นางเป็หมอ สามารถช่วยรักษาโรคช่วยชีวิตคนไม่ใช่หรือ ฮึ ถ้าเกิดมีคนตายขึ้นมาเ้าจะทำอย่างไร
หวังซื่อใจดำอำมหิต วางแผนการชั่วร้ายเอาไว้ทุกอย่าง
ไม่กี่วันต่อมาขณะที่ชาวบ้านเกือบลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปแล้ว หวังซื่อก็ไปบ้านของหลี่ฟู่กุ้ยอีกครั้ง
แม้ผู้อื่นจะลืมได้ แต่หลี่ฟู่กุ้ยกลับยากจะลืมลง
เขาเป็คนโลภในทรัพย์สินเงินทองยิ่งกว่าหวังซื่อ จึงมีการเตรียมการป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า หลังกวาดมองไปในฝูงชนที่มารอรับยาเพียงปราดเดียว ก็เห็นหวังซื่อซึ่งกำลังทำท่าทางลับๆ ล่อๆ
“ไฉนเ้ามาอีกแล้วเล่า ยังคิดจะมาขอส่วนแบ่งจากข้าอยู่อีกใช่หรือไม่” หลี่ฟู่กุ้ยเอ่ยพลางใช้สายตาเฉียบคมมองหวังซื่อที่ต่ออยู่ท้ายแถว
หวังซื่อถูกจับตามองจากรอบด้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงทำหน้าหนาฉวยโอกาสเบียดขึ้นไปข้างหน้า
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ข้าแค่รู้สึกไม่สบายท้อง อยากให้ท่านช่วยจัดยามาให้กินเท่านั้นเอง” สีหน้าและคำพูดของหวังซื่อครานี้แตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง นางยิ้มประหม่าเล็กน้อย พูดจาดียิ่ง
“ท้องเสียรึ” หลี่ฟู่กุ้ยหรี่ตามองนางอีกคราก่อนเอ่ยถาม
มีเงินมาให้ถึงที่ เขาย่อมไม่ไล่คนไปอยู่แล้ว
“ใช่สิ ท่านช่วยดูหน่อยว่ามีอะไรที่พอจะช่วยให้มันหยุดได้บ้าง” ขณะพูดจิตใจของหวังซื่อกลับไม่อยู่กับเนื้อตัว สายตาคอยชำเลืองสมุนไพรหลายอย่างที่วางแผ่หลาอยู่บนโต๊ะ คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจอยู่ในขณะเดียวกัน
“อันนี้ง่ายๆ รอก่อนแล้วกัน” เขายังคงเป็หมออยู่ ท้องเสียใช้แค่สมุนไพรง่ายๆ ไม่กี่ชนิดก็พอแล้ว
เขาหมุนตัวหันหลังให้หวังซื่อไปที่ตู้ยา แล้วหยิบไปชั่งน้ำหนักในปริมาณที่เหมาะสม เขาไม่มีฝีมืออย่างิเป่าจูที่หยิบปุ๊บก็ได้น้ำหนักพอดีเป๊ะ
หวังซื่อเห็นหลี่ฟู่กุ้ยหันหลังไป ก็ขยับเท้าเล็กน้อย ใช้ความใหญ่ของร่างกายบดบังสายตาคนที่อยู่ด้านหลัง
แล้วรีบหยิบสมุนไพรจากในนั้นมาหนึ่งกำมือ วางลงไปในกองสมุนไพรที่อยู่ข้างๆ นาง ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็อะไร คิดแค่ว่าจะก่อความวุ่นวายให้เกิดปัญหาขึ้นเท่านั้น
คนที่อยู่ด้านหลังมองดูแผ่นหลังกว้างดุจพยัคฆ์รอบเอวใหญ่หนาเหมือนหมีของนางที่ขยับเล็กน้อยทำอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง แต่ขณะที่ชะโงกหน้าเข้าไปดูก็ไม่เห็นนางเคลื่อนไหวอีก จึงมิได้สนใจมากนัก
หวังซื่อโยนเหรียญทองแดงสองสามเหรียญบนโต๊ะ แล้วคว้าห่อยาที่ห่อเสร็จเรียบร้อยเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่ฟู่กุ้ยอยากให้นางรีบไปใจจะขาด แม้จะตะขิดตะขวงใจชอบกลแต่ก็ไม่ได้สนใจใดๆ
เฉียนซื่อเป็ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน ได้ยินว่า่นี้มีคนมาจัดยากับท่านหมอประจำหมู่บ้านเยอะมาก ก็ตั้งใจมาดูสถานการณ์โดยเฉพาะ
