“อ๊าก!'
“ฆ่ามันๆ!”
“มันวิ่งไปทางนั้น เร็วเข้า รีบหยุดมันเดี๋ยวนี้!”
“อ๊าก…!”
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากนอกค่ายกลใหญ่
ผู้คนราวสองหมื่นคนต่างชูมือชูไม้ โห่ร้องด้วยความสะใจ สำหรับพวกเขาแล้ว ในตอนนี้ กู่ไห่ก็ไม่ต่างอะไรกับวีรบุรุษผู้แข็งแกร่ง เสียงกู่ร้องอย่างยินดีที่ดังขึ้นนั้น เป็ดั่งแรงใจที่พวกเขาส่งไปให้ชายหนุ่ม
เหล่าผู้ฝึกตนเมื่อเห็นเช่นนั้น ต่างก็พากันสูดลมหายใจ ด้วยความหวั่นเกรง
“เมื่อครึ่งปีก่อน กู่ไห่เพิ่งจะเลื่อนระดับพลังถึงขั้นก่อ์มิใช่หรือ?”
“เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นในหุบเขานั่น ข้านับได้สองพันเสียงแล้ว นี่กู่ไห่สังหารพวกมันเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ?”
“แต่อสูรกลุ่มนั้นแข็งแกร่งกว่ากู่ไห่ถึงห้าเท่านะ!”
“เขาแค่คนเดียวเนี่ยนะ?”
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยอง ที่ดังขึ้นภายในค่ายกล เหล่าผู้ฝึกตนต่างก็สามารถจินตนาการได้ ถึงความโหดร้ายของการต่อสู้ในครั้งนี้
แต่พวกเขากลับไม่อาจนึกภาพออก ว่ากู่ไห่ที่มีเพียงตัวคนเดียว จะทำเช่นนี้ได้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าเขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้
ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงร้องที่เคยดังขึ้นภายในค่ายกลผลึกเกราะทอง พลันสงบลง
บนเนินเขาเล็กๆ กู่ไห่ในตอนนี้มีสภาพที่ไม่น่าดูเท่าใดนัก เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น เผยให้เห็นาแลึกหลายแห่ง ผมที่เคยมัดรวบกลับแผ่สยาย รอบตัวปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันสีดำ จากกระบี่เจวี๋ยเซิงที่อยู่ในมือ ใบหน้าเปรอะเปื้อนนั้นดุร้ายนัก อีกทั้งใต้ฝ่าเท้าในตอนนี้ ยังเต็มไปด้วยกองกระดูก ซึ่งกระจัดกระจายเต็มพื้นที่
บนกองกระดูกเ่าั้ ชายหนุ่มเพียงกวาดตามองไปทั่วบริเวณ ด้วยสายตาเย็นะเื
รอบๆ เนินเขา ยังคงมีกลุ่มคนครึ่งอสูร ที่พยายามล้อมสังหารกู่ไห่ แต่ก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ความโเี้ของอีกฝ่ายที่ปรากฏแก่สายตา ทำให้ในใจของพวกเขามีแต่ความหวาดกลัว
ความมุ่งมั่นที่เคยมีก่อนหน้านี้ แทบหายไปหมดสิ้น เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะใช้วิธีใด พวกเขาก็ไม่อาจล้มชายหนุ่มผู้นี้ลงได้
กองกำลังกว่าครึ่ง... กู่ไห่สามารถสังหารพวกเขาไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว
เมื่อมองดูโครงกระดูกขาวที่กองพะเนินอยู่ทั่วสารทิศ ความอุกอาจที่เคยมีพลันเหือดหาย ความกล้าหาญและความหวัง ที่เคยคิดว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
“มันฆ่าไม่ตาย ทำอย่างไรมันก็ไม่ตาย?”
