โจวโม่เสวียนปริวิตกอยู่ในใจ นึกเสียดายว่าควรพาหลี่หรูอี้มาตรวจรักษาแม่ทัพติงให้เร็วกว่านี้สักหน่อย ยามนี้เกรงว่าจะช่วยชีวิตแม่ทัพติงไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ทุกคนล้วนรู้สึกเสียดายอยู่ในใจที่มาช้าไป
แต่หลี่หรูอี้กลับเอ่ยอย่างสุขุมยิ่งว่า “ท่านชาย ท่านทรงให้กระหม่อมดูผู้ป่วยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนรีบแนะนำหลี่หรูอี้ให้บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงได้รู้จัก “ท่านผู้นี้ก็คือหมอเทวดาน้อย ที่เคยรักษาข้าจนหายเมื่อคราก่อน และยาขับพยาธิที่พวกท่านกินในค่ายทหารก็เป็สูตรยาที่เขาปรุงขึ้นมา”
“ที่แท้เป็ท่านหมอเทวดาน้อยนี่เอง เชิญทางนี้ขอรับ” บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเป็ชายหนุ่มหน้าตาหมดจด สวมหมวกสีดำ เสื้อสีน้ำเงิน เขาไม่ได้คิดมากใดๆ ยามนี้แม้จะคว้าไว้ได้เพียงความหวังอันน้อยนิด ก็ไม่อาจละทิ้งไปได้ จึงพาทุกคนไปที่เรือนหลักที่แม่ทัพติงพักอยู่
เจียงชิงอวิ๋นเห็นว่าคนที่อยู่ภายนอกเรือนหลักล้วนเป็คนในครอบครัวติง จึงให้บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเชิญทุกคนออกไปก่อน เพื่อให้สงบเงียบหลี่หรูอี้จะได้มีสมาธิในการตรวจรักษา
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเคยพบเจียงชิงอวิ๋นมาก่อนแล้วที่จวนเยี่ยนอ๋อง รู้ว่าเขาสนิทสนมกับโจวปิงประหนึ่งพี่น้องแท้ๆ จึงสั่งการลงไปตามนั้นทันที และมิได้แพร่งพรายเื่ที่หมอเทวดาน้อยมาตรวจรักษาให้แม่ทัพติง
คนสกุลหลี่ยกเว้นหลี่หรูอี้ล้วนรออยู่ที่ห้องรับแขก โจวโม่เสวียน เจียงชิงอวิ๋น และหลี่หรูอี้ ตามบุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเข้าไปในห้องนอน และได้พบกับแม่ทัพติงที่กำลังหายใจรวยริน กับฮูหยินติงที่เอาแต่ร้องไห้จนแทบหายใจไม่ทัน
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเพิ่งเข้าประตูมาก็ปาดน้ำตาจนแห้ง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ท่านแม่ขอรับ ท่านชายทรงเชิญท่านหมอเทวดาน้อยมาตรวจรักษาท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งร้องไห้ ขยับไปนั่งข้างๆ ก่อน ไม่แน่ว่าท่านหมอเทวดาน้อยอาจสามารถช่วยชีวิตท่านพ่อก็เป็ได้ขอรับ”
ฮูหยินติงลุกขึ้นพลางมองเจียงชิงอวิ๋นและวิงวอนว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยเ้าคะ ข้าขอร้องท่าน โปรดช่วยสามีของข้าด้วย” นางนึกว่าหลี่หรูอี้เป็เด็กรับใช้ของโจวโม่เสวียนไปเสียแล้ว
เจียงชิงอวิ๋นชี้ไปทางหลี่หรูอี้ “ท่านผู้นี้ต่างหากคือท่านหมอเทวดาน้อยขอรับ”
หลี่หรูอี้ตรงเข้าไปหาแม่ทัพติง เห็นเขานอนอยู่ใต้ผ้าห่มนวมผ้าไหม ใบหน้าซีดเขียว สองตาปิดสนิท ลมหายใจออกมากแต่ลมหายใจเข้าน้อย อาจจะขาดใจได้ทุกเมื่อ สถานการณ์คับขันเสียอย่างยิ่ง นางไม่มีเวลามัวมาสนใจคำพร่ำพรรณนาของทุกคน แต่ถามไปทันใดว่า “าแต้องศรของผู้ป่วยอยู่ที่ใด เปิดเสื้อผู้ป่วยออกเดี๋ยวนี้ ให้ข้าดูาแ”
ไม่ผิดเลย แม่ทัพติงผู้นั้นก็คือ แม่ทัพที่โจวโม่เสวียนบอกว่า ต้องศรอาบยาพิษของทัพศัตรู และหัวลูกศรยังคงค้างอยู่ภายในร่าง ไม่อาจกำจัดพิษออกไปได้หมด
“ได้ขอรับ” บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงรีบเข้าไปเปิดผ้าห่มและเปิดเสื้อของแม่ทัพติงออก เผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยรอยแผลเก่าและเห็นว่าผิวที่หน้าอกทางด้านขวาเป็สีเขียวแถบใหญ่ ส่วนอกทางด้านซ้ายก็มีครึ่งหนึ่งที่มีสีเขียวอ่อน
