“อ๊า…”
ปัง...
แรกเริ่มนั้นสายตาของพวกอ๋าวหรานยังคงจับจ้องอยู่ที่จิ่งเซียง แต่ทว่าเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ถูกเซี่ยเหวินเอ่อดึงดูดไปแล้ว คนผู้นี้เพิ่งขึ้นเวทีได้ไม่นาน คู่ต่อสู้ของเขาก็ถูกซัดลงจากเวทีแล้ว ไม่มีแม้แต่แรงตอบกลับ ส่วนเซี่ยเหวินเอ่อนั้นราวกับว่าแม้แต่อาวุธก็ยังไม่ได้ใช้ ใช้แค่มือก็สามารถทำให้คนปลิวไปได้แล้ว เ้าเด็กที่เป็คู่ต่อสู้ของเขานอนอยู่บนพื้นเสียนานก็ยังลุกขึ้นมาไม่ได้ เืทะลักออกจากปากอาบไปทั่วคางและเสื้อด้านหน้า ดูไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง
แม้แต่จินเฉียนเป้ยที่มีนิสัยโหวกเหวกโวยวายก็ยังเงียบไปนาน เนิ่นนานกว่าจะพูดติดๆ ขัดๆ ออกมา “คุณ...คุณชายเซี่ยท่านนี้ดูท่าทางใจดี เหตุใด...ถึงลงมือหนักเช่นนี้”
ชัดเจนว่าเซี่ยเหวินเอ่อเองก็รู้ตัวว่าลงมือหนักไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นสง่างาม หาได้มีสีหน้ารู้สึกผิดไม่ ชุดสีขาวที่สวมใส่อยู่นั้นดูบริสุทธิ์สูงส่งปราศจากโลกีย์ ไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย “เป็ข้าที่ทำเกินไปแล้ว ครั้งหน้าจะพยายามออมมืออย่างแน่นอน”
ทุกคน “...”
ไม่คิดแม้แต่น้อยว่าเ้าจะออมมือให้ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าเขาจะออมมือหรือไม่ กว่าครึ่งของคนที่อยู่ที่นี่คงจะหวาดกลัวเขาไปแล้ว ในใจก็แอบภาวนาว่าอย่าให้ตัวเองต้องเจอกับเขาเลย
หลังจากเซี่ยเหวินเอ่อชนะแล้วก็ค่อยๆ เดินลงมา พวกอ๋าวหรานไม่ได้สนใจเขาอีก สายตาเบนไปทางจิ่งเซียงอีกครั้ง แค่หันสายตาไปทางอื่นเพียงไม่นาน ยายเด็กน้อยนี่ก็ได้เปรียบเต็มที่แล้ว
หนุ่มน้อยที่เป็คู่ต่อสู้ของนางนั้น เดิมทียังคิดว่าจะรักหยกถนอมบุปผายอมให้นาง แต่ยิ่งสู้กันไปก็ยิ่งรู้สึกเปลืองแรงจึงทำได้เพียงใช้พละกำลัง อีกทั้งในใจกลับตกตะลึง สาวน้อยผู้งดงามตรงหน้านี้แข็งแกร่งกว่าตัวเองอย่างชัดเจน ไม่เพียงมีกำลังภายในลึกล้ำ ยังสามารถออกกระบวนท่าได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย กระบี่สั้นในมือนั้นถูกนางใช้ได้อย่างอิสระลื่นไหล พลิกข้อมือพุ่งไป สายตาเขาก็มองเห็นเพียงแค่เงาของคนตรงหน้า พยายามอย่างสุดแรงเพื่อตามให้ทัน เมื่อเขาหลบได้ครั้งหนึ่ง นางก็พุ่งเข้ามาอีก ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า ตอนนี้เขาถึงกับหอบหายใจ เหงื่อท่วมเต็มหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
มุมปากอ๋าวหรานยกขึ้น “เซียงเซียงกำลังจะชนะแล้ว”
จิ่งจื่อพยักหน้าเหมือนไม่ได้พยัก “ถ้านางไม่ชนะสิถึงแปลก”
การประลองรอบนี้สิ้นสุดลงเร็วกว่ารอบที่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็เพราะทุกคนดุดันกันมากขึ้นหรือว่าเป็เพราะคู่ต่อสู้ทั้งสองมีฝีมือห่างชั้นกันเกินไป เริ่มจากเซี่ยเหวินเอ่อหลังจากนั้นก็ค่อยๆ มีคนทยอยซัดคู่ต่อสู้ร่วงลงจากเวทีตามมาเรื่อยๆ จิ่งเซียงเป็คนที่ห้าที่สู้ชนะในรอบนี้ ยิ้มน้อยๆ กำหมัดคารวะหนุ่มน้อยที่นางซัดตกเวทีลงไปแล้วเดินมาหาพวกจิ่งฝานอย่างร่าเริง
เมื่อหนุ่มน้อยผู้นั้นแพ้ให้แก่สตรีจึงรู้สึกหงุดหงิดและกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากถูกรอยยิ้มของจิ่งเซียงทำให้ใจสั่นไหว ความหงุดหงิดในใจก็ไม่รู้ว่าถูกทำให้แตกสลายหายไปอยู่ซอกมุมใดแล้ว แพ้ก็แพ้สิ เขายอมพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ
