บรรยากาศหนักอึ้งภายในห้องเหมือนจะผ่อนคลายลงไปบ้าง หรูอี้นำชาร้อนสองถ้วยเข้ามา แล้วถอยออกไปคอยดูแลด้านนอก
แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ห้องสว่างไปกว่าครึ่ง ในห้องที่กึ่งสว่างกึ่งมืด ครึ่งหนึ่งมืดมิดอีกครึ่งหนึ่งเปล่งประกาย
พวกเขาอยู่ในส่วนที่มืด ภายใต้แสงแดดที่ส่องเข้ามาทำให้เห็นเศษฝุ่นลอยละล่องอยู่ในแสงสว่างนั้น
ท่ามกลางความเงียบ มู่หรงฉือก็พูดขึ้น “อย่าเพิ่งไปสนใจคดีของจ้าวผิน ตอนนี้เบาะแสเดียวที่สามารถตรวจสอบได้ก็คือผมสีขาวสองเส้นนั้น”
เสิ่นจือเหยียนเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปที่เรือนชุนอู๋”
“เปิ่นกงจะไปกับเ้าด้วย”
“ก็ดี”
ทั้งสองคนรีบทานอาหารกลางวัน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเรือนชุนอู๋
ั้แ่องค์รัชทายาทจากไป ในใจของหลี่มามาที่คอยดูแลเรือนชุนอู๋ก็รู้สึกปริวิตก มักจะรู้สึกว่าองค์รัชทายาทจะต้องกลับมาอีก ดังนั้นจึงกัดฟัน สั่งให้ข้าหลวงในวังมาทำความสะอาดเรือนชุนอู๋รอบหนึ่ง หากองค์รัชทายาทมาอีกครั้งแล้วได้เห็นว่าทั่วทั้งเรือนสะอาดสะอ้าน ไม่แน่ว่าอาจจะทรงเบิกบานพระทัย แล้วเลื่อนขั้นโยกย้ายนางออกจากเรือนชุนอู๋
นางอยู่ที่เรือนชุนอู๋มายี่สิบปี เดิมยังมีความฝันในชีวิตให้ไล่ตาม ก่อนที่นี่จะค่อยๆ เปลี่ยนนางให้กลายเป็คนสิ้นหวังอย่างคนเ่าั้ ใช้ชีวิตเหมือนศพเดินได้ รอคอยความตายอยู่ที่นี่
ตอนที่องค์รัชทายาทพาคนมาที่นี่อีกครั้ง นางก็อดนับถือตัวเองไม่ได้ ช่างเป็คนที่คาดเดาอะไรได้ล่วงหน้าจริงๆ
เรือนชุนอู๋เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ นางก็ยิ่งมีหน้ามีตามากขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “องค์รัชทายาทมีคำสั่งอะไร หนูปี้จะทำตามคำสั่งเพคะ”
“เ้าทำความสะอาดเรือนชุนอู๋?” มู่หรงฉือรู้สึกว่าอากาศสะอาดขึ้นมาไม่น้อย กลิ่นชวนคลื่นเหียนนั้นสลายไปแล้ว
“เมื่อวานหลังจากที่องค์รัชทายาทไปแล้ว หนูปี้ก็รู้สึกหวาดกลัวจนสงบใจไม่ลง จึงทำความสะอาดกับเหล่าข้าหลวงไปรอบหนึ่งเพคะ ให้หนูปี้นำทางเตี้ยนเซี่ยเดินดูรอบๆ ดีหรือไม่เพคะ?” หลี่มามายิ้มประจบ แล้วพาองค์รัชทายาทเดินไปรอบๆ เพื่อเป็การยืนยันว่านางไม่ได้ทำเฉพาะภายนอกเรือนเท่านั้น
“ก็ดี” มู่หรงฉือมองไปทางเสิ่นจือเหยียน ส่งสายตาไปให้เขา
“ใต้เท้าท่านนี้คือ…” หลี่มามาปรายตามองเสิ่นจือเหยียน
“ใต้เท้าเสิ่นเซ่าชิงของศาลต้าหลี่” มู่หรงฉือแนะนำ
“หนูปี้ทำความเคารพใต้เท้าเสิ่น” หลี่มามาใจสั่นเล็กน้อย ศาลต้าหลี่ควบคุมการตรวจสอบคดีและลงโทษ เซ่าชิงของศาลต้าหลี่มาที่เรือนชุนอู๋โดยเฉพาะจะต้องมาเพื่อตรวจสอบการตายของสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่แน่ๆ