ขอเพียงเป็ผู้ที่มีความรู้วิชาแพทย์เพียงเล็กน้อยก็จะมองออก หน้าอกทางด้านขวาของแม่ทัพติงต้องพิษ และพิษก็แผ่ไปยังอกทางด้านซ้ายแล้ว
สุราสามารถเร่งการไหลเวียนโลหิต ผู้ที่ถูกพิษจึงดื่มสุราไม่ได้ หาไม่พิษก็จะกำเริบ พิษจะไหลตามกระแสเืไปทั่วร่างและทำให้คนผู้นั้นถึงตายได้
มิน่าเล่า แม่ทัพติงจึงไม่อาจดื่มสุราได้
โจวโม่เสวียนมีความนับถืออยู่เต็มสีหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอาน้อย ทุกคราที่ท่านลุงติงของข้าออกสู้ศึกก็จะอยู่แนวหน้า ท่านดูที่หน้าอกของเขาสิล้วนเต็มไปด้วยาแ”
ฮูหยินติงมองผ่านแผ่นหลังของหลี่หรูอี้ด้วยความรู้สึกตึงเครียดหาใดเปรียบ ร้องถามลั่นว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย สามีของข้าจะมีชีวิตรอดหรือไม่เ้าคะ”
หลี่หรูอี้กำลังรวบรวมสมาธิจับจ้องไปที่อกด้านขวาของแม่ทัพติง มีผิวส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็สีเขียวดำกินพื้นที่กว้างเท่าผลท้อ จึงชี้ไปที่บริเวณนั้นพลางถามว่า “หัวลูกศรอาบยาพิษอยู่ตำแหน่งนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว อยู่ที่นี่ขอรับ หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีหมอคนใดกล้าเอาหัวลูกศรอาบยาพิษในอกบิดาข้าออกมาเลยขอรับ”
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ข้าทำได้
นางนั่งลงตรวจชีพจรให้แม่ทัพติง อาการของเขาดีกว่าที่นางคาดไว้สักหน่อย สาเหตุเพราะแม่ทัพติงเป็ผู้ที่ฝึกยุทธ์มานานปี พื้นฐานร่างกายจึงดีอย่างยิ่ง ความสามารถในการต้านทานพิษจึงมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพติงยังมีกำลังใจเข้มแข็งนัก มีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
ฮูหยินติงอดที่จะเดินไปทางด้านหลังหลี่หรูอี้ไม่ได้ และถามนางว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ”
หลี่หรูอี้ตอบว่า “ยังดีที่ข้ามาทัน ผู้ป่วยยังมีทางรักษา”
“อ๊า...” ฮูหยินติงยินดีจนร้องเสียงลั่นขึ้นมาก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง โชคดีที่โจวโม่เสวียนอยู่ใกล้ๆ เขาจึงรีบเข้าไปประคองตัวนางไว้ได้ทัน
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงร้องขึ้นมาอย่างใ “ท่านแม่!”
คิ้วงามของหลี่หรูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น เขย่งเท้าขึ้นไปกดที่ร่องจมูกของฮูหยินติง เมื่อนางฟื้นแล้วจึงให้บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงรีบพานางออกไปจากห้องนอน
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านเป็ห่วงท่านพ่อข้า แต่ในห้องมีคนมากเกินไป เกรงว่าจะรบกวนท่านหมอเทวดาน้อยเอาได้ ท่านก็รออยู่ที่ห้องข้างๆ เถิดขอรับ”
ผู้อื่นไม่รู้ แต่โจวโม่เสวียนจะไม่รู้ได้หรือ
ฮูหยินติงผู้นี้เป็คู่รักกับแม่ทัพติงมาแต่ครั้งเยาว์วัย จึงรักใคร่กันยิ่งนัก
แต่แรกนั้นฮูหยินติงให้กำเนิดบุตรีแก่แม่ทัพติงสามคน เหล่าผู้าุโในตระกูลจึงให้เขารับอนุ แต่แม่ทัพติงยืนกรานไม่เห็นด้วย จนในที่สุดก็มีเพียงฮูหยินติงเป็สตรีของเขาผู้เดียว แม้แต่ข้างห้อง[1]ก็ยังไม่มี
โจวโม่เสวียนเคยได้ยินเยี่ยนหวังเฟยพระมารดาของตนเอ่ยเื่ของแม่ทัพติงสามีภรรยามาไม่ใช่แค่ครั้งเดียว และเขายังคงจดจำได้ถึงสีหน้าของเยี่ยนหวังเฟยที่มีต่อฮูหยินติงได้อย่างชัดเจน
