เี๋เี่าเองก็นับเป็หนึ่งในศิษย์หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็เซียนเช่นกัน มีคนติดตามนับไม่ถ้วน แต่หากเทียบเคียงกับไป๋อวี้ชิงแล้ว ช่างห่างไกลประหนึ่งฟ้ากับเหว
ไป๋อวี้ชิงแห่งสำนักกวางขาว!
นี่ต่างหากเล่าคือเซียนหญิงที่นามกระเดื่องทั่วนครลู่ิตัวจริง
“ศิษย์พี่ไป๋ ไฉนถึงเอ่ยถ้อยคำนี้เล่าขอรับ หรือท่านเองก็รู้จักมักจี่เ้าชั้นต่ำเ่ิูเหมือนกัน?” หานเซี่ยวเฟยถามยิ้มๆ ้าสลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่เสียที
ไป๋อวี้ชิงแววตาว่างเปล่า สงบเรียบเชียบประหนึ่งพระจันทร์แช่แข็ง นางหลับเปลือกตาลง ไม่ตอบโต้คำใด
แต่หานเซี่ยวเฟยกลับอ่านความหมายแววตานั้นออก
นั่นคือแววตาวางท่าว่าสูงส่งกว่า ไม่แยแส และดูแคลน เขาผู้เป็หนึ่งในสี่หนุ่มรูปงามที่สุดของสำนักกวางขาว ในสายตาของแม่นางอันดับหนึ่งของสำนัก เหมือนหนีอย่างไรก็ไม่อาจรอดเงื้อมมือ
นั่นทำให้หานเซี่ยวเฟยขุ่นเคืองนัก
แต่ก็มิอาจทำอะไรได้
“เฮอะๆ บางทีศิษย์น้องหานอาจจะยังไม่รู้ คนชั้นสวะที่เ้าพูดถึงนั่น ท่ามกลางงานเลี้ยงวันนี้ เขาไม่เพียงทดสอบทั้งห้าด่านสำเร็จอย่างงดงามเท่านั้น ยังถีบตัวเองติดอันดับสามสิบอันดับแรก และยังทำท่านอาจารย์หลักข่งคงอนุมัติเข้าสำนักด้วยตัวเอง กลายเป็คนแรกในประวัติศาสตร์ที่สอบแค่ห้าด่านแล้วมีคุณสมบัติผ่านเข้ามาได้”
ร่างในผ้าคลุมขนสัตว์มีพัดในมือ พลางเยื้องย่างจากข้างไป๋อวี้ชิงมาตอบแกมยิ้มให้เสร็จสรรพ
พอได้ยินดังนั้น หานเซี่ยวเฟยผวา เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไร ความโกรธเปลี่ยนเป็พรึงเพริดยากจะระงับ
และสีหน้าเี๋เี่าก็เปลี่ยนเป็คนละขั้วในพริบตา
“ท่านว่าอะไรนะ? นี่มันเป็ไปได้อย่างไร? มีผลสอบแค่ห้าด่านแต่ถีบตัวเองขึ้นไต่ระดับหนึ่งในสามสิบได้ อย่าบอกนะว่า...” หานเซี่ยวเฟยนึกคำอธิบายที่ยากจะทำใจให้เชื่อได้ขึ้นมา
“ไม่ผิด” ร่างชนชั้นสูงที่โบกพัดยังคงเผยยิ้ม “ทุกผลการสอบของเ่ิู ล้วนแล้วแต่ได้ระดับขั้นสูงสุดเท่านั้น...”
เอ่ยถึงจุดนี้ เขาก็หยุดคิด ราวกับนึกว่าคำพูดตัวเองยังน่าตะลึงไม่พอ ถึงได้เพิ่มอีกประโยค “แม้จะมีข่าวแว่วออกมาว่า เป็เพราะกระบวนอักขระกับของวิเศษที่เราใช้ทดสอบนั้นหมดอายุการใช้งาน ทว่า การแสดงออกของเ่ิูอาจน่าสะพรึงยิ่งกว่านี้ มากพอจะทำลายทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเขา!”
หานเซี่ยวเฟยยืนแข็งทื่อ
“เป็ไปได้อย่างไร?” เี๋เี่าโอดครวญเบาหวิว “คนไม่ได้เื่แบบนั้น ทำไมถึงได้ระดับนี้ได้ล่ะ? ถ้าเขาพิสดารขนาดนี้จริง ทำไมการสอบก่อนหน้าทั้งสี่ครั้งถึงได้ต่ำเตี้ยนัก? เขา...ต้องโกงแน่ๆ!”
