กลุ่มคนที่แออัดเบียดเสียดกันอยู่ต่างก็สวมอาภรณ์หรูหรา
กระทั่งราษฎรทั่วไป ก็ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ เหมือนกับวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น
วันนี้เป็วันดีที่ราษฎรทั้งแคว้นจะมาเฉลิมฉลองร่วมกัน
แสงตะวันสาดส่อง
ชายชราที่ขายลูกกวาดเสียบไม้ยังคงส่งเสียงดังเรียกลูกค้าให้เร่เข้ามา
ผ้ากันเปื้อนมอมแมมที่เคยสวม วันนี้ก็เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เช่นกัน
กลางฝูงชนนั้นมีภิกษุยืนอยู่สามรูป
มีเณรน้อย ภิกษุชรา และภิกษุหนุ่ม
จีวรที่เหล่าภิกษุนุ่งนั้นไม่ใช่ผืนใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ผืนเก่าเช่นกัน
บนใบหน้าด้านข้างของเณรน้อยยังมีผ้าปิดตาปิดดวงตาข้างหนึ่งไว้
มองผู้คนที่มารวมตัวกันอย่างหนาแน่น แม้จะเบียดเสียด แต่ใบหน้าของทุกคนล้วนแต่มีรอยยิ้มปรากฏ
เณรน้อยเงยหน้าขึ้นถามภิกษุชราด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ พวกเขามิรู้หรือว่าบนทุ่งหญ้าห่างไกลนั้นมีเื่เกิดขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงไม่โศกเศร้าเลยเล่า”
ภิกษุชรายื่นมือออกมาลูบศีรษะโล้นแวววาวของเณรน้อยเบาๆ “ทุ่งหญ้านั้นอยู่ห่างไกลนัก เ้าไม่ต้องเศร้าโศกไปหรอก ความเศร้าคือความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์ที่สุด พวกเราเป็ผู้บำเพ็ญ ต้องฝึกธาตุทั้งสี่ เ้ายังเล็กนัก รอจนเ้าโตแล้วคงจะเข้าใจ”
เณรน้อยมีท่าทางงุนงง เกรงว่าคงจะมีบางคุณธรรมที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่มีทางจะเข้าใจ ทว่าเขาก็ยังพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านอาจารย์ ข้าทราบแล้ว”
“ท่านอาจารย์ วันนี้เหตุใดพวกเราจึงไม่สวดมนต์เล่า” เณรน้อยเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ภิกษุชรายังไม่ทันได้ตอบอะไร แต่กลับเป็ภิกษุหนุ่มที่แย่งตอบขึ้นมา “ก็เพราะเหล่าพระในวัดเทียนเหรินนั้นช่างเหลือทนนัก เมื่อรู้ว่าวัดของพวกเราถูกทำลายก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็หลังมือ คงจะกลัวว่าพวกเราจะอยู่ยาว จึงได้เอาแต่กลั่นแกล้งกันเช่นนี้ ไม่มีเมตตาแม้แต่น้อย น่ารังเกียจเหลือเกิน”
รูปร่างของภิกษุชรานั้นเตี้ยกว่าภิกษุหนุ่ม จึงลูบศีรษะของภิกษุหนุ่มไม่ได้ ได้แต่ตบลงบนท่อนแขนกำยำของเขาแทน “วางใจเถิด อาจารย์แม้จะแก่แล้วแต่ก็สามารถปกป้องพวกเ้าให้ปลอดภัยได้”
ภิกษุหนุ่มและเณรน้อยต่างก็พยักหน้าหงึกๆ
พวกเขารู้ว่าท่านอาจารย์เองก็หวาดกลัว
บางทีตอนที่ท่านอาจารย์พาพวกเขาจากมา ก็น่าจะเพราะมีนิมิตเกี่ยวกับจุดจบของวัดที่พวกเขาอยู่เป็แน่
เพียงแต่เมื่อนึกขึ้นมาก็อดจะเศร้าโศกไม่ได้ หากว่าท่านอาจารย์รู้ั้แ่แรก เหตุใดจึงไม่พาท่านอาจารย์อากับคนอื่นๆ มาด้วยกันเล่า
