อาหารของงานเลี้ยงอำลามีมากมายหลากหลายและเอร็ดอร่อย ดูออกได้ว่าคนครัวของจวนเจิ้นกั๋วกงทุ่มเทใส่ใจเป็อย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่เจินจูมีเื่ให้ครุ่นคิดอยู่ในใจ จึงไม่มีใจลิ้มรสอาหารอร่อย
เฮ้อ... หลุมพรางนี้ไม่ได้ขุดให้ดี ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
เซียวฉิงส่งองครักษ์ร่วมเดินทางไปด้วย เช่นนั้นตลอดเส้นทางของพวกนาง ต้องสำรวมสักหน่อยแล้ว โดยเฉพาะเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุย จะให้พวกมันโผล่ออกมาเตะตาเกินไปไม่ได้เด็ดขาด
เดิมทีคิดจะเดินทางกลับอย่างสบายๆ เบิกบานใจ กลับถูกตัวนางเองทำพังเสียนี่ ฮือ... อยากจะร้องไห้จริงๆ
เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จอย่างไม่รู้รส พี่น้องสองคนกำลังคิดจะอำลากลับที่พัก
ทว่าเซียวฉิงเรียกผิงอันไว้ ให้เขาเดิมตามออกไปสักรอบ
ผิงอันที่สับสนงงงวย เขาหันมองผู้เป็พี่สาวโดยทันที
เจินจูชะงักไปเล็กน้อยแล้วยิ้มขึ้น ให้เขาตามนายท่านกั๋วกงไป แต่ก่อนจะไปนางได้เอี้ยวตัวเข้าไปหาผิงอัน แกล้งทำเป็ตบฝุ่นที่ไหล่ให้เบาๆ จากนั้นใช้สายตาบอกความนัยให้เขาระมัดระวังสักหน่อย อย่าให้คนเขาเกลี้ยกล่อมจนกล่าวอะไรออกไป
ผิงอันพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง
เมื่อเจินจูกลับมาถึงลานอันหวาก็เริ่มจัดเก็บสัมภาระขึ้น
ตอนเดินทางมา พี่สาวน้องชายพกห่อผ้ามาคนละหนึ่งห่อใหญ่ ส่วนตอนเดินทางกลับ เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้กลับเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าห้าเท่า ขณะที่นางจัดระเบียบของจึงเกิดความกลัดกลุ้มขึ้นเล็กน้อย ยังมีตำรา เครื่องประดับและผืนหนังอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดเอากลับไปไม่ง่ายเลยจริงๆ
เฮ้อ หากมีนางคนเดียวคงจะดียิ่ง จะได้นำข้าวของใส่เข้าในมิติช่องว่างให้หมด ติดอาวุธเบาเข้าสนามรบ [1] จะสะดวกสบายอย่างมาก ตอนนี้คงต้องแบกภาระนี้ไว้แต่โดยดีแล้วกัน
เยว่อิงนำทางเสี่ยวเซียงกับเสี่ยวชิงหามหีบไม้ถักฝีมือประณีตสำหรับใส่ของเดินทางเข้ามา
“แม่นางเ้าคะ ของมีค่าที่จะใส่ในหีบและเสื้อผ้าที่จะใส่ในห่อผ้า ปล่อยให้พวกเสี่ยวเซียงจัดเก็บให้ท่านเถอะเ้าค่ะ ท่านคอยดูพวกนางก็พอ หากมีอะไรไม่เหมาะสมก็ชี้แนะได้เต็มที่เลยเ้าค่ะ”
เจินจูยิ้มและกล่าวขอบคุณ นาง้าคนช่วยเหลืออยู่จริงๆ สัมภาระเยอะเกินไป นางจัดการเองคงต้องเสียเวลาไปไม่น้อยเลย
สาวใช้สองคนการเคลื่อนไหวมือเท้าคล่องแคล่วอย่างมาก หลังจากพับเสื้อผ้ากระโปรงซ้อนกันเป็ระเบียบเรียบร้อยแล้ว ได้นำมาใส่ในห่อของและมัดไว้อย่างเรียบร้อย
