับเฟิงซื่อไป
ตอนนี้เื่การค้าขายบ้านหลี่เป็ผู้ตัดสินใจ แม้ตระกูลหวังจะซื้อเป็จำนวนมาก แต่ราคาส่งก็ยังเท่ากับที่ขายให้บ้านสวี่ ทั้งยังต้องเว้นอำเภอซั่งไว้ให้บ้านสวี่ด้วย
หลี่ซานได้ที่ดินสี่หมู่มาแล้ว พอนึกถึงเื่นี้ก็พานให้อารมณ์ดี ถึงกับยิ้มและบอกว่า “ยังเป็หรูอี้ที่ใจเย็น”
เมื่อสองสามีหวังไห่กลับถึงบ้าน ก็หารือกันว่าจะจัดการเต้าหู้พันชั่งนี้ให้ผู้ใดหรือไม่ให้ผู้ใดบ้าง
หวังไห่คิดว่าจะให้ครอบครัวตนนำไปขายสองร้อยชั่ง นอกจากนี้ยังต้องคิดอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เขาอยากให้บุตรชายคนโตและบุตรชายคนที่สองนำเต้าหู้ไปขายหาเงินด้วย โดยจะให้ขายคนละร้อยชั่ง ที่เหลืออีกหกร้อยชั่งก็ให้แบ่งไปครอบครัวละหลายสิบชั่ง
เฟิงซื่อได้ยินว่า อีกฝ่ายจะให้ลูกเลี้ยงไปขายสองร้อยชั่งก็กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ยังคิดให้พวกเขาสองคนขายเต้าหู้อีกหรือ ท่านไม่คิดบ้างว่า พวกเขาเกียจคร้านเพียงใด กระทั่งน้ำหกก็ยังไม่ยอมเช็ด นั่นเป็สภาพของคนที่จะทำการค้าหรือ”
หวังไห่รีบอธิบาย “มิใช่ว่ายังมีซื่อนิว ต้าหู่ เอ้อร์หู่อยู่หรือ ซื่อโก่วจื่อกับอู่โก่วจื่อยังขายเต้าหู้ได้ พวกซื่อนิวก็ต้องขายได้”
าแของหวังลี่ตงยังไม่หายดี ที่บ้านก็มีหวังซื่อนิวคอยทำความสะอาด หวังซื่อนิวนับเป็คนขยันขันแข็งคนหนึ่ง
หวังชุนเฟิงมีบุตรชายสี่คน คนโตคือ หวังต้านิว อายุสิบเอ็ดปี คนรองคือ หวังเอ้อร์นิว อายุแปดปี
เฟิงซื่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เยี่ยนเอ๋อร์ของข้าใกล้จะออกเรือนแล้ว จื้อเกาก็ต้องเข้าสอบและแต่งภรรยา มีแต่เื่ต้องใช้เงิน ท่านจะให้เต้าหู้กับหวังลี่ตงและหวังชุนเฟิงถึงสองร้อยชั่งไม่ได้ พวกเราแยกบ้านกันแล้ว ต้องให้เต้าหู้พวกเขาเท่ากับคนอื่น นอกจากนี้หวังลี่ตงและหวังชุนเฟิงก็เป็พวกขี้ขลาดตาขาว ที่ผ่านมาเคยแสดงความกตัญญูต่อท่านบ้างหรือไม่ หวังลี่ตงก็สร้างเื่ให้ท่านมากมาย ทำให้บ้านหลี่โกรธจนเกือบตัดขาดกับตระกูลหวังของพวกเราแล้ว”
ผู้ใดใช้ให้หวังลี่ตงและหวังชุนเฟิงไม่เอาไหนเกินไปเล่า หวังไห่ถูกคำพูดแฝงความนัยของเฟิงซื่อทำเอาไม่มีหน้าตอบโต้ ทำได้เพียงเชื่อฟังคำพูดของนาง
สองสามีภรรยาตัดสินใจว่า หลังจากนี้จะเรียกคนในตระกูลและผู้าุโของตระกูลมา ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ครอบครัวหวังไห่จะไปซื้อเต้าหู้มาจากบ้านหลี่แล้วนำมาขายให้กับคนในตระกูล