เมื่อก่อนชาวบ้านล้มป่วยเจ็บไข้ทีต่างก็ต้องอดทนอดกลั้น ด้วยเหตุนี้คนที่ตายไปเพราะทนไม่ไหวก็มีไม่น้อย บัดนี้คนยอมมาหาหมอกันแล้ว พวกเขาสามีภรรยาย่อมจะเบิกบานใจตามไปด้วย
เพิ่งเข้าประตูมาก็ถูกคนเดินชนไหล่ เคราะห์ดีที่จับประตูไว้ทันถึงไม่ล้มลงไป
“คนที่เดินไปเมื่อครู่นี้คือหวังซื่อภรรยาของิเถี่ยจู้ใช่หรือไม่” เฉียนซื่อถามขึ้นหลังจากประคองตัวได้แล้ว
“อ้าว ท่านมาได้อย่างไร ใช่แล้ว เป็นางนั่นแหละ ไม่ผิดหรอก” หลี่ฟู่กุ้ยเห็นเฉียนซื่ออยู่หน้าประตู ก็รีบออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำถามก็เงยหน้ามองออกไปด้านนอก สตรีร่างท้วมที่เดินไปอย่างเร่งร้อนผู้นั้นก็คือหวังซื่อนั่นเอง
“นางมาทำอะไรหรือ”
เฉียนซื่อขมวดคิ้ว นึกถึงสีหน้าลนลานของอีกฝ่ายเมื่อครู่ยังมีท่าทีลุกลี้ลุกลนน่าสงสัยอยู่บ้าง
“มาซื้อยา นางบอกว่าท้องเสียน่ะ” หลี่ฟู่กุ้ยเล่าให้ฟังอย่างละเอียด
ท้องเสีย? มิน่า ถึงได้ดูรีบร้อนมากถึงเพียงนั้น คงจะไม่ไหวแล้วกระมัง เฉียนซื่อคาดคะเนในใจ ดังนั้นจึงไม่คิดถึงนางอีก
หวังซื่อทำการสับเปลี่ยนยาสำเร็จก็นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในบ้านของตนเอง อีกสองวันก็น่าจะมีเื่สนุกให้ชมแล้ว
ตลอดสองวันมานี้หวังซื่อดูตื่นเต้นผิดปรกติ จะนั่งจะยืนล้วนไม่เป็สุข แต่ในที่สุดวันนี้นางก็ได้ข่าวว่ามีชาวบ้านมาโวยวายหาเื่ ก็ลอบยิ้มด้วยความดีใจ รีบออกไปบ้านของิเป่าจูเพื่อดูอีกฝ่ายถูกบีบคั้นให้ต้องยอมจำนน
“เปิดประตู รีบเปิดประตูเร็ว” มีคนมาเคาะประตูบ้านของหลี่ฟู่กุ้ยั้แ่ฟ้ายังไม่สาง
หลี่ฟู่กุ้ยเปิดประตูออกมาอย่างงัวเงีย ยังไม่ทันเห็นหน้าผู้มาอย่างชัดเจนก็ถูกกระชากคอออกไปแล้ว
“ท่านหมอหลี่ ท่านดูสิ สามีข้ากินยาที่ท่านจัดให้มาสองวัน นอกจากโรคจะไม่ดีขึ้น กลับรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีก”
“นะ...นี่ เป็ไปไม่ได้ ข้าก็จัดยาตามเทียบที่ิเป่าจูออกให้ทุกอย่าง” พอเห็นคนถูกหามเข้ามาด้วยเสื่อฟาง สีหน้าของหลี่ฟู่กุ้ยก็พลันลนลานตื่นตระหนกไปชั่วขณะ
“เป็ไปไม่ได้อะไรกัน ตอนนี้คนยังนอนหมดสติอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต่อให้หญิงม่ายบุตรกำพร้าอย่างพวกเราต้องกลายเป็ผีก็จะไม่ละเว้นเ้า” หลี่กุ้ยเฟินร้องไห้พลางตีโพยตีพาย
“เื่นี้เ้าต้องไปหาิเป่าจู มาหาข้าก็ไร้ประโยชน์ อย่าให้เสียเวลา เร็วเข้า รีบไป”
เขาลองจับชีพจรของบุรุษผู้นั้นดู ก่อนลนลานชักมือกลับ เร่งให้คนห้ามคนป่วยไปบ้านของิเป่าจู
เมื่อมาถึงที่หมายก็เคาะประตูทันที ิเป่าจูเป็คนความรู้สึกไว แค่เสียงเคาะครั้งแรกนางก็ลุกขึ้นมาแต่งตัวเตรียมออกไปเปิดประตูแล้ว
“ใครน่ะ” ทว่ายังไม่ทันเปิดประตู หลี่ไหวฺอวี้ก็ออกมาก่อน
“ไม่รู้สิ เป่าอวี้เล่า” ิเป่าจูกลัวว่าเสียงเคาะประตูจะทำให้เป่าอวี้ใตื่น ดังนั้นจึงพยายามสวมเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดก่อนเปิดประตูออกมา
“หลับอยู่” หลี่ไหวฺอวี้เผยรอยยิ้ม