ผู้บำเพ็ญต้องฝึกธาตุทั้งสี่ เณรน้อยรู้สึกว่าการบำเพ็ญตนของเขาช่องอ่อนแอนัก ล้วนแต่ควบคุมไม่ได้
ภิกษุทั้งสามยังคงออกเดินต่อ
ไม่ได้หยุดเพื่อรอดูองค์หญิงเช่นคนอื่นๆ
ทั้งยังไม่สนใจหอเรียนของเหล่าบัณฑิตที่มีแต่คนต่างปรบมือชื่นชม
ทว่าพวกเขากลับมุ่งหน้าเดินไปทางราชรถัแทน
ภิกษุชรานั้นพุ่งออกไปขวางราชรถัอย่างไม่กลัวตาย
เมื่อมีคนที่ไม่คาดคิดปรากฏตัวขึ้น ภิกษุชราไม่แม้แต่จะถูกลากออกไป แต่ทั้งภิกษุชรา ภิกษุหนุ่ม และเณรน้อยกลับถูกพากลับไปยังวังหลวง
ฝ่าาเบิกบานพระทัยนัก
ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ประกาศเื่เสี่ยวเล่อมีครรภ์ออกไปแล้ว จะมีเื่มงคลที่ไม่คาดคิดเช่นนี้เกิดขึ้น
วันนี้หง พระโอรสของอดีตฮ่องเต้แคว้นจิง ถึงกับเข้ามาหาเขาด้วยตนเอง
เดิมทีฮ่องเต้แคว้นจิงนั้นไม่เคยจะอยู่ในสายตาเขา
ทว่ายามนี้กลับไม่คาดคิดว่าองค์ชายจากต่างแคว้นจะยอมเข้ามาศิโรราบขอพึ่งใบบุญของแคว้นเชิน ช่างเป็การตบหน้าฮ่องเต้แคว้นจิงโดยแท้
ว่ากันแล้วตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นจิง ฮ่องเต้พระองค์เดียวที่เลื่องชื่อลือนามนั้นย่อมต้องเป็ฮ่องเต้หงตี้
ว่ากันตามปกติแล้ว บัดนี้เขาควรจะเป็โอรสของฮ่องเต้หงผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่พระอนุชารุ่ยของฮ่องเต้หงตี้
เหล่าขุนนางแคว้นเชินเมื่อได้ยินเื่นี้ใบหน้าก็ปรากฏแววฮึกเหิม
แคว้นเชินนั้นยังคงเป็แคว้นแห่งพิธีการ ยังคงเป็แคว้นอันดับหนึ่ง ย่อมจะต้องเลี้ยงเณรน้อยรูปนี้เป็อย่างดีอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ คนเหล่านี้เป็แค่ตัวประกันแคว้นจิงเท่านั้น
คำขอของภิกษุชรานั้นช่างสามัญนัก ขอแค่เพียงที่อยู่อาศัยสักแห่งเท่านั้น
ฮ่องเต้กำลังเบิกบานใจจึงตอบตกลงทันที ทั้งยังตกลงจะสร้างอารามแห่งหนึ่งบนูเาที่อยู่ใกล้กับสำนักเชินให้
เณรน้อยพลันใ
ท่าทีของผู้ทรงศีลที่ปกติยังพอจะรักษาไว้ได้ ยามนี้กลับไม่เหลือเค้าเดิมเสียแล้ว
“ท่านอาจารย์ ข้าคือองค์ชายแคว้นจิงหรือ ท่านแม่ของข้าบัดนี้คือฮองเฮา ท่านไม่ได้กล่าวว่าเก็บข้าได้จากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์หรือ”
ภิกษุหนุ่มก็งงงวยเช่นกัน ขณะเดียวกันก็กังวลนัก
“ท่านอาจารย์ ผู้บำเพ็ญมิพูดโป้ปด หากว่าพวกเราโกหกฮ่องเต้แคว้นเชิน แล้ววันหนึ่งเกิดถูกจับได้ขึ้นมา พวกเรามิต้องละสังขารแล้วไปพบพระพุทธองค์เลยหรือ”
ภิกษุชราหยิบไม้มู่อวี๋ขึ้นมา “ป๊อกๆๆ” เสียงไม้เคาะกระทบศีรษะลูกศิษย์พลันดังขึ้น
“สือชี อาปา พวกเ้าจิตใจฟุ้งซ่านนัก อาจารย์ก็เพียงแค่ช่วยพวกเราให้มีชีวิตรอดเท่านั้น ต่อไปนี้เื่จริงหรือเท็จก็ห้ามพูดขึ้นมาอีก”
เณรน้อยและภิกษุหนุ่มต่างก็งุนงง