ในตอนนั้นเอวสายตามากมายเขม็งมองนางเป็ตาเดียว
บุรุษผ้าคลุมขนสัตว์ถือพัดยังคงยิ้มไม่ะเื แต่แววตาที่มองนางกลับเย้ยหยันเล็กน้อย
“โกงหรือ? จะเป็ไปได้เยี่ยงไร กระบวนอักขระกับของวิเศษที่สำนักกวางขาวเราใช้สอบเข้า ล้วนแต่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของยอดจอมยุทธ์ทั้งนั้น ไร้ข้อผิดพลาด ไม่เช่นนั้นนับแต่ก่อตั้งสำนักมา ไฉนเลยถึงไม่มีใครโกงได้สำเร็จ และตอนเขาสอบในคราวนี้ มีผู้ชมนับร้อยนับพันคน แล้วยังท่านอาจารย์หลักข่งคงควบคุมดูแลด้วยตัวเองอีก เ่ิูเป็แค่ยาจกเท่านั้นเอง จะเอาปัญญาที่ไหนมาตบตาได้?”
“หากแม้แต่ศิษย์พี่โจวอวี้ยืนยันว่านั่นไม่มีการโกง นั่นก็แปลว่าไม่มีการโกงอย่างแน่แท้” หานเซี่ยวเฟยคืนสติแล้ว แต่ยามทำความเคารพก็ยังอึดอัดอยู่
บุรุษชั้นสูงสวมผ้าคลุมขนสัตว์และถือพัดผู้นี้มีนามว่าโจวอวี้
โจวอวี้ชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้กัน ชอบศึกษาตำรา ได้ฉายาว่าเห็นคราเดียวมิลืมเลือน อ่านตำราเกินหมื่นเล่ม ปัญญาและการคาดการณ์แตกฉาน วางแผนครอบคลุมทุกเม็ด ทั้งยังเชี่ยวชาญศิลปะรอบด้าน ได้ยินข่าวมาว่าสามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้อย่างถ่องแท้ กายมีไออัศจรรย์พันลึก ถูกศิษย์มากมายขนานนามให้ว่า ‘เ้า์น้อย’
ในบรรดากลุ่มปีสี่ด้วยกัน โจวอวี้ก็ถูกจัดลำดับอยู่ลำดับที่ห้าของดวงดาวประจำรุ่น สูงกว่าหานเซี่ยวเฟยเสียอีก
สิ่งใดก็ตามที่เขาพูด ไม่อาจลบล้างลงได้
หานเซี่ยวเฟยส่งสายตาเป็นัยให้นางข้างๆ ห้ามมิให้นางเอ่ยปากถึงเ่ิูอีก ถูกคนหัวเราะเยาะนั้นเื่เล็ก แต่ทำผิดต่อไป๋อวี้ชิงและโจวอวี้เป็ต้น มีแต่จะได้ไม่คุ้มเสียเท่านั้น
และเื่ในคืนนี้ ก็เป็เพราะพวกเขาทั้งสองไม่รู้เื่รู้ราวเอง พูดผิดไปจึงได้กลายเป็เื่น่าขำ
แต่เี๋เี่าได้ถูกข่าวนี้ะเืใจจนิญญาหลุดจากร่างไปแล้วกระมัง
สมองนางขาวโพลน ความรู้สึกนั้นไม่อาจบอกชัดเจนได้ว่าคือเสียดาย เคืองโกรธ หรือความรู้สึกอื่น แต่อารมณ์ที่ประดังนี้เอง ทำให้นางผู้จิตใจดิ่งลึกยากจะเอื้อมถึงมองข้ามสายตาเป็นัยนั้นอย่างสิ้นเชิง
หากเป็นางเมื่อก่อนคงเลือกจะหุบปากไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนนางจะลืมคำว่าเหตุผลเสียสิ้น ถึงได้ถามเสียงดัง “เป็ไปไม่ได้ อย่างไรก็เป็ไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้โกงจริงๆ...แล้วจะอธิบายผลสอบสี่ปีก่อนหน้าของเขาอย่างไรกันล่ะ?”
โจวอวี้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องมีผู้ระแคะระคายเื่นี้เข้า
เขาโบกพัดแ่เบา ยิ้มตอบตามมารยาท “คนตาบอดอาจถูกภาพตรงหน้าล่อลวงให้หลงใหล นักปราชญ์เท่านั้นถึงจักมองเห็นสัจธรรมและความเที่ยงแท้ เหตุที่ผลการสอบทั้งสี่ปีก่อนหน้าของเ่ิูตกต่ำนัก มีเพียงคำอธิบายเดียว—ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่แค่ไม่คิดจะทำ”
“ไม่คิดจะทำ?” เี๋เี่าผงะอยู่เช่นนั้น
“ข้าเดาว่าเพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง เ่ิูถึงไม่อยากเข้าสำนักกวางขาว จงใจสอบไม่ผ่าน เพื่อจะได้ใช้เวลาสี่ปีทำตนเป็ดั่งคนโง่เง่า เซื่องซึม คนอื่นย่อมจะไม่สงสัยโดยธรรมชาติ แล้วค่อยะเิถล่มทลาย แต่เพราะว่าในที่สุดเขาก็อยากเข้าสำนักกวางขาว ถึงได้เผยพลังที่แท้จริงออกมา”
เหล่าลูกผู้ลากมากผู้ดีได้ยินแล้วถึงกับตาค้าง
ถ้าหากเป็เช่นนั้นจริงแล้วล่ะก็ เ้าเ่ิูนี่ชักจะน่ากลัวแล้วนะ
คนๆ หนึ่งต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองขนาดไหน ถึงจะสามารถเลือกทางที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้?