ส่วนเจินจูนำสิ่งของกระจุกกระจิกจำนวนหนึ่งเก็บรวบรวมลงในหีบไม้ถัก ส่วนเครื่องประดับที่ซื้อมาวันนี้ก็มีจำนวนมากเกินไป ทั้งเ้าของร้านยังมอบกล่องเครื่องประดับให้มากมายอีก เฮ้อ... เหตุใดตอนซื้อถึงไม่คิดว่าจะสิ้นเปลืองเนื้อที่เพียงนี้กันนะ
เมื่อมีคนช่วยเหลือ ความเร็วในการจัดเก็บของจึงรวดเร็วขึ้นมาก เวลาไม่ถึงสองเค่อ สัมภาระก็จัดเรียงเรียบร้อย
เจินจูยืนมองสิ่งของพวกนี้ มีห่อผ้าใหญ่สิบกว่าห่อ รถม้าหนึ่งเกวียนใส่ไม่หมดอย่างแน่นอน
นางมองสีท้องฟ้า ด้านนอกย้อมเป็สีดำหมดแล้ว อดหงุดหงิดใจเล็กน้อยไม่ได้ คงไม่ทันแล้วที่จะให้หลิวอี้ไปซื้อรถม้ามาเพิ่ม
แต่สิ่งนี้ไม่น่าเป็กังวลอะไร อัดข้าวของเข้าไปก่อน เมื่อผ่านเมืองถัดไปค่อยซื้อเอาก็ได้ อย่างไรเสียเมืองที่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด ห่างไปเป็เวลาแค่หนึ่งชั่วยามเอง
ผิงอันวิ่งพรวดพราดเข้ามาราวกับสายลม บนใบหน้าเบิกบานใจสุดขีด
“ท่านพี่ นายท่านกั๋วกงมอบม้าพันธุ์ดีหนึ่งตัวชื่อว่า ‘เฟยหยุน’ ให้ข้าด้วย มันเป็ม้าฝีเท้าจัดที่เพิ่งโตเป็หนุ่มตัวหนึ่ง วิ่งได้รวดเร็วยิ่งนัก นิ่งยิ่งกว่าม้าพันธุ์ดีตัวนั้นของรองแม่ทัพหลัวอีกด้วย”
ม้าฝีเท้าจัด? เจินจูเลิกคิ้วงามขึ้น เจิ้นกั๋วกงช่างมั่งคั่งและใจกว้างจริงๆ
“ท่านพี่ ตอนขากลับ ข้าไม่นั่งเกวียนเป็เพื่อนท่านแล้วนะ ฮิๆ”
ผิงอันสีหน้าท่าทางเปี่ยมไปด้วยความดีใจเป็อย่างมาก
“เด็กโง่ ขี่ม้าทั้งวันจะสั่นะเืจนเ้าเจ็บก้นไปหมดเลยนะ”
“ไม่เจ็บเสียหน่อย ท่านดูสิ พวกพี่ชายยู่เซิงก็ขี่ม้ากันทั้งวัน พวกเขายังไม่เห็นร้องว่าเจ็บเลย”
“พวกเขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว อายที่จะร้องออกมาเท่านั้นเอง อีกอย่างก้นของพวกเขาก็ถูจนด้านไปหมดแล้วด้วย เพราะอย่างนั้นเลยไม่เจ็บ แต่เ้าไม่เหมือนพวกเขาอย่างไรล่ะ”
“ก้นก็ถูกถูจนด้านได้หรือ? ข้าไม่มีทางร้องเ็ปเหมือนกัน ท่านพี่ ท่านอย่ามาดูถูกข้านะ ฮึ”
“ฮ่าๆ เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ผิงอันเป็ชายชาตรีแล้วนี่เอง”
เจินจูยั่วเย้ากระเซ้าผิงอันอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงให้เขารีบไปเก็บสัมภาระของตัวเองให้เรียบร้อย พอเช้าวันพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางได้เลย
จากนั้นมองไปบริเวณโดยรอบ พบว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยตัวน้อยสองตัว นอนครองพื้นที่อยู่ด้านข้างของเตียงอิฐอันอบอุ่น
นางเดินเข้าไปอุ้มเสี่ยวเฮยขึ้นมา แล้วลูบขนของมันเบาๆ
“เสี่ยวเฮย ตอนพวกเราเข้าเมืองหลวงมา มีกำแพงเมืองที่สูงๆ แห่งนั้น พวกเ้าปีนข้ามไปได้หรือไม่?”