ทว่าบัดนี้พวกเขามีรถม้าให้นั่งแล้ว
ยามนั่งอยู่ในรถม้า
ภิกษุหนุ่มก็กล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นพวกเราสามารถกลับไปที่วัดเทียนเหริน ไปเอารถม้ากับม้าขาวของพวกเราคืนได้หรือไม่ พวกที่ไล่พวกเราออกมานั้นช่างน่ารังเกียจนัก ยามนี้ข้าขอตีพวกเขาสักครั้งได้หรือไม่”
ภิกษุชราได้แต่ขมวดคิ้ว “…”
เณรน้อยไม่ได้กล่าวอันใด เพียงแต่เหม่อมองนอกหน้าต่าง
ท่ามกลางฝูงชนอันแสนคึกคัก ก็ยังมีคนสวมชุดขาดเก่าอยู่เช่นกัน
ดูแล้วเหมือนว่าจะเป็ขุนนางของแคว้นเชิน
ชายในชุดขาดวิ่นนั้นเหมือนว่าจะเป็ขุนนาง
เณรน้อยมองชายคนนั้นแล้ว ในใจก็เกิดความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมา
ชายชุดขาดวิ่นที่ยืนท่ามกลางฝูงชนนั้น ก็คือนายอำเภอเฉินเจี๋ยอวี๋ที่เพิ่งจะได้รับการอภัยโทษ
เขาไม่เพียงจะได้รับการอภัยโทษ
แต่ยังได้เลื่อนขั้นอีกด้วย
จากนายอำเภอเล็กๆ ขั้นเจ็ดเลื่อนตำแหน่งเป็ขั้นห้า เป็อาจารย์ผู้ดูแลบัณฑิตในสำนักเชิน
ตำแหน่งเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนักในวงการขุนนาง
โดยเฉพาะในวงการขุนนางฝ่ายพลเรือนในแคว้นเชิน การเลื่อนขั้นนั้นมีกฎเกณฑ์เข้มงวดนัก
โดยปกติแล้วจะเลื่อนเพียงครึ่งขั้นเท่านั้น เื่ที่จะเลื่อนขึ้นทีเดียวสองขั้นนั้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง
แม้จะเป็ตำแหน่งอาจารย์ผู้ดูแลของสำนักเชิน สำหรับราชสำนักก็นับว่าไม่มีอำนาจใดๆ ทว่าก็ถือว่าเป็ตำแหน่งที่สูงส่ง
หากว่าทำหน้าที่นี้ได้ดี อนาคตอยากจะเป็อัครมหาเสนาบดีก็ยังสามารถทำได้
นี่นับว่าเป็การปลอบใจและชดเชยของเหล่าขุนนาง
เฉินเจี๋ยอวี๋นั้นเป็ขุนนางพลเรือน สามารถทำได้เช่นนี้ ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็รู้สึกว่าได้ตบหน้าแม่ทัพฉาดใหญ่แล้ว เช่นนี้ก็เพื่อรักษาหน้าของเหล่าปัญญาชน จึงจำเป็ต้องชดเชยสักหน่อย
อีกประการหนึ่งคือเหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งล้วนแต่นึกดูถูกผู้ตรวจการ
โดยเฉพาะผู้ตรวจการในครั้งนี้ที่ยั่วโทสะของหลายๆ คน ทั้งยังรีบร้อนให้ร้ายขุนนางผู้มีคุณูปการต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ช่างเกินงามไปสักหน่อย ความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน อย่างไรก็ยังหารือกันได้ ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าหมายจะเอาชีวิตอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งคุณธรรม
อีกทั้งเื่นี้ คุณสมบัติของเฉินเจี๋ยอวี๋ก็ไม่มีปัญหาใด ทั้งเหล่าขุนนางพลเรือนนั้นก็ยังอยากจะรักษาภาพลักษณ์ไว้
ไหนจะยังมีบทกวีวีรชนที่เขาแต่ง บัดนี้ไม่เพียงมีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางปัญญาชน กระทั่งแม่ทัพและพลทหารก็ยังขับร้อง ราษฎรก็ขับขานเช่นกัน