เทียบกับความดีใจของจิ่งเซียงแล้ว จิ่งจื่อนั้นตื่นเต้นจนอดลูบหมัดถูมือไม่ได้ รอบต่อไปก็ถึงตาเขาแล้ว กระบี่คู่สั้นในมือกวัดแกว่งไปมารอบแล้วรอบเล่า ขาก็วาดไปมา
อ๋าวหรานอดไม่ไหวจึงเตะขาเขาไป “เก็บอาการหน่อย ถ้ายังเป็เช่นนี้ต่อไปคงไม่ทันได้ขึ้นเวที ขาก็สั่นหมดพอดี”
จิ่งจื่อวาดกระบี่สั้นไปมา “ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว”
อ๋าวหรานยังไม่ทันได้ค่อนแคะ จิ่งเซียงที่อยู่อีกด้านก็กลอกตา “ทางนี้ยังมีอีกคนหนึ่ง”
อ๋าวหรานหันหน้าไป นิ้วมือของจินเฉียนเป้ยถูกหักจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ แยกเขี้ยวยิงฟัน ดวงตาคู่นั้นราวกับลูกหมาป่า ส่องแสงเปล่งประกาย อ๋าวหรานรู้สึกหมดคำจะพูด ลืมไปว่าเ้าเด็กนี่ก็อยู่รอบนี้เหมือนกัน
โชคดีที่ชายหนุ่มที่อยู่หน้าเวทีเองก็ไม่ได้ชักช้า ตีกลองหนักๆ ติดต่อกันสามที “รอบที่สามเริ่มได้!ขอเชิญคุณชายและคุณหนูทั้งหลายขึ้นมาบนเวที!”
ชายหนุ่มผู้นั้นเพิ่งพูดจบ จินเฉียนเป้ยกับจิ่งจื่อก็ราวกับว่าถูกเข็มจิ้มก้นก็ไม่ปาน รีบพุ่งขึ้นเวทีไปทันที แล้วยืนอย่างมั่นคงอยู่บนเวที คู่ต่อสู้ของทั้งสองก็ขึ้นเวทีมาอย่างอึ้งๆ เพราะถูกสายตาราวกับหมาป่าของสองคนนี้ทำให้สั่นสะท้าน
หลังจากเสียงบอกว่าเริ่มได้ของชายหนุ่มร่างใหญ่ จินเฉียนเป้ยก็พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยขาข้างเดียวในทันใด คู่ต่อสู้ถูกจิตสังหารของเขาทำให้เืสูบฉีดอย่างรุนแรง ตระกูลจินมีวิชาหมัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดินใหญ่ จินเฉียนเป้ยไม่พกอาวุธใดๆ ใช้เพียงหมัดที่เต็มไปด้วยจิตสังหารนี้พุ่งเข้าชนกับกระบี่แหลมคมของคู่ต่อสู้ หมัดของจินเฉียนเป้ยนั้นราวกับเคลือบไว้ด้วยเหล็กหนาๆ ชั้นหนึ่ง เมื่อปะทะกับกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด แรงที่อัดแน่นอยู่รอบหมัดเขานั้นกลับกระแทกกระบี่ของอีกฝ่ายออกไป
คนผู้นั้นยังไม่ทันถอยหลังก็รับหมัดของจินเฉียนเป้ยเข้าไปเต็มๆ จนถอยหลังไปหลายก้าว พยายามอย่างหนักถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง
ชายผู้นั้นลูบหน้าอกที่ถูกหมัดซัดเข้าไป “หมัดตระกูลจินไม่ได้เลื่องลือกันอย่างลอยๆ จริงๆ ด้วย”
จินเฉียนเป้ยเป็คนบ้ายอ แค่ได้ยินว่าคนผู้นี้รู้จักวิชาหมัดของตระกูลจินก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด สีหน้าอวดดีอย่างปิดไม่มิด แล้วยังเสแสร้งทำท่าทางถ่อมตนอีก “ไม่เท่าไรๆ พี่ชายอย่าได้เกรงใจ”
คนผู้นั้นราวกับว่าทนรับท่าทางโง่งมของเขาไม่ไหวจึงกลอกตาไม่พูดอะไรอีก แล้วยกกระบี่พุ่งเข้ามา จินเฉียนเป้ยก็ไม่ถอยหลังแม้แต่น้อย กลับซัดหมัดเข้าไปอีกรอบโดยใช้แรงมากกว่าเมื่อครู่ถึงสามส่วน ชัดเจนว่ารอบนี้ฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่คิดจะยั้งมือ เมื่อหมัดกับกระบี่ปะทะกัน จิตสังหารที่พลุ่งพล่านของทั้งคู่ก็ปะทะกันอย่างรุนแรงจนทำให้เส้นผมของคนทั้งสองชี้โด่ชี้เด่ และไม่อาจไม่ถอยหลังไปสองสามก้าวได้
จินเฉียนเป้ยอดบีบมือดังกรอบแกรบไม่ได้ ฟันขาวทั้งปากเปล่งประกายท่ามกลางแสงแดด “เ้าเองก็ไม่เลวเลย! สาแก่ใจจริงๆ! เอาอีกๆ!”