“พลังของมันไม่มีวันหมดสิ้น อีกทั้งกระบี่นั่นก็ร้ายกาจมาก”
“ทำอย่างไรต่อไปดี?... พวกเราจะตายกันหมดแล้ว”
เหล่าคนครึ่งอสูรต่างมองกู่ไห่ด้วยความพรั่นพรึง
ขวัญกำลังใจนั้น ถือว่าเป็สิ่งสำคัญมาก หากขวัญกำลังใจดี ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในทางกลับกันเมื่อหมดกำลังใจ ก็ไร้ที่พึ่งพา กองทัพย่อมอ่อนแอ และพ่ายศึกในที่สุด
ที่ผ่านมา ชายหนุ่มได้ก้าวข้าม่เวลาที่ยากลำบากที่สุดไปแล้ว
การต่อสู้ที่ยากที่สุด เขาได้ผ่านมันมาหมดแล้ว จากนี้ไปก็เป็เพียงการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้ปลูกเอาไว้เท่านั้น
“วิ่งเร็ว... ช่วยด้วย!”
ตูม!
ครึ่งอสูรกว่าสองพันตนต่างวิ่งกระเจิดกระเจิง หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีใครอยากที่จะต่อสู้กับกู่ไห่แล้ว เพราะไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง
จากที่เคยทะนงตน บัดนี้กลับครั่นคร้ามต่อความตาย ไม่มีใครกล้าที่เสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้ เพราะรู้ว่าด้วยความสามารถของตนนั้น ไม่อาจทำอะไรคนผู้นี้ได้แน่ พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู่ไห่เสียด้วยซ้ำ
“คิดจะหนีหรือ? เ้าพวกอสูร!” ชายหนุ่มถลึงตาใส่ ก่อนพุ่งร่างเข้าหากลุ่มคนที่กำลังหลบหนี ด้วยสีหน้าดุร้าย
“อ๊าก!”
“อย่าฆ่าข้า… อ๊าก!”
“ช่วยด้วย... อ๊าก!”
“อย่าตามข้า อย่าไล่ตามข้า… อ๊าก!”
คนกว่าสองพันคนพยายามหลบหนีไปให้ไกล ด้วยความหวาดหวั่น
นี่ใช่การตามล่ากู่ไห่ที่ไหน? เป็อีกฝ่ายไล่ล่าพวกตนต่างหาก!
ฉึกๆๆๆ!
ชายหนุ่มไล่ตามเหล่าครึ่งอสูรตรงหน้า พร้อมฟาดฟันกระบี่เจวี๋ยเซิงเข้าใส่ร่างเหล่าผู้หลบหนีอย่างต่อเนื่อง ราวกับเกี่ยวข้าวสาลี ทำให้ทั้งบริเวณมีกองกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนอสูรที่ถูกสังหาร
โครงกระดูกมากมายปรากฏแก่สายตาของคนครึ่งอสูร ที่พยายามจะหลบหนีจากคมกระบี่ของกู่ไห่ ความอำมหิตของชายหนุ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ จนศิษย์ครึ่งอสูรที่เหลือตื่นตระหนก และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขา
ตอนนี้ พวกเขาทำได้แค่หนี... หนีไปให้ไกล!
“ทางออกถูกปิด?”
ไม่!... มันจะปิดได้อย่างไร?
“เร็วเข้า... ไปอีกทาง!”
“แย่แล้ว! กู่ไห่กำลังจะมาที่นี่... ไม่! มันมาแล้ว... อ๊าก!”
เพราะทางออกถูกปิดกั้นโดยกู่ไห่ ทำให้ผู้ฝึกตนครึ่งอสูรต่างไร้ซึ่งหนทางหลบหนี และถูกสังหารไปทีละคนๆ บ้างก็พยายามจะหนีไปอีกทาง
ขณะนี้ ชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้าย เอาแต่เดินวนไปรอบๆ ค่ายกล เพื่อไล่สังหารผู้ฝึกตนครึ่งอสูรที่เหลืออยู่ของสำนักซ่งเจี่ย
“หมดหวังแล้ว รีบถอนค่ายกลออก... เร็วเข้า! ค่ายกลนี่ถอนอย่างไร?”
“ค่ายกลใหญ่ มีเพียงหัวหน้าสำนักเท่านั้น ที่สามารถถอนมันได้ พวกเราไม่อาจทำได้”
“ทำให้แตก... ลองทลายมันดู!”
ตูมๆ!