กำแพงเมืองสูงเกินไป นางกลัวว่าพวกมันจะข้ามไปไม่ได้
“เหมียว” นั่นจะสักเท่าไรกันเชียว เทือกเขาที่สูงกว่ากำแพงเมืองก็ข้ามมาได้สบายๆ
“ได้จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดี”
นางวางเสี่ยวเฮยลงด้านข้าง และประคองเสี่ยวฮุยขึ้นมา
“เสี่ยวฮุย กำแพงเมืองแห่งนั้นเ้าปีนข้ามไปได้หรือไม่?”
“จี๊ดๆ” ทำไมต้องปีนขึ้นไปสูงเพียงนั้นด้วย ทะลุทางใต้ดินง่ายกว่ามากนัก ขุดไปเรื่อยๆ ก็ได้แล้ว
“ก็ใช่” หนูที่ไหนจะใช้วิธีปีนกำแพงกัน เอ๊ะ ไม่ถูกสิ “เสี่ยวฮุย หากเ้าขุดพื้นดิน บนตัวเ้าก็สกปรกน่ะสิ เดินไปบนทางที่สะอาดหน่อยได้หรือไม่?”
“จี๊ดๆ” เช่นนั้นปีนข้ามกำแพงไปก็ได้เหมือนกัน กำแพงเมืองไม่ได้ปีนยาก
“อื้ม เ้ากับเสี่ยวเฮยไปด้วยกัน รอตอนเช้ามืดก็ออกเดินทางได้เลย ไปตามทางตอนที่พวกเรามา เข้าใจหรือไม่ ที่นั่นไม่ใช่ว่ามีศาลาอยู่แห่งหนึ่งหรือ พวกเ้าไปรออยู่ป่าไม้ละแวกนั้น พอฟ้าสว่างแล้วพวกข้าจะมุ่งไปที่นั่น”
“เสี่ยวเฮย เ้าต้องรอเสี่ยวฮุยด้วย ห้ามเดินพลัดหลงกัน แล้วก็หากเห็นผู้คนให้หลบไปสักหน่อย ่นี้เมืองหลวงกำลังไล่จับสัตว์ที่น่าสงสัย พวกเ้าห้ามถูกจับไปเด็ดขาดเลยนะ”
“ต้องมีไหวพริบหน่อย หากมีคนจะจับพวกเ้าต้องรีบวิ่งหนีหาที่หลบ พอคนไปแล้วค่อยอ้อมไปให้ไกลหน่อย ไปรอพวกข้าในป่าใกล้กับศาลาตรงนั้น”
เจินจูกำชับข้อควรระวังกับพวกมันไม่หยุดปาก
เมื่อผิงอันเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็วิ่งเข้ามาในห้องเจินจูอีกครั้ง
“ท่านพี่ นี่เป็ของที่พี่ชายเซียวมอบให้ท่าน”
ของที่เซียวจวิ้นมอบให้? เจินจูชะงักพลางมองไปทางกล่องไม้ใบเล็กสีแดงเคลือบเงาประทับลวดลายสีทองในมือเขา
ผิงอันเปิดฝาออก ด้านในเป็เต่าแกะสลักจากหยกดำตัวเล็กหนึ่งชิ้น ทั่วทั้งตัวสีดำมันขลับราวกับมีชีวิต ริ้วรอยบนกระดองเต่าชัดเจนเป็ธรรมชาติ
เจินจูหยิบขึ้นมาอยู่ในมือด้วยความสงสัย ผิวเย็นลื่นและเกลี้ยงเกลา
เป็ผลงานการแกะสลักที่น่ารักมาก แต่…
“ผิงอัน ของล้ำค่าเพียงนี้ เ้ารับมาตามอำเภอใจได้อย่างไร อีกอย่างยังรับของมาแทนข้าด้วย... หืม? เ้าไม่รู้หรือว่าทำแบบนี้ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไร?”