คนผู้นั้นชัดเจนว่าไม่ใช่คนพูดมากจึงใช้การกระทำตอบคำเขาไปแทน กระบี่กับหมัดสู้กัน...พูดตามจริงแล้ว จินเฉียนเป้ยนับว่าเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ดังคำที่ว่า 'อาวุธยาวกว่าหนึ่งชุ่นย่อมแข็งแกร่งกว่าหนึ่งชุ่น' จินเฉียนเป้ยไม่มีอาวุธใดๆ อาศัยแค่หมัดเพียงอย่างเดียวเผชิญหน้ากับอาวุธแหลมคม ทั้งร่างเขาจึงล้วนมีแต่ช่องโหว่ หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจจะถูกกระบี่นั้นแทงจนได้เื
แต่ทว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลักการเ่าั้ไม่อาจใช้กับจินเฉียนเป้ยได้ เ้าเด็กนี่ทั้งหมัดแข็งและประเปรียวว่องไว หนุ่มน้อยที่เป็คู่ต่อสู้ของเขาเองเพลงกระบี่ก็ไม่เลว พลิกแพลงกระบวนท่าหลากหลายแล้วพุ่งไปบนร่างจินเฉียนเป้ย แต่จะทำอย่างไรได้ เ้าเด็กจินเฉียนเป้ยนี่ว่องไวราวกับลิง สามารถเบี่ยงตัวหลบไปมาได้อย่างรวดเร็ว แถมหมัดก็ช่างหนักหน่วง กระบี่ที่ฟาดฟันลงมาบนหมัดจึงราวกับตัดลงบนหินแข็งก็ไม่ปาน
หนุ่มน้อยผู้นั้นยิ่งฟันก็ยิ่งเหนื่อยจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย รีบสะบัดกระบี่ไวปานสายฟ้า จินเฉียนเป้ยหาได้กลัวไม่ แล้วยิ้มราวกับพระอาทิตย์ดวงโตในฤดูร้อน ฟันสะท้อนแสงสว่างไสว “มาๆๆ! เข้ามาอีก!”
หนุ่มน้อยผู้นั้นถึงเพิ่งเข้าใจว่าเ้าเด็กนี่ต้องเหลือแรงเก็บไว้อยู่อีกแน่ หนุ่มน้อยผู้นั้นอดโกรธมากยิ่งกว่าเดิมไม่ได้จึงงัดแรงที่มีทั้งหมดออกมาสู้กับจินเฉียนเป้ย จินเฉียนเป้ยเมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจขึ้นมาแล้วจึงใช้แรงทั้งหมดสู้ตอบ หนึ่งกระบี่กับหนึ่งหมัดปะทะกัน ทำให้คนรอบข้างตระหนกใจนส่งเสียงออกมา
คนทั้งสองปะทะกัน...สุดท้ายจินเฉียนเป้ยก็เป็ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ หลังจากจินเฉียนเป้ยชนะแล้วก็ยังคงยืนอยู่บนเวที กำหมัดทั้งคู่ชูขึ้นแล้วะโอย่างตื่นเต้น น่าสงสารคนผู้นั้นที่ถูกเขาใช้หมัดซัดจนหล่นลงไปด้านล่างเวที กัดฟันส่งเสียง ‘ชิ’ แล้วยกกระบี่จากไป
ความโอ้อวดของจินเฉียนเป้ยนี้ดึงดูดให้คนรอบๆ หันมามอง จิ่งจื่อที่อยู่อีกฝั่งเองก็ไม่ต่างกัน เทียบกับความโอหังโหวกเหวกโวยวายของจินเฉียนเป้ยแล้ว จิ่งจื่อนับว่าสงบเงียบมาก แต่ฝีมือของเ้าเด็กนี่ไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย กระบี่คู่นั้นหมุนวนโบยบิน กดฝ่ายตรงข้ามไว้จนไม่มีแรงใดๆ จะตอบโต้ สุดท้ายจึงพ่ายแพ้ไป ฝ่ายตรงข้ามในกำมือเขาก็ราวกับนกตัวเล็กๆ ไม่มีแรงโต้กลับแม้แต่น้อย ถูกไล่บี้จนหัวหมุนไปหมด
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างถกเถียงกัน
“เ้าเด็กนี่เป็คุณชายคนใดของตระกูลจิ่ง? เหตุใดถึงร้ายกาจเพียงนี้?”