สามัญชนสองคนนั้น ตายก็ตายไปแล้ว ยังจะหาเื่ยุ่งยากมาให้นางอีก
หากเื่นี้เกี่ยวข้องมาถึงนาง งานนี้จะยังรักษาได้อยู่หรือไม่? ไม่แน่ว่ากระทั่งชีวิตก็คงไม่เหลือ
คิดถึงตรงนี้ แผ่นหลังของหลี่มามาพลันมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา
หลังจากฝนตกทุกอย่างก็ถูกชะล้างจนสะอาดเหมือนใหม่ แสงแดดแยงตา ส่วนที่ตอนแรกยังเปียกชื้นตอนฝนตก่เช้ามืด ยามนี้ก็ถูกแดดส่องจนแห้งไปแล้ว
เวลานี้เป็่ที่พระอาทิตย์จะแผ่ความร้อนมากที่สุด ร้อนจนอึดอัด คนมากมายต่างพากันมานั่งที่ห้องโถงเพื่อหลบร้อน มีคนนั่งเกาตัวเอง มีคนนั่งพิงกำแพงหลับ มีคนพูดคุยกันเบาๆ มีคนมองมาที่คนแปลกหน้าที่สวมชุดหรูหรา...
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือค่อยๆ เดินมา สายตากวาดไปตามศีรษะของคนเ่าั้
ถึงแม้จะมีหลายคนที่มีผมขาว แต่ว่าคนเ่าั้ต่างอายุมากแล้ว ร่างกายงองุ้ม เชื่อได้ว่าไม่มีความสามารถที่จะมาก่อคดีได้
หลังจากมองไปรอบๆ แล้วพวกเขาจึงเดินไปทางด้านหลังเรือน
หลี่มามาแนะนำอย่างกระตือรือร้น “ด้านนอกเรือนเป็เส้นทางในวังหลวง เดินไปอีกนิดเดียวก็เป็กำแพงวังแล้วเพคะ”
ด้านหลังเรือนมีห้องพักรวมสามห้อง พวกเขาเดินไปรอบหนึ่งก็ยังไม่พบคนที่มีผมขาว
“หลี่มามา เ้าไปทำงานของเ้าเถิด เปิ่นกงกับใต้เท้าเสิ่นจะเดินเล่นกันสักหน่อย” มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น
“เช่นนั้นหากเตี้ยนเซี่ย้าสิ่งใดสามารถสั่งการหนูปี้ได้เพคะ หนูปี้ทูลลาเพคะ” หลี่มามาถอยตัวจากไป
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากันแล้วเดินผ่านเรือนที่พักไปทางเรือนหลัง
เรือนหลังไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ปลูกต้นสนเอาไว้สองต้น ต้นหอมหมื่นสี้สองต้นกับต้นไม้โบราณขนาดใหญ่อีกหลายต้นผลิใบไม้สีเขียวชอุ่มแตกกิ่งก้านให้ร่มเงา เย็นสบายเป็อย่างยิ่ง
ลมพัดผ่านไปจนเกิดเสียงซ่าๆ เกิดเป็ความเย็นเล็ดลอดเข้ามาในแขนเสื้อ
ราวกับมีกลิ่นอายดำมืดลอยมา
ใต้ต้นไม้โบราณมีคนยืนอยู่
หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น มีคนเข็นอยู่ด้านหลัง
เป็อันกุ้ยเหรินกับหลิวเหมยคนดูแลข้างกายนาง
เหมือนกับที่มู่หรงฉือเห็นเมื่อวาน บนร่างของอันกุ้ยเหรินสวมชุดยาวสีเทาดำ มีผ้าคลุมศีรษะและใบหน้าสีเดียวกัน
ครั้นพวกนางรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวก็หันไปมอง
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเดินไปหา นางถามเสียงเรียบ “เ้าคืออันกุ้ยเหริน?”