เต้าหู้พันชั่ง หวังไห่เก็บไว้ให้ครอบครัวของตนสามร้อยชั่ง ที่เหลืออีกเจ็ดร้อยชั่งขายให้คนในตระกูลราคาเดิม
ทำเช่นนี้เมื่อคำนวณดูแล้วทุกครอบครัวในตระกูลหวังจะได้เต้าหู้สามสิบกว่าชั่ง หนึ่งชั่งได้กำไรหนึ่งทองแดงครึ่ง ขายวันละสามสิบกว่าชั่งจะได้กำไรเกือบห้าสิบทองแดง หนึ่งเดือนจะมีเงินหนึ่งตำลึงห้าเฉียน หนึ่งปีก็ได้เกือบยี่สิบตำลึง สำหรับคนตระกูลหวังที่ยากจนแล้วนับเป็เงินก้อนใหญ่ทีเดียว
เื่การซื้อเต้าหู้ หวังไห่เป็คนไปเจรจากับบ้านหลี่ หากไม่มีครอบครัวของหวังไห่บ้านหลี่จะขายให้ตระกูลหวังอีกหรือ การที่ครอบครัวหวังไห่เก็บเต้าหู้เอาไว้เองเป็จำนวนหนึ่ง ก็เป็เื่ที่อยู่ในความคาดหมายของคนในตระกูล จึงไม่มีใครกล่าวอะไร
หวังไห่กล่าวกับคนในตระกูลว่า “ครอบครัวหลี่มีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลเรา ต่อไปใครกล้ารังแกครอบครัวหลี่จะนับเป็ศัตรูกับตระกูลเรา”
“ใช่แล้ว รังแกครอบครัวหลี่ก็เท่ากับรังแกตระกูลหวังของพวกเรา” ทุกคนกล่าวตามเป็เสียงเดียวกัน
รุ่งสาง ‘ห้องบด’ ที่ใช้สำหรับวางเครื่องโม่หินมีกลิ่นคาวของถั่วเหลืองโชยออกมา ลาสามตัวถูกสวมผ้าปิดตาเดินวนรอบเครื่องโม่หิน เดินไปรอบแล้วรอบเล่า บดถั่วเหลืองในเครื่องโม่ไปทีละน้อย ถั่วเหลืองที่ถูกบดก็มีน้ำสีขาวไหลออกมา
หลี่ซานและหลี่สือมองดูเครื่องโม่ทั้งสามเครื่อง นำน้ำที่ได้จากการโม่ถั่วเหลืองออกมาใส่ลงไปในถังไม้ขนาดใหญ่แล้ววางไว้ที่ด้านข้าง
เมื่อหลี่หรูอี้ตื่นก็เดินตรงมายังห้องบด หน้าที่ของนางคือ นำดีเกลือไปทำเต้าหู้
ในห้องบดมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่ง หม้อนี้ต้มน้ำได้สองร้อยสิบชั่ง นางให้หลี่สือนำน้ำจากถั่วเหลืองมาเทใส่ในหม้อแล้วเริ่มต้ม จากนั้นก็เติมน้ำเย็นลงไป ใช้ดีเกลือประมาณหนึ่งช้อนใหญ่เติมลงไปหลายครั้งแล้วคนจนเริ่มตกตะกอนเป็ดอกเต้าหู้ จากนั้นจึงให้หลี่สือเทลงในแม่พิมพ์ รอจนกระทั่งแข็งเป็ก้อนค่อยแกะออกมา เช่นนี้จึงนับว่าสำเร็จเสร็จสิ้น
เต้าหู้ที่เพิ่งออกจากแม่พิมพ์มีสีขาวนวลและยังอุ่นอยู่ นี่คือเต้าหู้แบบทางเหนือ ค่อนข้างคงตัวไม่เละง่าย ไม่ว่าจะนำไปต้ม ผัด ตุ๋น ทอด หรือทำน้ำแกงก็ได้ทั้งสิ้น
หลี่หรูอี้กำชับกับหลี่ซานว่า “ท่านพ่อ ชั่งให้ซื่อโก่วจื่อกับอู่โก่วจื่อก่อน สามร้อยชั่งนะเ้าคะ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้