“ข้ารู้สิ แต่พี่ชายเซียวบอกว่า ท่านมอบหมอนหญ้าสงบจิติญญาให้เขา เขารู้สึกเกรงใจมากจริงๆ เต่าหยกดำชิ้นนี้เป็ของเล่นในวัยเด็กของเขา เลยมอบให้ท่าน ถือเป็ของขวัญแลกเปลี่ยน” ผิงอันน้อยใจเพราะได้รับความไม่เป็ธรรมเล็กน้อย เขาบอกกับเซียวจวิ้นไปแล้วว่าไม่เป็ไร แต่เขายืนยันจะมอบให้เสียให้ได้
ของขวัญแลกเปลี่ยน... ทำไมฟังดูช่างไม่ค่อยเหมาะสมเพียงนี้?
“ไม่ได้ อันนี้พี่รับไว้ไม่ได้ เ้าเอากลับไปคืนเองเลย” เจินจูตีหน้านิ่ง ยุคสมัยนี้ ชายหญิงมอบสิ่งของให้กันและกันอาจถูกครหาได้ นางไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
“ท่านพี่” ผิงอันไม่อยากไป เซียวจวิ้นผู้นั้นก็หัวแข็งเช่นกัน
“รีบเอากลับไปคืน” เจินจูจ้องเขม็ง
ผิงอันไปแต่โดยดีทันที
ยามอิ๋น ผ่านเวลากลางดึกมาครึ่งหนึ่งแล้ว
เสี่ยวเฮยร้องปลุกเจินจู
เจินจูขยี้ดวงตาแล้วลุกขึ้นนั่ง อากาศยามฟ้ามืดช่างหนาวเย็นจนทำให้นางตัวสั่นเล็กน้อย
นางคว้าเสื้อหนาวมีซับในที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาคลุม
ดวงตาของเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยสะท้อนแสงแวววาวน่าฉงน
เจินจูหยิบจานใบเล็กออกมาสองใบจากในมิติช่องว่าง วางเนื้อตากแห้งและผักกาดขาวหั่นลงไปทีละอย่าง ส่วนเนื้อพะโล้หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว อาหารของพวกมันทำได้เพียงใช้สิ่งเหล่านี้แก้ขัดไปก่อนเท่านั้น
อากาศเหน็บหนาวเพียงนี้ กินให้อิ่มแล้วค่อยออกเดินทางจะดีที่สุด
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยกินอาหารจนหมดอย่างเงียบเชียบ เจินจูกำชับพวกมันเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นเปิดหน้าต่างฉลุลายออกให้พวกมันะโออกไป
รอจนเงาร่างของพวกมันหายเข้าไปในความมืด เจินจูจึงปิดหน้าต่างลงสนิท แล้วกลับขึ้นมาบนเตียงอิฐ
กระทั่งถึงยามเหม่า แสงไฟของลานอันหวาเริ่มทยอยจุดขึ้น
ภายในลานยุ่งขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเจินจูกับผิงอันล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เยว่อิงก็ยกอาหารเช้าเข้ามา
หลังทานอาหารเช้าจนเสร็จสิ้น สาวใช้ในลานต่างพากันเริ่มขนย้ายสัมภาระขึ้นรถม้าที่อยู่ด้านนอก
ยุ่งกันอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามในที่สุดก็ย้ายของจนเสร็จสิ้น
เช้าตรู่มากเพียงนี้ ทำให้หญิงรับใช้ทั้งวัยสาวและวัยชราต้องวิ่งกันวุ่น เจินจูรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
นางหยิบกระเป๋าใบเล็กหนึ่งใบออกมา ด้านในใส่เม็ดโลหะเปลือยหนึ่งก้อนเป็เงินสิบเหลียง ทั้งหมดมียี่สิบก้อน
“พี่เยว่อิง ่ที่ผ่านมานี้ได้รับการดูแลเป็อย่างดีจากพวกท่าน นี่เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ รบกวนท่านช่วยกระจายของรางวัลให้ทีนะ”