กลุ่มคนครึ่งอสูรทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันทำลายค่ายกลผลึกเกราะทองด้วยความร้อนรน แต่ก็ไร้ผล พวกเขาในที่นี้ ไม่มีใครสามารถทำลายค่ายกลได้เลย
ค่ายกลผลึกเกราะทองนี้ คือความภาคภูมิใจของสำนักซ่งเจี่ย ในอดีต หากเทียบกับห้าสำนักใหญ่บนเกาะจิ๋วหวู่ ค่ายกลผลึกเกราะทองนี้ถือได้ว่าเป็ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุด
มาวันนี้ ค่ายกลที่พวกเขาภาคภูมิใจนี้ กำลังจะกลายเป็หลุมฝังศพของทุกคน หากมันยังไม่มีท่าทีว่าจะพังทลายเช่นนี้
เมื่อไม่อาจหลบหนี ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องถูกอีกฝ่ายสังหาร
ฆ่าๆๆๆ!
ตอนนี้ กู่ไห่เหมือนไร้สติไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรสังหาร
ศิษย์ครึ่งอสูรมากมายถูกกู่ไห่ไล่ล่า
แต่ชายหนุ่มกลับไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ทว่า กองกระดูกสีขาวกับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าสยดสยอง
ครึ่งอสูรกว่าสองพันตน เพียงครึ่งชั่วยาม ก็เหลือไม่ถึงหนึ่งพัน
และดูท่าว่าจะลดลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
“ไม่!... อย่าฆ่าข้า ทำอย่างไรดี?”
“ท่านหัวหน้าสำนัก… ช่วยด้วย!”
“ผู้าุโ ช่วยข้าด้วย!”
กลุ่มมนุษย์ครึ่งอสูรต่างหวาดผวาจนก้าวขาไม่ออก
นี่พวกเขาได้แต่ต้องทำใจ และปล่อยให้อีกฝ่ายสังหารตนอย่างนั้นหรือ?
"ไม่!... พวกเรามาร่วมมือกันต่อสู้กับกู่ไห่เถอะ... อ๊าก!"
บางคนเริ่มร่ำไห้ด้วยความพรั่นพรึง บ้างก็พยายามข่มความกลัว เพื่อเผชิญหน้ากับกู่ไห่อีกครั้ง
คนที่เหลืออยู่ ด้วยความเกรงกลัวจึงได้มารวมตัวกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะรวมตัวกันเป็กลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่อาจทำให้ชายหนุ่มหวั่นไหวได้เลย... เขาต้องกังวลกับเหล่าครึ่งอสูรที่ขลาดเขลาเช่นนี้ด้วยหรือ?
“รวมกันเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องคอยวิ่งไล่ตามให้เหนื่อย.. ฮึ่ม!” กู่ไห่พ่นลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังกลุ่มคนตรงหน้า
ตูม!
เพียงพริบตา ชายหนุ่มก็พุ่งตัวเข้าใส่เหล่าคนครึ่งอสูรทันที
เขาวาดกระบี่ในมือ ก่อนกลุ่มควันสีดำจะค่อยๆ แผ่กระจายไปกลางเวหา หัวกะโหลกขนาดเล็กที่แฝงอยู่ในไอสีดำ เคลื่อนเข้าปกคลุมบรรดาคนครึ่งอสูรที่รวมตัวกันอยู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ตูมๆ!
เสียงร้องโหยหวน ประสานกับเสียงโครงกระดูกที่ร่วงหล่นกระทบพื้น ราวกับเสียงระฆังมรณะ ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำพาความสิ้นหวังมาสู่คนครึ่งอสูรเหล่านี้
“อย่าฆ่าข้า ข้าจะไม่กินคน... ข้าไม่กินคนอีกแล้ว!”
“ข้าไม่กินคนแล้ว... จะไม่กินคนอีกแล้ว!”
“ข้าไม่กินเนืุ้์แล้ว ปล่อยข้าเถอะ... ข้าไม่กินแล้ว!”