“ตัวข้ามิใช่อันกุ้ยเหริน คือสามัญชนอันต่างหาก” อันกุ้ยเหรินพูดเสียงแหบและเบามาก
“สามัญชนอันอยู่ที่เรือนชุนอู๋มาได้ยี่สิบปีแล้วสินะ” ใบหน้างดงามของเสิ่นจือเหยียนมีรอยยิ้มแผ่เต็มหน้า
“ใช่ ยี่สิบปีแล้ว” สาวใช้ข้างกายตอบกลับ “ท่านทั้งสองคือ...”
ตอนที่เขากำลังจะแสดงฐานะของตัวเอง มู่หรงฉือก็รีบแย่งพูดขึ้นมาก่อน “พวกเราเป็ข้าหลวงจากตำหนักบูรพาผ่านมาที่นี่ พวกเ้า้าสิ่งใดก็บอกพวกเราได้”
ดวงตาสุกใสของอันกุ้ยเหรินหรี่ลง “ดูจากเสื้อผ้าของพวกเ้าแล้วไม่เหมือนกับข้าหลวงจากตำหนักบูรพา”
เสิ่นจือเหยียนยิ้มเหมือนคนขี้เล่นไม่จริงจัง “สามัญชนอันสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก พวกเราไม่ใช่คนจากตำหนักบูรพาจริงๆ แต่พวกเราขอความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาทให้พวกเราได้เข้ามาดูในเรือนชุนอู๋”
คิ้วเรียวบนใบหน้าอันกุ้ยเหรินพลันผ่อนคลาย “เรือนชุนอู๋ตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นรกบนดิน พวกท่านมาที่นี่จะไม่เสียเวลาอันรุ่งเรืองหรือ?”
มู่หรงฉือจดจ้องอันกุ้ยเหรินที่อยู่ในสภาพสะอาดสะอ้าน นางไม่ได้วาดคิ้ว หน้าผากสะอาดเป็มันเงา ดวงตาทั้งสองดำสนิทเหมือนบ่อน้ำพันปี สีหน้าเปลี่ยวเหงาราวกับมองทั้งโลกนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เข้าใจทั้งความเป็ความตาย เหลือเพียงแสงแห่งความสงบ
ในดวงตาของบรรดาคนในห้องโถงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง โดดเดี่ยว และรอคอยความตาย แต่ในแววตาของอันกุ้ยเหริน มู่หรงฉือเห็นความสงบในนั้น
นี่มันแปลกมากไม่ใช่หรือ?
“เรือนชุนอู๋เป็สุสานที่น่ากลัวแห่งหนึ่ง เป็สถานที่สำหรับฝังคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น ท่านทั้งสองรีบออกไปเถิด”
เสียงของอันกุ้ยเหรินแหบแห้ง ราวกับงูพิษที่เลื้อยขึ้นมาจากเท้า ความเย็นเยียบที่พุ่งขึ้นมาตามสันหลังชวนให้คนขนหัวลุก
มู่หรงฉือเอามือขวาวางลงบนเข่าของนางแล้วถาม “ขาทั้งสองข้างของอันกุ้ยเหริน...เสียไปแล้วหรือ?”
ใบหน้าของหลิวเหมยเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ก็เพราะว่าองค์รัชทายาท...”