ปล่อยโอกาสเข้าสำนักกวางขาวไปถึงสี่ครั้งติด และในโอกาสครานี้ก็กลายเป็ภัยพิบัติใหญ่หลวงต่อหนุ่มสาวอื่นมากมาย หรือกระทั่งเหล่าชนชั้นสูง หรือพาณิชย์อู้ฟู่ก็เป็ไปด้วย
เวลาต่อมา งานเลี้ยงฉลองอันแสนครึกครื้น พลันเงียบลงมาก
เี๋เี่าเริ่มสติกลับเนื้อกลับตัวบ้างแล้ว ใจเกิดคลื่นมหึมาเข้า
พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว แสดงว่าเด็กชายข้างบ้านที่ช่วยขโมยไข่ไก่ให้นางแล้วนางมองเป็วีรบุรุษ เด็กผู้ชายที่ถูกนางตัดสินว่าเป็ตัวตลกไม่ควรค่าแก่การมอง บัดนี้ได้กลายเป็วีรบุรุษตัวเป็ๆ แล้วหรือ
แต่สิ่งที่นางเลือกกลับเป็...
ยามนั้นเองที่หัวใจเสี่ยวหานเอ่อล้นด้วยความรู้สึกผิดเนืองแน่น
แต่อารมณ์แบบนี้ ไม่กี่อึดใจดีก็ถูกนางทำลายจนเละเทะ
ใจของนาง ร้อนรุ่มด้วยหงุดหงิดและโกรธกริ้วบังตา
เ่ิูต้องจงใจแน่ๆ!
เขาต้องจงใจเลือกวันนี้ วันที่นางจะได้เหยียบย่างเข้า ‘แดนเทพประทับ’ เป็ครั้งแรกมาเข้าสอบ ทำให้นางอับอายในงานเลี้ยงแสนสำคัญ คนแบบนี้ ช่างโหดร้ายน่าไม่อายเสียจริง
บ่นงึมงำจนพอใจ ความเงียบอันหาได้ยากก็ถูกเสียงหนึ่งทำลายลง
“เป็อย่างนั้นแล้วอย่างไร? ยอมชวดเวลาอันมีค่าถึงสี่ปีไปเพราะความมั่นใจ อย่างไรก็เป็แค่คนจน หนำซ้ำไม่มียาเทวดาสนับสนุน เ่ิูไม่มีที่ให้วาดหวังอีกแล้ว ต้องรู้นะว่าฝึกฝนแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็ทางเลือกของคนใหญ่คนโตทั้งนั้น เสียดายพร์ของเขาจริงๆ ช่างเสียเปล่าเหลือเกิน!”
เสียงกระแทกกระทั้นเข้ามา
เ้าของคำพูด เป็ไป๋อวี้ชิงอีกแล้ว
สตรีหมายเลขหนึ่งของสำนักกวางขาว น้อยครั้งที่ออกปากวิจารณ์ศิษย์คนอื่น
แต่คราวนี้ กลับละมาดเดิมวิจารณ์เ่ิูเข้าจนได้
ชั่วเวลานั้น ใครก็มิอาจจะทำนายได้ว่าเซียนหญิงยืนอยู่ข้างใครกันแน่ ที่เอ่ยปากเมื่อครู่ราวกับกำลังปกป้องเ่ิู แต่คำวิพากษ์นี้กลับคลับคล้ายจะดูเบา
ยามได้ยินประโยคนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจของเี๋เี่าถึงสดใสขึ้นในที
ทว่าประโยคต่อมาของไป๋อวี้ชิง กลับแช่แข็งนางด้วยความะเื
“ ‘แดนเทพประทับ’ ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างเ้า เชิญออกไปด้วย” ไป๋อวี้ชิงมองเี๋เี่า
สายตาดั่งผู้อยู่เหนือกว่าหลายขุม ประดุจฮองเฮาผู้ลิขิตทุกสิ่งอย่าง มองหญิงต่ำต้อยไร้หัวนอนปลายเท้าด้วยหางตา แล้วเนรเทศออกนอกอาณาจักร
“แต่ว่า...ข้าได้รับบัตรเชิญมานะ”
นางอับอายจนหน้าแดงก่ำ กัดฟันทนมิให้ตัวเองเผลอลงมือทำอะไรไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนั้นได้ ทว่าโทสะกลับโหมกระพือในใจดั่งเปลวไฟแผดเผา
ไป๋อวี้ชิงเพียงยื่นมือ
กลุ่มพลังงานประหลาดหลั่งไหล กระตุ้นกำลังภายใน เสี่ยวหานยังไม่ทันได้ตอบโต้ บัตรเชิญใบนั้นก็ถูกริบไปจากกายนางแล้วร่วงลงกลางมืองาม แสงสีขาววาบเพียงคราเดียวก็สลายเป็ผุยผง ปลิวสู่อากาศธาตุยามราตรี
“ตอนนี้เ้าไม่มีบัตรเชิญแล้ว” ไป๋อวี้ชิงกล่าวราบเรียบ
แกร่งกร้าว!