บัดนี้ เหล่าผู้ฝึกตนครึ่งอสูรพากันวิงวอนร้องขอความเมตตา เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา ยังคงดังออกมาให้ได้ยิน จนทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านนอก ต่างสับสนกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ชาวบ้านเกือบสองหมื่นคนนั้น ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของกู่ไห่ แต่พวกเขากลับรู้ดี
เดิมที กลุ่มอสูรต่าง้าไล่ล่าชายหนุ่ม แต่ตอนนี้กลับต้องร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่าย ให้ไว้ชีวิตตนเอง
เกิดอะไรขึ้นในนั้นกันแน่? กู่ไห่ทำได้อย่างไร?
ไม่มีใครสนใจต่อการต่อสู้ของไต้ซือหลิวเหนียน และอสูรทะเล ฟู่เสวี่ย อีกต่อไป แม้ว่าการต่อสู้ของพวกเขาจะทวีความรุนแรงขึ้น และพื้นที่รอบข้างจะพังทลายลงไปมากเพียงใด
ตอนนี้ ทุกคนต่างสนใจแต่การต่อสู้ของกู่ไห่ ที่เกิดขึ้นภายในค่ายกลใหญ่นั่นเท่านั้น
เสียงร้องน่าเวทนายังคงดังขึ้นตลอดเวลา
ก่อนที่จะค่อยๆ แ่ลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งท้ายที่สุด ภายในค่ายกลใหญ่ตรงหน้าก็เงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงร้องใดๆ ขึ้นมาอีก...
... ปราศจากสรรพเสียงทั้งปวง
เมื่อเป็เช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่รออยู่ด้านนอก จึงพยายามแนบหูกับกำแพงค่ายกล เพื่อฟังเสียงของสถานการณ์ด้านใน แต่มันกลับวังเวงจนน่าหวาดหวั่น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ข้างในเป็ยังไงบ้าง?”
ชาวบ้านเกือบสองหมื่นคน และผู้ฝึกตนหลายร้อยคน ต่างเกิดอาการร้อนรน
ภายในค่ายกล กระบี่เจวี๋ยเซิงถูกค้ำอยู่กับพื้น เพื่อประคองร่างของกู่ไห่ อกแกร่งขยับขึ้นลงอย่างแรง จากการหอบหายใจอันหนักหน่วง เป็เช่นนั้นอยู่นาน ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อยๆ กวาดตามองไปทั่วทุกตารางนิ้วของสำนักซ่งเจี่ย ที่ในยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับเมืองแห่งภูตผี เพราะรอบด้าน เต็มไปด้วยโครงกระดูกที่กองพะเนิน
ใต้ร่างของกู่ไห่นั้น คือูเาแห่งกองกระดูก
“เหอะ! สำนักซ่งเจี่ย?” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้า
ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งตนจะต้องมากวาดล้างสำนักซ่งเจี่ยเช่นนี้
แต่ก่อนเขาเคยเป็เพียงผู้น้อย ที่ต้องคอยร้องขอความช่วยเหลือจากสำนักยุทธ์ทุกแห่ง
ทว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของสำนักซ่งเจี่ย ซึ่งแข็งแกร่งจนเขาไม่อาจคิดฝันว่าจะสามารถต่อกรได้นั้น... เวลานี้ ขุนเขาใหญ่แห่งนี้ กลับพังทลายลงแล้วอย่างนั้นหรือ?
ศิษย์ทุกคนถูกสังหารสิ้น?
าแหลายร้อยแห่งถูกทิ้งไว้บนร่างของเขา และหนึ่งในนั้น ก็สร้างความเ็ปให้ไม่น้อย โชคดีที่มีกระบี่เจวี๋ยเซิง ที่คอยส่งพลังให้อย่างต่อเนื่อง จนอาการาเ็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากที่กลืนกินครึ่งอสูรไปมากมายขนาดนี้ ระดับพลังของเขากลับไม่เลื่อนขั้น? ใช่ว่าพลังไม่เพียงพอ มันมากจนแทบล้นทะลัก
เวลานี้ พลังมารวมตัวอยู่ในร่างแล้ว แต่เขากลับไม่อาจเลื่อนระดับพลังได้อีกอย่างนั้นหรือ?