เขาเลื่อมใสในความหลับลึกของเป่าอวี้อย่างแท้จริง เพียงหัวถึงหมอน ขนาดฟ้าร้องฝนกระหน่ำ ก็ยังทำให้เขาตื่นไม่ได้ นับประสาอะไรกับแค่เสียงเคาะประตู
เมื่อเปิดประตูใหญ่ออก ด้านนอกมีคนมามุงล้อมอยู่เต็มไปหมด ด้านล่างของบันไดมีชายหมดสตินอนอยู่บนเสื่อฟาง
“เกิดอะไรขึ้น นี่คือ...?” ิเป่าจูข้ามธรณีประตูออกมา พลางนั่งยองลงตรวจชีพจรให้คนป่วย
นางจำบุรุษผู้นี้ได้ สองวันก่อนเขาบอกว่าไม่สบายท้อง ทั้งยังอาเจียนอยู่บ่อยๆ หลังตรวจชีพจรถึงรู้ว่าเป็โรคกระเพาะ จึงจัดเทียบยาบรรเทาอาการปวดที่มีประสิทธิภาพให้ไป
หลี่กุ้ยเฟินร้องไห้มาตลอดทางั้แ่บ้านของหลี่ฟู่กุ้ย นางสะอึกสะอื้นเล่าอาการของสามีตลอดสองวันมานี้ให้ฟัง
“แม่หนูเป่าจู เ้ารีบดูเถอะ ว่าเขาเป็อะไรกันแน่” หลี่ฟู่กุ้ยเองก็ร้อนใจตามไปด้วย
ใช่ว่าเขาเป็หมอมีคุณธรรมสูงส่งอะไรมากมาย แต่กังวลว่าถ้าป้ายโฆษณามีชีวิตอย่างิเป่าจูถูกทำลาย ต่อไปตนเองก็จะหาเงินไม่ได้อีกแล้ว
ิเป่าจูตรวจอาการโดยไม่ต้องรอให้เขามาบอก
แต่หญิงผู้นั้นร้องไห้อย่างหนัก เสียงดังจนนางไม่มีสมาธิ
“นี่ พี่สะใภ้ท่านนี้ ข้าว่าท่านช่วยหุบปากหน่อยได้หรือไม่ คิดว่าตนเองร้องเพลงอยู่หรือ ช่างไม่รู้บ้างเลยว่าระคายหูเพียงใด”
หลี่ไหวฺอวี้ยืนกอดอก อ้าปากพลางหาววอดพิงกรอบประตูด้วยท่วงท่าเอ้อระเหย ก่อนยกมือขวาขึ้นมาแคะหู สายตาเผยแววรังเกียจเดียดฉันท์
หลี่กุ้ยเฟินถูกตวาด เสียงร้องไห้ก็พลันชะงักลง ประกอบกับหวาดกลัวสายตาเย็นะเืของหลี่ไหวฺอวี้ จึงค่อยๆ เงียบเสียงลง
ถูกชายหนุ่มที่ดูทรงเกียรติ ทั้งยังหน้าตาโดดเด่นเอ่ยปากตำหนิเช่นนี้ แม้ว่านางจะเป็สตรีออกเรือนแล้ว ก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนและอับอายอยู่ไม่น้อย
ถึงคำพูดของหลี่ไหวฺอวี้จะไร้มารยาท แต่ิเป่าจูก็รู้สึกขอบคุณที่เขาช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้กับตนเองใหม่
ในที่สุดรอบด้านก็เงียบสงบ ิเป่าจูจึงสามารถรับรู้ถึงการเต้นของชีพจรได้อย่างละเอียด
“เป็อย่างไรกันแน่... เ้าช่วยพูดอะไรบ้างสิ” หลี่กุ้ยเฟินกำลังจะตะเบ็งเสียง แต่พอมองไปที่หลี่ไหวฺอวี้ เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็เปลี่ยนมากระซิบถามแทน
ชีพจรพร่อง [1] และสับสน ิเป่าจูครุ่นคิดอยู่นานถึงกล่าวว่า “เขาต้องพิษ”
“ต้องพิษ นี่เ้าถึงกับวางยาพิษในยาเชียวหรือ” หลี่กุ้ยเฟินโพล่งออกมาโดยไม่ต้องผ่านการไตร่ตรอง
“ข้ากับเขาไม่มีความแค้นหรือบาดหมางต่อกัน แต่ถึงจะมี ข้าก็ไม่โง่พอที่จะใส่ยาพิษในยาที่ตนเองเป็ผู้ออกคำสั่ง”
ิเป่าจูมองหลี่กุ้ยเฟินด้วยเสียหน้าเ็า
ชาวบ้านที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ต่างฉุกคิดขึ้นมา พวกเขาต่างก็เคยพูดว่าร้ายิเป่าจูไว้มากมาย หลายคนเพิ่งจะได้รับยามาวันสองวัน พวกเขาคงไม่กลายเป็เช่นนี้เหมือนกันกระมัง...
เชิงอรรถ
[1] ชีพจรพร่อง เมื่อััทั้งสามระดับ จะรู้สึกว่าไม่มีกำลัง เมื่อััเบาจะรู้สึกไม่มีแรง เล็ก แต่พอกดลึกกลับหายไป
