“ในที่สุดก็มาถึง!”
ถังเหล่ยใช้เวลาในการเดินทางถึงสี่ชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิซือฉี ‘เมืองจิ่วหั่ว’
บริเวณรอบเมืองหลวงจิ่วหั่วเจริญมาก มีร้านค้าและโรงเตี๊ยมมากมาย ผู้ฝึกตนจำนวนมากเดินทางผ่านเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าทหารตรวจตราก็มีไม่น้อยเช่นกัน และถังเหล่ยสังเกตเห็นว่าที่อกของทหารเหล่านี้ไม่ใช่คำว่า ‘เหยียน’ หรือ ‘เลี่ย’ แต่เป็คำว่า ‘ตี้’ หากเขาเดาไม่ผิดทหารที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ไม่ใช่คนของตี้เหยียนหรือตี้เลี่ย
บนประตูเมืองจิ่วหั่วสลักภาพขนาดใหญ่เอาไว้ ทันทีที่ถังเหล่ยเห็นก็จำได้ทันทีว่านี่คือิญญายุทธ์ของตระกูลตี้อย่างแน่นอน
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในเมืองเท่าไร ความเจริญก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผู้คนจำนวนมากเดินขวั่กไขว่ไปมาตลอดเส้นทาง เมืองแห่งนี้สามารถใช้คำว่าแออัดได้อย่างไร้ข้อกังขา ในขณะที่ถังเหล่ยเดินอยู่ภายในเมืองมีคนไม่น้อยจ้องมองมาที่เขา เพราะเขาจูงม้าอัสนีมาด้วย
ครั้งนี้ถังเหล่ยตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำหม้อปรุงยาติดตัวไว้หนึ่งใบ แต่หม้อปรุงยาไม่มีทางทำสำเร็จได้ในวันสองวัน อันดับแรกต้องหาช่างอาวุธที่มีฝีมือก่อน แม้ว่าเขาจะได้ศิลาเพลิงิญญามาสามก้อน แต่เขาก็ยังไม่กล้าเอาออกมา หากนำออกมาเขาคงถูกคนฆ่าชิงสมบัติไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นถังเหล่ยจึง้าซื้อศิลาเพลิงิญญาไว้สักสองสามก้อน แม้ว่าราคาของศิลาเพลิงิญญาจะไม่ธรรมดา แต่พักหลังเขาสังหารคนไปไม่น้อย แหวนมิติที่ปล้นมาได้ก็มีหลายวงแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเอาไปแลกเป็เงินก็น่าจะพอซื้อศิลาเพลิงิญญาได้หลายก้อน
เมื่อเดินมาเป็เวลาหนึ่งก้านธูป ถังเหล่ยจึงมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เมื่อมองจากการตกแต่งภายนอกแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต้องมีชื่อเสียงในเมืองจิ่วหั่วอย่างแน่นอน เพราะทันทีที่เขามาถึงด้านหน้าของโรงเตี๊ยมก็มีบริกรออกมาช่วยจูงม้าอัสนีของเขาอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันภายในร้านก็มีชายวัยกลางคนสวมชุดสีทองคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายเชิญด้านใน เชิญเข้ามาได้เลย!”
เพราะถังเหล่ยขี่ม้าอัสนี ดังนั้นแค่บริกรในโรงเตี๊ยมมองก็รู้ว่าสถานะของถังเหล่ยไม่ธรรมดา ถึงแม้เขาจะดูมีอายุพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น แต่ต้องเป็ศิษย์จากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน
“ไม่ทราบว่าคุณชายมาทานอาหารหรือมาหาที่พัก?” บริกรวัยกลางคนพาถังเหล่ยมาที่โต๊ะว่างและเชิญให้เขานั่งลง หลังจากนั้นก็เรียกบริกรอีกคนมารินน้ำชา
“ข้า้าที่พักประมาณหนึ่งเดือน เตรียมให้ข้าห้องหนึ่ง ขอที่เงียบสักหน่อย ข้าไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า!”
“ไม่มีปัญหาคุณชาย อีกเดี๋ยวจะมีคนพาท่านไปที่ห้อง แต่ท่านต้องจ่ายค่าห้องกับค่ามัดจำก่อน” บริกรวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถังเหล่ยพยักหน้า
“ต้องจ่ายเท่าไรหรือ?”
“ทั้งหมดต้องจ่ายด้วยศิลาิญญาระดับต่ำหกสิบก้อน ห้องที่ดีที่สุดของเราราคาสองก้อนศิลาิญญาระดับต่ำต่อหนึ่งคืน หากคุณชาย้าอยู่ยาวก็ไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำ!”