“แม่นางหู เื่เหล่านี้ล้วนเป็หน้าที่ของพวกหนูปี้เ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็ต้องถือสา” เยว่อิงรีบบอกปัด เมื่อวานตอนสองพี่น้องซื้อเครื่องประดับกลับมา ได้มอบปิ่นทองดอกกระจับให้แก่นางชิ้นหนึ่งแล้ว ตอนนั้นนางเลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงรับไว้
เจินจูยิ้มและยัดถุงใบเล็กใส่เข้าในมือนางเสียเลย
นางหันกลับไปมองลานอันหวาปราดหนึ่ง เขตที่พักอาศัยภายในบ้านรายล้อมไปด้วยแสงไฟที่สลัวเล็กน้อย แม้เป็เพียงที่ให้ยืมพักชั่วคราวไม่กี่วัน ทว่าก็ประทับความทรงจำไว้แน่นตราตรึง
นางผุดรอยยิ้มขึ้นบางๆ ย่ำเท้าออกจากลานพร้อมผิงอัน
พวกนางยังไม่ทันออกจากลานบ้านก็ถูกเถาซื่อที่รออยู่ด้านนอก ดึงไปพูดคุยร่ำลาทันที
ูเาที่ห่างไกลเริ่มมีแสงยามรุ่งอรุณสาดส่องทะลุม่านหมอกหนาเล็กน้อย
กว่าจะหลุดออกจากการบอกลาที่อาลัยอาวรณ์ของเถาซื่อมาได้ไม่ง่ายเลย สองพี่น้องเดินออกจากประตูด้านข้างของจวนเจิ้นกั๋วกง
นอกประตู หลัวจิ่งได้รออยู่ก่อนแล้ว
เซียวฉิงกับเซียวจวิ้นกำลังสนทนากับเขาอยู่
วันนี้เจินจูพาดเสื้อคลุมผ้าแพรปักสีแดงกุหลาบขอบขนเพียงพอน ผมถูกเยว่อิงช่วยแปรงรวบเป็ทรงเซียนโบยบิน [2] ประดับด้วยปิ่นทองฉลุลายโบตั๋นและหงส์คู่ ใบหูห้อยต่างหูเครื่องประดับชุดเดียวกัน
การแต่งกายที่ประณีตงดงามประดับสีสันสว่างสดใส ขับผิวพรรณของนางที่ขาวดุจหิมะให้ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น ทำให้ทั่วทั้งตัวของนางเปลี่ยนไปจนงามสง่า ราวดอกโบตั๋นเบ่งบานสะพรั่งยิ่งกว่าจะพรรณนาออกมาได้
สายตาของหลัวจิ่งไม่สามารถละจากไปได้ั้แ่นางปรากฏตัว แววตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าชุ่มชื้นอมชมพูน่าหลงใหลอย่างไม่ลดละ
ในความตะลึงของเซียวจวิ้นแฝงไว้ด้วยความเสียใจ เต่าหยกดำที่เขามอบให้นางไปเมื่อวาน นางให้ผิงอันนำกลับมาคืน เป็นางปฏิเสธเขาเช่นนั้นหรือ? หรือเป็การรักษาตามประเพณีที่ไม่รับของขวัญจากเพศตรงข้าม?
เขามองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่อยู่เต็มอก
เซียวฉิงเห็นการแสดงความรู้สึกของทั้งสองคนอยู่ในสายตา หัวคิ้วของเขาขมวดแน่น คนงามประดุจชิ้นหยกนวล บุรุษจะมอบดวงใจให้ย่อมเป็เื่ปกติมาก แต่สายตาของหลัวจิ่งมีความหวงแหนทะนุถนอมมากยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่ามีความรักความห่วงใยต่อแม่นางหูอย่างมาก หากพวกเขาสองคนมีใจชอบพอต่อกัน เกรงว่าเซียวจวิ้นคงไม่มีโอกาสแล้ว
ลูกชายที่น่าสงสาร เพิ่งมีเป้าหมายให้คิดใฝ่หาก็มาถูกบีบคอให้ตายอยู่ในเปลเสียแล้ว [3]
สองฝ่ายทำความเคารพกันและกัน จากนั้นเจินจูจึงถามขึ้น “นายท่านกั๋วกงเ้าคะ นั่นเป็กลุ่มองครักษ์ที่ท่านจะส่งออกไปร่วมเดินทางกับพวกข้าหรือเ้าคะ?”