“ได้ยินมาว่าไม่ใช่สายหลักด้วยซ้ำ เป็แค่สายรองเท่านั้น”
“สายรอง? จริงหรือไม่? แค่สายรองก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้? เช่นนั้นลูกหลานสายหลักจะร้ายกาจถึงเพียงใด?”
“ไม่รู้สิ ได้ยินมาว่าเป็เพราะเ้าเด็กนี่มีพร์ถึงได้รับการสนับสนุนส่งเสริม”
“อ้อ ข้าก็ว่า ตระกูลจิ่งจะแข็งแกร่งขนาดนี้ทุกคนได้อย่างไร? ตอนแรกยังในึกว่าเป็เช่นนี้กันทุกคนเสียอีก?”
ไม่ว่าตระกูลจิ่งจะเป็อย่างไร จิ่งจื่อภายใต้เสียงโห่ร้องะโใของทุกคน ไล่บี้คู่ต่อสู้เสียจนต้องขอยอมแพ้ ั้แ่เริ่มสู้มายังไม่มีผู้ใดขอยอมแพ้มาก่อน นี่นับเป็ครั้งแรก จิ่งจื่อยืนอยู่บนเวที เห็นคู่ต่อสู้เหนื่อยหอบราวกับจะเป็จะตายก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด ดูเหมือนตัวเองจะทำเกินเลยอยู่บ้างแล้ว
จิ่งจื่อประสานมือคารวะไปทางคนผู้นั้น “เสียมารยาทแล้ว”
คนผู้นั้นแค่เห็นเขายกมือก็ใจนตัวสั่น
จิ่งจื่อลูบหน้าผาก หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองทีแล้วบินลงจากเวทีไป
จิ่งเซียงเห็นเขาลงมาแล้วก็ตีมือไปบนบ่าเขา “อย่างน้อยเ้าก็ควรออมมือสักเล็กน้อย ดูเอาว่าเ้าทำเขาใไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
จิ่งจื่อทำหน้าปลงๆ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ผู้ใดจะคิดว่าเ้าเด็กนี่จะอ่อนแอถึงเพียงนี้ ทุกครั้งที่กระบี่ข้าจะแทงไปที่ตัวเขา เขาก็ยังไม่แม้แต่จะป้องกันตัวด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยหลบเอาก็ยังได้”
จิ่งเซียง “กลายเป็ว่าเ้าเป็ฝ่ายถูกเสียอย่างนั้น”
จิ่งจื่อยักไหล่แล้วส่งสายตาไปทางเหยียนเฟิงเกอ “รอบต่อไปมีท่านด้วยใช่หรือไม่”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า ส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง
จิ่งจื่อรู้สึกบ้าคลั่งยิ่งกว่าตอนตัวเองสู้เสียอีก “พี่เหยียน ท่านก็นับว่าเป็อาจารย์ข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง ท่านต้องชนะให้ได้”
อ๋าวหรานเองก็อดไม่ไหวจนตีเขาไปทีหนึ่งเช่นกัน “เ้าน่ะกินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วเลิกกังวลเถิด1”
จิ่งจื่อ “…”
เหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ
กินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วเลิกกังวลเถิด1(咸吃萝卜淡操心)หมายถึงเวลาดองหัวไชเท้าแล้วใส่เกลือมากๆ เราก็ไม่ต้องคอยมากังวลว่ามันจะเสีย สำนวนนี้ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ชอบกังวลไปทั่วทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้