ศิลาิญญาถือว่าเป็สมบัติที่พิเศษมากอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากแก่นอสูรมากนัก ในนั้นแฝงด้วยพลังิญญาฟ้าดินเหมือนกัน ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับพลังิญญาฟ้าดินจากศิลาิญญาได้ หากใช้ในการบ่มเพาะจะเพิ่มประสิทธิภาพเป็เท่าตัว แต่โดยปกติแล้วศิลาิญญามักจะถูกใช้เป็เงินตราระหว่างผู้ฝึกตน และยังสำคัญกับผู้ฝึกตนระดับยอดยุทธ์อีกด้วย
ผู้ทรงยุทธ์กับผู้ชำนาญยุทธ์แทบจะไม่มีโอกาสได้ัักับศิลาิญญามากถึงหกสิบก้อน ศิลาิญญาหกสิบก้อนถือว่าราคาสูงมาก ต่อให้เป็ยอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ก็ต้องรู้สึกเ็ปเมื่อต้องมอบศิลาิญญาหกสิบก้อนให้กับผู้อื่น
ไม่ใช่ถังเหล่ยไม่มีศิลาิญญา แต่พักหลังเขาไม่ได้ไปยังเมืองใหญ่เลย จึงไม่ได้แลกศิลาิญญาเอาไว้
“เอ่อ...ยังไม่จ่ายได้หรือไม่?”
ถังเหล่ยวางแผนเอาไว้ว่ารุ่งเช้าเขาจะไปที่โรงประมูลหรือร้านค้าเพื่อแลกเปลี่ยนเอาศิลาิญญามาเป็ค่าใช้จ่ายในการเข้าพักที่โรงเตี๊ยม
“ขอโทษด้วยคุณชาย ที่ร้านไม่มีกฎให้ค้างค่าใช้จ่าย” บริกรวัยกลางคนยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ภายในใจเริ่มสับสนในตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าขี่สัตว์อสูรเป็ไปได้จริงหรือว่าจะไม่มีเงินจ่ายค่าที่พัก?
“ไม่มีเงินก็ออกไปซะ คิดจะค้างค่าใช้จ่าย ช่างน่าสมเพชจริงๆ!”
ถังเหล่ยยังไม่ทันได้กล่าว ด้านหลังก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมา เขาหันหน้ากลับไปจึงพบว่าที่โต๊ะไม่ไกลมีผู้ฝึกตนนั่งอยู่สามคน
ผู้ฝึกตนทั้งสามคนสวมชุดเหมือนกัน สามารถคาดเดาได้ว่าน่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เสียงเยาะเย้ยเมื่อครู่ก็มาจากชายหนุ่มปากมากคนหนึ่งในนั้น
“หลิวกว่าง ที่นี่คือจักรวรรดิซือฉี อย่าหาเื่จะดีกว่า!” ชายหนุ่มที่ดูอายุมากที่สุดในกลุ่มกล่าว หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หันหน้ามาทางถังเหล่ยอีกครั้ง บนใบหน้าไม่มีความสำนึกผิดแต่อย่างใด
สามคนนี้ล้วนเป็ผู้ฝึกตนระดับยอดยุทธ์ แต่ถึงแม้ถังเหล่ยจะไม่ได้เปิดเผยระดับให้พวกเขาเ่าั้รู้ แต่พวกเขาเ่าั้ก็สามารถคาดเดาได้ว่าถังเหล่ยยังไม่ทะลวงข้ามระดับยอดยุทธ์อย่างแน่นอน
ผู้นำของกลุ่มดุหลิวกว่าง แต่ไม่ได้สนใจถังเหล่ยเลยแม้แต่น้อย หลิวกว่างมองถังเหล่ยพร้อมกับเผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก ก่อนที่จะหันหน้ากลับไป
“คุณชายอย่างโกรธแขกสามคนนั้นเลย พวกเขาคือศิษย์ของนิกายเสิ่นอวี่” บริกรวัยกลางคนกล่าวเสียงเบา เขากังวลว่าถังเหล่ยที่อายุน้อยจะไม่สามารถควบคุมความโกรธภายในใจและท้ายที่สุดจะเกิดการต่อสู้ภายในโรงเตี๊ยมของเขา
สถานที่แห่งนี้คือที่สำหรับทำมาหากินของพวกเขาหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตพวกเขาจะใช้สถานที่แห่งนี้ในการหากินได้อย่างไร?