“หลิวเหมย” อันกุ้ยเหรินพูดเสียงเบา ปรามสาวใช้ให้หยุดพูด ดวงตาดำคู่นั้นราวกับบ่อน้ำเก่าเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว “นี่คือชีวิตของข้าจะไปโกรธคนอื่นไม่ได้”
“ได้ยินมาว่าตอนนั้นขาทั้งสองข้างของอันกุ้ยเหรินถูกตีจนหัก จากนั้นจึงถูกส่งเข้ามาในเรือนชุนอู๋” เสิ่นจือเหยียนกล่าว “หลายสิบปีมานี้อันกุ้ยเหรินคงจะลำบากไม่น้อย”
“คนเรามีชีวิตอยู่เดิมทีก็เป็การฝึกตนที่แสนลำบาก หวานขม ทุกข์สุข อยู่เพียงไม่นานก็หายไปในชั่วพริบตา”
เสียงของอันกุ้ยเหรินราบเรียบ ใบหน้านิ่งสงบราวมีคำว่าทุกข์ตรมสิ้นหวังเขียนไว้
แสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดผ่านใบไม้ส่องกระทบลงบนใบหน้าขาวซีดของนางให้มีสีสัน ประหนึ่งวาดภาพทิวทัศน์อันงดงามบนโลกนี้บนผ้าสีขาวเก่าๆ ทว่าผ้าขาวที่ผุพังนี้ไม่อาจรับความงดงามนั้นได้ กลับกัน ใบหน้าที่ผอมจนตอบลึกเป็แนวกระดูกฉายความเปลี่ยวเหงาแห่งจิติญญาออกมา
ทว่า กลับยังคงนิ่งสงบ
เป็ความนิ่งสงบที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบ
เป็ความนิ่งที่ทำให้คนตื่นตระหนก
ความคิดเหล่านี้วาบเข้ามาเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น มู่หรงฉือมองไปทางนางเงียบๆ แล้วก็เข้าใจ
“ท่านทั้งสองเชิญตามสบาย” หลิวเหมยเข้าใจในทันทีและเข็นนายของตนออกไป
เสิ่นจือเหยียนมองส่งพวกนางกลับเข้าห้องก่อนถามเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ยรู้สึกว่าอันกุ้ยเหรินแปลกๆ หรือไม่?”
มู่หรงฉือพยักหน้า “แต่ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ ขาทั้งสองข้างของนางใช้การไม่ได้แล้ว ไม่มีทางทำเื่ไม่ดีได้”
เสิ่นจือเหยียนเดินรอบๆ เรือนหลังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางกำแพงเรือน
กำแพงเรือนเป็กำแพงดินมีความสูงประมานครึ่งตัว สามารถะโข้ามไปได้ง่ายๆ เมื่อข้ามไปแล้วก็จะเป็ทางเดินในวังหลวง กำแพงวังอยู่ใกล้แค่คืบ
“จากตรงนี้เข้าวังหลวงไปสะดวกมาก แม้ว่าใกล้ๆ จะมีหน่วยลาดตระเวนอยู่สามเวลา แต่คนที่มีวิชาตัวเบาก็สามารถลงมือได้โดยที่ไม่มีใครรู้” เขาวิเคราะห์
“คนร้ายที่ฆ่าสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่เข้าออกจากทางนี้นับว่าสะดวกมาก” มู่หรงฉือมองไปยังกำแพงวังพลางครุ่นคิด
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นจือเหยียนจึงค่อยลากลับไป
ใบหน้าของอันกุ้ยเหรินวนเวียนอยู่ในหัวของมู่หรงฉือ เนิ่นนานไม่อาจสลัดออกไปได้
....