กู่ไห่ขมวดคิ้วแน่น ก่อนเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ ตรงไปยังหุบเขาที่กลุ่มคนครึ่งอสูรจากมา
เหนือหุบเขา ลูกแก้วสีดำยังคงลอยอยู่กลางเวหา และกำลังดูดซับกลุ่มควันสีดำ ที่แผ่กระจายมาจากซากศพของชาวบ้าน ที่นอนแน่นิ่งอยู่ด้านล่าง
“ช่างเป็พลังที่โหดร้ายจริงๆ!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แล้วฟันกระบี่ไปยังลูกแก้วสีดำตรงหน้าทันที
ตึง!
กุ่ยเป่าสั่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เกิดรอยร้าวรอบตัวลูกแก้ว
ฟู่ๆๆๆ!
ทันใดนั้น ควันสีดำของกระบี่เจวี๋ยเซิงก็เคลื่อนเข้าห่อหุ้มลูกแก้วตรงหน้าเอาไว้ กะโหลกขนาดเล็กจำนวนหลายร้อยล้านหัว พุ่งไปกัดกินลูกแก้วอย่างรวดเร็ว
พั่บๆๆๆ!
กุ่ยเป่าเริ่มขยับ ราวกับจะต่อต้านการโจมตีของกระบี่เจวี๋ยเซิง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ถูกกลุ่มควันสีดำเข้าห่อหุ้ม และกลืนกินต่อไปเรื่อยๆ
ตูมๆ!
พลังของกุ่ยเป่าไหลทะลักเข้าสู่ร่างกู่ไห่
มีพลังอยู่ในร่างมากมาย แต่ไม่อาจเลื่อนระดับพลังได้ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวเท่าใดนัก
แครก!
พลังแห่งความเศร้าโศกและเกลียดชังของกุ่ยเป่า ได้ถูกกระบี่เจวี๋ยเซิงดูดกลืนไปจนหมด เมื่อหมดพลัง กุ่ยเป่าจึงค่อยๆ แตกสลายกลายเป็ผุยผง
...
นอกค่ายกลใหญ่
ท่าทีของเจียวหลงเปลี่ยนไปในทันที
“เกิดอะไรขึ้นกับกุ่ยเป่า?”
“โฮก!”
เจียวหลงคำรามลั่น มวลน้ำกลายเป็คลื่นั์ โหมกระหน่ำใส่ไต้ซือหลิวเหนียน
...
ภายในค่ายกลผลึกเกราะทอง
บัดนี้ กู่ไห่รู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับพลังที่เพิ่มขึ้นในร่าง ใบหน้าแดงก่ำ าแที่ตกสะเก็ดบางแห่ง เหมือนจะฉีกขาดอีกครั้ง โลหิตสีแดงสดไหลริน
“กระบี่เจวี๋ยเซิงยังฟื้นฟูสภาพไม่เต็มที่ จึงดูดซับพลังได้ไม่สมบูรณ์ เลยเกิดผลเสียต่อร่างกายของข้าเช่นนี้” ชายหนุ่มกล่าวเสียงสั่น
จบคำ กู่ไห่จึงมองไปยังร่างไร้ิญญา ที่นอนกระจัดกระจายอยู่เต็มหุบเขา
ชายหนุ่มพลิกมือขึ้น นำดินปืนออกมาจากช่องว่างมิติของตน และฝังมันไว้บนเนินเขา ก่อนทำการจุดชนวน
ตูม!
ูเาสองลูกที่ถูกฝังดินปืน ถล่มลงมากลบร่างของผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดในหุบเขา
ที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อฝังศพของทุกคนนั่นเอง
“เฮ้อ! พวกเ้าที่เคราะห์ร้าย ถูกอสูรกลืนกินเืเนื้อไป ด้วยกระบี่นี้ ข้าได้ช่วยสังหารพวกอสูรทั้งหมดแทนพวกเ้า ทั้งยังสร้างสุสานให้แล้ว จงพักผ่อนอย่างสงบเถอะ” กู่ไห่พูด พลางถอนหายใจเล็กน้อย
เอ่ยจบ ชายหนุ่มจึงหมุนตัว หมายจะเดินจากไป
ทันใดนั้น สายลมเย็นก็พัดผ่านร่างของกู่ไห่
ฟิ้วๆๆ!