ในขณะนี้บริกรวัยกลางคนกำลังเตือนถังเหล่ยว่าอีกฝ่ายคือศิษย์ของนิกายเสิ่นอวี่ ต่อให้ถังเหล่ยจะมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังก็อย่าไปหาเื่ศิษย์จากนิกายเสิ่นอวี่จะดีกว่า
“นิกายเสิ่นอวี่อย่างนั้นหรือ? น่าสนใจดีนี่” ถังเหล่ยพึมพำกับตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอศิษย์นิกายเสิ่นอวี่ที่นี่
จากการคาดเดาของถังเหล่ย ศิษย์จากนิกายเสิ่นอวี่ที่อยู่ภายในจักรวรรดิซือฉีน่าจะได้รับประกาศจับเขานานแล้ว ไม่แน่คนเหล่านี้อาจจะรู้ตัวตนของถังเหล่ยแล้วก็ได้
“สิ่งนี้พอจ่ายหรือไม่?” แหวนมิติบนมือของถังเหล่ยกะพริบไหว แก่นอสูรขนาดเท่าไข่ไก่สีแดงเม็ดหนึ่งปรากฏบนโต๊ะ ความผันผวนที่แผ่ซ่านออกมาจากแก่นอสูรเม็ดนี้ดึงดูดผู้คนทั้งโรงเตี๊ยมทันที
“นี่คือ แก่นอสูรระดับสี่!” บริกรวัยกลางคนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่อย่างห้ามไม่ได้
ไม่ใช่บริกรผู้นี้ไม่เคยเห็นแก่นอสูรระดับสี่ เขาเป็ถึงผู้ฝึกตนระดับยอดยุทธ์และยังเป็พ่อค้าอีกด้วย จึงทำให้เขารู้ว่ามูลค่าของแก่นอสูรระดับสี่เม็ดหนึ่งสามารถแลกเป็ศิลาิญญาระดับต่ำได้ประมาณห้าร้อยก้อน
“คุณชาย สิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป พวกเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ!”
ถึงแม้บริกรวัยกลางคนผู้นี้จะอยากได้มันมากเพียงใด แต่ด้วยมูลค่าของมันที่มากกว่าค่าใช้จ่าย เขาเกรงว่าหากลูกค้าคนอื่นๆ รู้เื่ ลูกค้าเ่าั้จะตราหน้าว่าเขาเปิดร้านเพื่อหลอกเอาเงินของผู้อื่นอย่างแน่นอน
“หากเป็เช่นนั้น ก็เอาสิ่งนี้ไปแทน?” ถังเหล่ยเก็บแก่นอสูรระดับสี่กลับเข้าไปในแหวนมิติ หลังจากนั้นหยิบแก่นอสูรระดับสามเม็ดหนึ่งออกมา
“นี่มัน...ถ้าคุณชาย้าใช้แก่นอสูรจ่าย ทางร้านเราจะรับไว้!” บริกรวัยกลางคนยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
แก่นอสูรระดับสามสามารถแลกเป็ศิลาิญญาระดับต่ำได้ประมาณร้อยก้อน ถือว่าเขายังได้กำไรอยู่
“เช่นนั้นเ้าก็รับไว้ ตอนนี้พาข้าไปที่ห้องเถอะ ที่นี่มีแต่กลิ่นเหม็น ข้าทนอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว!”
ในขณะที่ถังเหล่ยกำลังเดินตามบริกรขึ้นไปที่ห้อง เขาก็จ้องมองมายังศิษย์จากนิกายเสิ่นอวี่อย่างจงใจ ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็มองเขาเช่นเดียวกัน
“พี่สาม ข้าคิดว่าเราต้องสั่งสอนมันสักหน่อย เ้าเด็กตระกูลเล็กๆ ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เหตุใดจึงกล้ามาหยิ่งผยองกับเรา!” หลิวกว่างกล่าวออกมาทันทีเมื่อถูกสายตาของอีกฝ่ายเย้ยหยัน
“พอได้แล้ว ข้าบอกกับเ้าไปหลายหนแล้ว ในจักรวรรดิซือฉีห้ามมีเื่เด็ดขาด ที่นี่ไม่ใช่จักรวรรดิเทียนอวี่ ถ้าเกิดเื่จริงๆ ต่อให้เป็อาจารย์ก็ช่วยเ้าไม่ได้!” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่สามมีนามว่า หวังเจี๋ย และอาจารย์ของพวกเขาก็คือผู้าุโแห่งนิกายอวี่เสิน ‘เยียนหลิงชวน’
……