นางชี้ไปทางขบวนรถด้านหลังของเขา รถม้าสีดำสูงใหญ่หนึ่งเกวียน พร้อมกับองครักษ์กลุ่มเล็กจำนวนสิบคนเรียงอยู่ด้านหลังรถม้า
เซียวฉิงหันกลับไปมองปราดหนึ่ง พยักหน้าอย่างสุขุมเรียบนิ่ง
“…”
มารดาเถอะ ไปเอาชาดอกไม้เท่านั้นเอง ต้องอลังการเพียงนี้เลยงั้นหรือ?
“นายท่านกั๋วกงเ้าคะ พวกข้าเองก็มีผู้คุ้มกันยี่สิบคนแล้ว หากรวมองครักษ์จำนวนมากของจวนท่านไปอีก จะดูเด่นสะดุดตาเกินไปยิ่งนัก อีกอย่างแค่ไปเอาชาดอกไม้สองกระปุกเท่านั้นเองนะเ้าคะ ไม่ใช่ว่าต้องขนส่งสิ่งของล้ำค่าอะไร ไม่จำเป็ต้องยุ่งยากเพียงนี้หรอกเ้าค่ะ” นางโน้มน้าวไม่หยุด
ชาดอกไม้จะไม่ล้ำค่าได้อย่างไร? ประสิทธิผลดี อีกทั้งยังหาได้น้อย เป็ประโยชน์ต่ออาการโรคของเถาซื่อได้พอดี ตอนนี้สุขภาพและกำลังวังชาของนางดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากยิ่งนัก
คิดถึงเมื่อวานยามค่ำคืนในม่านแสนสุขขึ้น ประหนึ่งมีนกขมิ้นตัวจิ๋วขับขานกลางดึก เสียงครวญครางกระสันเร้าอารมณ์คล้ายิญญาจะหลุดออกจากร่าง เขาบุกรุกเข้าผู้เป็ภรรยา ความสุขเปี่ยมล้นอิ่มเอมอยู่เต็มอก ไม่เหมือนในวันวานที่คอยพะวงห่วงใยร่างกายอันอ่อนแอของนาง ทำให้น้อยครั้งนักที่จะกล้าตักตวงความสุขไปอย่างเต็มที่
“แม่นางหู ไม่จำเป็ต้องกังวล พวกเ้าคิดแค่เร่งเดินทางก็พอ พวกเขาดูแลตัวเองได้ ไม่มีทางรบกวนการเดินทางของพวกเ้าแน่นอน”
ไม่ใช่ปัญหาว่ารบกวนหรือไม่รบกวน แต่เป็โอ้อวดเกินไปแล้ว เจิ้นกั๋วกงผู้นี้ แกล้งทำเป็ฟังไม่เข้าใจหรือคิดอะไรอยู่กัน เจินจูกลัดกลุ้มอยู่ในอก
เชิงอรรถ
[1] ติดอาวุธเบาเข้าสนามรบ อุปมาว่า ปล่อยวางความคิดที่เป็ภาระและทุ่มเทกับงานหรือการทำสิ่งที่ควรตั้งใจ ความหมายในประโยคนี้จึงหมายความว่า ปล่อยวางความกลัดกลุ้มและทำตามที่ใจ้า
[2] เซียนโบยบิน คือ ทรงผมที่รวบไปด้านหลังให้เรียบร้อย จากนั้นแบ่งเป็ช่อ มวยขึ้นสูงชี้ฟ้าสองข้าง มีรูปร่างเหมือนเซียนสาวกำลังกางปีกโบยบิน และจะใช้เครื่องประดับสวยงามมาปักให้มั่นคงหรือเพื่อประดับตกแต่ง
[3] บีบคอให้ตายอยู่ในเปล อุปมาว่า เป็การทำลายบางสิ่งบางอย่างก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น หรือพัฒนาไปมากกว่านี้ (คล้ายตัดไฟแต่ต้นลม)