โจวโม่เสวียนบอกกับฮูหยินติงว่า “ท่านป้า ท่านหมอเทวดาน้อยมีวิชาแพทย์สูงส่งยิ่งนัก ท่านโปรดวางใจ ท่านลุงติงของข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อได้แน่ขอรับ”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว ครานี้เขาพาคนมาอีกสองคนคือ บุตรชายคนรองและหลานชายคนโตของแม่ทัพติง
บุตรชายคนรองของแม่ทัพติงกลับมีสีหน้าสงสัย สายตาของเขามองกลับไปกลับมาระหว่างหลี่หรูอี้กับโจวโม่เสวียน นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านหมอเทวดาน้อยจะอายุน้อยเพียงนี้ พลันคิดในใจว่า ช่างเถิด โรคของท่านพ่อของข้านั้นเกินเยียวยาแล้ว ผู้ใดก็ช่วยเขาไม่ได้ ก็ให้เด็กชายผู้นี้ลองดูสักหน่อย ถือว่ารักษาม้าตายเหมือนรักษาม้าเป็ก็แล้วกัน
เจียงชิงอวิ๋นจ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่หรูอี้ ย้อนนึกไปว่าครั้งก่อนที่จวนเยี่ยนอ๋อง นางก็ตรวจอาการของโจวโม่เสวียนด้วยท่าทีมั่นใจและเยือกเย็นเช่นนี้ แต่ครานั้นตนเองก็เคลือบแคลงนางไปเสียทุกเื่ ไม่ได้เหมือนกับคนตระกูลติงที่ล้วนเชื่อใจนาง
หลี่หรูอี้ฝังเข็มเงินลงบนตัวของแม่ทัพติงหลายสิบเล่ม รวมทั้งจุดชีพจรทั้งหกที่บริเวณใบหน้าด้วย ระหว่างนั้นก็คอยเปิดเปลือกตาของเขาดู จับชีพจรให้เขา ท่าทางของนางชำนาญอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้ทุกคนมีความหวังเพิ่มขึ้นมาในใจอีกส่วนหนึ่ง
“ควบคุมพิษไว้ได้แล้ว ตอนนี้จำเป็ต้องถอนพิษ ข้านำโอสถเม็ดถอนพิษมาด้วย หากพวกท่านเชื่อข้าก็ให้ไปนำน้ำอุ่นมาถ้วยหนึ่ง แล้วเอาโอสถถอนพิษนี้ไปละลายให้ผู้ป่วยดื่ม”
น้ำเสียงแสนราบเรียบของหลี่หรูอี้ดังขึ้นที่ข้างหูของทุกคน จากนั้นทุกคนก็หันไปมองบุตรชายคนโตของแม่ทัพติง
“ข้าเชื่อท่านหมอเทวดาน้อย” บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะถอนพิษให้บิดาของตนที่เวลานี้ก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปในประตูยมโลกแล้ว
เมื่อยกถ้วยน้ำอุ่นเข้ามา โอสถเม็ดสีเทาขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ไม่สะดุดตา ก็ถูกหลี่หรูอี้ใส่ลงไปในน้ำอุ่นแล้ว
ทันใดนั้นน้ำอุ่นใสบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนเป็สีเทาปนขาว มีกลิ่นยาอ่อนๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงยากจะทำใจเชื่อได้ว่า ยาเม็ดเล็กๆ แค่นี้จะขจัดพิษร้ายแรงที่รุมเร้าบิดามานานปีได้
นั่นเป็พิษร้ายแรงของแคว้นอริที่มีความเฉพาะตัวเป็พิเศษ และหาได้ยากยิ่งในแคว้นต้าโจวทีเดียว
แต่ปรากฏว่า ขณะที่บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงกำลังป้อนยา หลี่หรูอี้ก็เอ่ยปากบอกว่า “โอสถถอนพิษนี้ต้องให้ผู้ป่วยกินทุกวัน วันละสามครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ดหลังมื้ออาหารครึ่งชั่วยาม ต้องรักษาทั้งสิ้นเจ็ดวัน จึงจะสามารถขจัดพิษในกายไปได้เก้าส่วน ส่วนพิษที่เหลือข้าจะใช้วิธีอื่นกำจัดออก”
ทุกคนคิดในใจว่า ที่แท้โอสถถอนพิษเม็ดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองนี้ต้องกินเจ็ดวัน เช่นนั้นหลังจากถอนพิษได้แล้วจะเอาหัวลูกศรที่อยู่ในอกของท่านแม่ทัพติงออกมาได้หรือไม่
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ข้างห้อง (通房) คือ สาวใช้ที่รับใช้บนเตียงด้วย แต่ไม่ได้ยกฐานะให้เป็อนุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้