ความรู้สึกดีจนยากอธิบาย ได้กลับคืนมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหลุมฝังศพขนาดใหญ่ ที่อยู่เื้ัตน
ทว่าไม่อาจมองเห็น ว่าตอนนี้ บนพื้นที่สุสานขนาดใหญ่ตรงหน้า มีิญญาหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยดวงยืนอยู่ พวกเขาต่างคุกเข่าลง และมองกู่ไห่ด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณอย่างหาที่สุดมิได้
“ขอบพระคุณท่านผู้มีพระคุณๆ!”
แม้ชายหนุ่มจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ ว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งเข้าสู่ร่างตน
หนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยบารมี หรือก็คือหนึ่งกัป หรือหนึ่งอุบัติกาล[1]นั่นเอง
พลังกุศลทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็พลังชี่ ไหลเข้าสู่ร่างของกู่ไห่ ก่อนจะไปหลอมรวมกันที่บริเวณจุดตันเถียน
ตูม!
เสียงะเิของพลังชี่ ดังกึกก้องไปทั่วร่าง
“ก่อ์ขั้นที่เก้า? ข้าเลื่อนระดับพลังได้แล้วหรือ?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ความรู้สึกอึดอัดก่อนหน้านี้ หายไปทันที พลังกุศลเ่าั้ ได้กลายมาเป็พลังชี่ และช่วยเลื่อนระดับพลังให้เขา
กู่ไห่ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ดวงตาคมเหลือบมองไปทั่วบริเวณอันว่างเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะไม่เห็น แต่ก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
“พลังกุศล? มันคือพลังกุศลอย่างนั้นหรือ? ข้าช่วยิญญาเหล่านี้ ด้วยการสังหารอสูร และฝังศพพวกเขา จึงได้รับสิ่งตอบแทนจากการสำนึกบุญคุณของผู้ตาย... ความช่วยเหลือเหล่านี้ ล้วนเป็บุญคุณที่ต้องตอบแทน?
สั่งสมผลบุญ? ที่แท้คุณธรรมก็เป็ส่วนหนึ่งของบุญกุศล มิใช่แค่กับคนเป็เท่านั้น ที่ข้าจะได้รับความดีความชอบ แม้แต่กับคนตายก็สามารถรับมันได้เช่นกัน พลังกุศล? มีประโยชน์อย่างนี้เองหรือ?” ชายหนุ่มกล่าว พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
จากนั้น กู่ไห่ก็มองสุสานขนาดใหญ่ตรงหน้า และโค้งคำนับไปยังหลุมศพเ่าั้
-------------------------------------
[1] กัป หรือ อุบัติกาล (元) ในนิยายเื่นี้ หมายถึงจำนวนหนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อย (129,600)
ซึ่งตามความเชื่อของลัทธิอนุตตรธรรม ถือว่าระยะเวลาั้แ่ฟ้าดินก่อกำเนิดสรรพสิ่ง แล้วเสื่อมสลายจนจบสิ้นดินฟ้า เรียกว่า 1 กัป หรือ 1 อุบัติกาล (元 : หยวน) ซึ่งยาวนาน 129,600 ปี
หมายเหตุ: ลัทธิอนุตตรธรรม (一貫道 : อีก้วนเต้า) หรือที่เรียกตนเองว่า วิถีอนุตตรธรรม เป็ลัทธิที่ หวัง เจฺว๋อี ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อปี ค.ศ. 1877
คำสอนของลัทธิ จะเป็การผสานความเชื่อระหว่างลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธแบบจีน ทั้งยังยอมรับความเชื่อที่มาจากต่างประเทศ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามด้วย
ลัทธิอนุตตรธรรมเกิดขึ้นและแพร่หลายที่จีนแผ่นดินใหญ่ ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็ระบอบคอมมิวนิสต์ ลัทธินี้ก็ถูกรัฐบาลกวาดล้างอย่างหนัก จึงย้ายไปเผยแผ่ที่ประเทศไต้หวันั้แ่ปี ค.ศ. 1946
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้