หยาบคาย!
ทรงพลัง!
นวลนางผู้แข็งแกร่งที่สุดลำดับหนึ่งแห่งสำนักกวางขาว ในเวลานั้นเองที่แสดงพลังสุดยอดออกมา
“ศิษย์พี่ไป๋ ศิษย์น้องเสี่ยวหานนั้นข้าเป็ผู้เชิญมาเอง...” หานเซี่ยวเฟยในที่สุดก็อดไม่ไหวจนเผลอหลุดปาก
ไป๋อวี้ชิงหันสายตามามองยังหานเซี่ยวเฟย นางคล้ายนึกอะไรออกอีกอย่าง “อ้อ เ้าก็ไปด้วยเสียไป ห้ามเข้า ‘แดนเทพประทับ’ อีกเป็เวลาสามเดือนเต็ม”
เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี
นี่เป็การลงโทษขั้นร้ายแรงนัก หลังจากนี้เขาจะโงหัวในวงสังคมหรูหรานี้ไม่ได้อีกเลย
เขายังอยากจะเถียงอะไรบ้าง ทว่าเสียงเบาบางของบุรุษก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ได้ยินที่ประธานไป๋พูดหรืออย่างไร? ยังไม่รีบออกไปอีก”
“ท่านพี่?” หานเซี่ยวเฟยชะงัก เพียงครู่ก็หันไปมอง
บุรุษโครงหน้าเหลี่ยมคมในชุดสำนักสีขาวปรากฏกายขึ้นด้านหลังตน
เขาคิ้วดกหนาั์ตาโต ผิวแทนเปี่ยมด้วยความรู้สึกถึงพลังพุ่งพล่าน สูงกว่ารุ่นเดียวกันอย่างน้อยศีรษะหนึ่ง กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็มัดๆ พร้อมบดขยี้
เพียงเขาเผยตัว ร่างสูงใหญ่เหมือนขุนเขาลาดชันราวจะบดบังแสงจันทร์มืดมิดไปในที คนมากมายรู้สึกราวกับตามืดบอด หยุดหายใจไปชั่วขณะ
หานซวงสวี่!
หนึ่งในผู้ทรงพลังที่สุดในศิษย์ปีสี่สำนักกวางขาว และยังเป็หนึ่งในประธานรุ่นปัจจุบันของ ‘แดนเทพประทับ’ อีกด้วย
ชีวิตรอบกายได้แต่พร่ำภาวนา
“ท่านพี่...ข้า...” หานเซี่ยวเฟยอยากเอื้อนเอ่ย
“ยังไม่รีบไปอีก” หานซวงสวี่สั่งเสียงเบา
หานเซี่ยวเฟยผงะ ไม่คาดคิดว่านอกจากพี่ชายจะไม่ช่วยเขาแล้ว ยังผลักไสไล่ส่งเขาอีก ทว่าเพราะเขาเคารพรักพี่ผู้นี้ที่สุดเสมอมา ถึงได้ไม่กล้าต่อปากต่อคำ เขารีบหมุนกายจากไปว่องไว สุดแสนจะอัปยศเช่นเดียวกับเี๋เี่า
รัตติกาลนี้ สองคนนี้เห็นกงจักรเป็ดอกบัวจริงๆ
เชื่อว่าไม่ถึงข้ามคืนดี เื่น่าขำนี้จะเผยแพร่ไปทั่วสำนัก
“น้องชายข้ายังเด็กนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รบกวนศิษย์พี่ไป๋แล้ว” หานซวงสวี่ยิ้มพลางค้อมมือคำนับไป๋อวี้ชิง
นางกล่าวสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่รู้เื่รู้ราวก็ต้องอบรมสั่งสอนให้ดีๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้