ครั้นกลับถึงตำหนักบูรพา มู่หรงฉือรู้สึกหนักศีรษะจึงนอนลงไป คิดไม่ถึงว่าไข้จะกลับมาอีกแล้ว
เดิมทีไข้ของนางยังไม่ทันหายขาด หลายวันมานี้ออกไปที่นั่นที่นี่จนเหน็ดเหนื่อย เช้าวันนี้ก็ยังโดนฝนต้องลม ไม่มีเวลาได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ท้ายที่สุดจึงกลับมาป่วยอีก
ยามอาการป่วยมาก็เหมือนูเาล้ม หายป่วยแล้วเหมือนได้ลอกคราบเกิดใหม่
นางนอนอยู่บนเตียง เพียงครู่เดียวก็หนาวสั่นราวกับประสบอากาศที่หนาวจัด แต่ชั่วประเดี๋ยวก็รู้สึกร้อนจัด เมื่อหนาวกับร้อนมาเจอกันก็ให้รู้สึกทรมานจนไม่อาจทานทน
ทานยาเข้าไปแล้ว ร่างกายจึงเริ่มมีเหงื่อออก นอนไปครู่หนึ่งถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
กลางคืนในฤดูร้อนเหมือนกับมีหมึกดำสนิทถูกเทลงมา มืดมิดเงียบสงัด
ร่างของมู่หรงฉือชื้นไปด้วยเหงื่อ ทรมานยิ่งนัก นางอยากจะนอนก็นอนไม่หลับ จึงสั่งให้หรูอี้ไปเตรียมน้ำร้อนอาบ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว นางถึงได้รู้สึกสดชื่นขึ้นแต่กลับจามติดๆ กัน
หรูอี้รีบเข้ามาดูแลสวมอาภรณ์ก่อนจะคลุมผ้ากันลมสีหยกให้นาง จากนั้นนางจึงกลับไปยังห้องบรรทม
“เตี้ยนเซี่ย หนูฉายจะไปยกยาเข้ามาให้เพคะ”
หรูอี้พูดไปแต่กลับเห็นเตี้ยนเซี่ยไม่ก้าวไปด้านหน้าต่อ ท่าทางราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น หรูอี้สงสัยจึงมองตามสายตาของเตี้ยนเซี่ยไปก็ถึงกับใ
ในห้องบรรทมมีคนอยู่!
บุรุษที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือโดยที่มือถือหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นอ่านก็คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ!
หรูอี้ตื่นตระหนก ทบทวนตนเองว่าตนไม่ได้หลุดพูดอะไรออกไปใช่หรือไม่ ไม่ได้หลุดว่าเตี้ยนเซี่ยคือสตรีใช่หรือไม่
มู่หรงฉือจ้องมู่หรงอวี้เขม็ง ในใจถักทอความคิดมากมายเข้าด้วยกัน ดวงหน้าเล็กพลันซีดขาว ก่อนจะเปลี่ยนมาเขียวปั๊ดในชั่ววินาที จากเขียวก็เปลี่ยนมาขาวอีก แล้วก็กลับมาเขียว…
มู่หรงอวี้วางหนังสือเล่มนั้นลง พูดเสียงต่ำ “ออกไป”
หรูอี้มองเตี้ยนเซี่ย ก่อนจะโค้งตัวแล้วออกไป : เตี้ยนเซี่ย โชคดีนะเพคะ
ในห้องบรรทมมีแสงสลัวจากเทียนเพียงสองเล่ม เขายืนอยู่ตรงนั้นในชุดสีดำปักดิ้นทองส่องแสงออกมาจนแสบตา ราวกับจะกระโจนเข้ามากลืนกินคน
เขามองไปที่นางด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ูเาแม่น้ำ ความงดงามในใต้หล้าล้วนอยู่ในดวงตาของเขาคู่นั้น
ใบหน้างดงามเ็าของเขา ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นราวกับจะกลืนกินใต้หล้านี้ได้ เพราะดวงตาเป็หน้าต่างของหัวใจ แค่มองตากันนางก็มองเห็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความทะเยอะยานของเขาจากดวงตาสีดำลึกล้ำคู่นั้น
เขามาทำไม?
ที่นี่คือตำหนักบูรพาของนาง เขาสามารถเข้ามาได้อย่างอิสระ เข้ามาถึงห้องบรรทมของนางอย่างโจ้งแจ้งโดยไม่มีคนมารายงาน
องครักษ์กับข้าหลวงในวังไปทำบ้าอะไรกันหมด?
หากเขามีใจคิดจะสังหารนาง มีใจคิดจะแย่งชิงแคว้น เช่นนั้นนางก็คงจะตายจากไปอย่างเงียบเชียบแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้