ผลลัพธ์โดยรวมคือเฉินเจี๋ยอวี๋นั้นเพราะิ่ฮ่องเต้จึงต้องติดคุกอยู่หลายวัน เมื่อออกมาแล้วก็ให้ไปทำงานในสำนักเชินได้ทันที
เื่ที่ต้องส่งเขาเข้าคุกก่อนนั้นนับว่าจำเป็ต้องลงโทษ
หลังจากลงโทษแล้ว ชื่อเสียงของเขาก็จะยิ่งเป็ที่รู้จัก วิธีการเช่นนี้เป็วิธีที่เหล่าขุนนางชอบใช้นัก
เฉินเจี๋ยอวี๋ก็ไม่อาจต่อต้านได้
ทว่าภายนอกมีอาภรณ์งามหลากสี ใต้หล้าสุขสงบ ทุกคนล้วนเปรมปรีดิ์ ราวกับที่นี่ได้เปลี่ยนเป็เมือง์
ชายชราได้แต่ลากคนออกมาถามว่าเกิดอันใดขึ้น
ฝ่ายตรงข้ามมองเขาด้วยความรังเกียจคราหนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น “วันนี้เป็วันประสูติของฮองเฮาจ้าว ใต้หล้าจึงร่วมกันเฉลิมฉลอง พระสนมเอกเล่อก็ยังทรงพระครรภ์แล้ว ทั้งในครรภ์ยังเป็องค์ชายน้อย ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งองค์หญิงต่างก็มาร่วมยินดีกับราษฎร ยามนี้อยู่บนถนนเส้นนี้อย่างไรเล่า เ้าไม่รู้เื่นี้ หรือว่าไม่ใช่ชาวแคว้นเชินกัน”
“แล้วทุ่งหญ้าเล่า ที่ทุ่งหญ้าเป็อย่างไรบ้าง” เฉินเจี๋ยอวี๋ดึงแขนเสื้อฝ่ายตรงข้ามอย่างตื่นเต้น
“เ้าวิปลาสหรือ ทุ่งหญ้าอันใดกัน” ยืนพูดไปก็งุนงงนัก เกรงว่าตนจะพบกับคนบ้าเข้าแล้ว จึงได้แต่รีบจากไปทันที
เฉินเจี๋ยอวี๋ยังเดินไปถามอีกหลายคนว่าทุ่งหญ้าเป็อย่างไรบ้าง
แต่คนเ่าั้ก็หาว่าเขาวิปลาสไปแล้ว
สุดท้ายจึงมีบัณฑิตช่วยไขข้อสงสัยของเขา “ฮองเฮาแคว้นจิงมีพระครรภ์ กองทัพจิงบนทุ่งหญ้าก็ถอยทัพแล้ว ทางฝั่งนั้นยังไม่มีข่าวคราวอันใด”
เฉินเจี๋ยอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็บ้าเป็หลังอยู่ท่ามกลางฝูงชน
จากนั้นจึงได้ยินเสียงคนะโขึ้น “องค์หญิงอีช่างเป็หนึ่งในใต้หล้านัก ยามที่อยู่ในหอเรียนยังประพันธ์บทกวีเช่นนี้ได้ ช่างน่าซาบซึ้งใจนัก”
บัณฑิต ราษฎร เด็กน้อยล้วนแต่ร่วมกันร้องรำ
ทั้งถนนจึงอื้ออึงไปด้วยเสียงขับลำนำ
“ดวงเดือนแคว้นฉินส่องผู้กล้า ปรากรทอดไกลหมื่นลี้ ไม่หวน
แต่กำแพงแคว้นเชิน ยังดำรงจะสอนชาวจิงขี่ม้าบนทุ่งหญ้า หาได้”
………
“ดวงเดือนแคว้นฉินส่องผู้กล้า ปรากรทอดไกลหมื่นลี้ ไม่หวน
แต่กำแพงแคว้นเชิน ยังดำรงจะสอนชาวจิงขี่ม้าบนทุ่งหญ้า หาได้”
………
เฉินเจี๋ยอวี๋รีบเดินไปทางสำนักเชิน ด้วยเพราะไม่อยากฟังกลอนบทนี้ ไม่อยากฟังแม้แต่น้อย
สำนักเชินตั้งกว้างใหญ่ แต่กลับไร้วี่แววผู้คน เมื่อเขามาถึงแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าวันนี้สำนักเชินหยุดเรียนหนึ่งวัน
“ข้ามารับตำแหน่ง” เฉินเจี๋ยอวี่ในชุดขุนนางขาดๆ กล่าวขึ้น
ขุนนางที่ถูกทิ้งให้เฝ้าสำนัก ใบหน้าพลันฉายแววตื่นใ ไม่รู้ว่าเหตุใดใต้เท้าผู้ดูแลบัณฑิตมาที่นี่ด้วยสภาพเช่นนี้
ถึงอย่างไรก็ตามยามนี้ใต้เท้าผู้ดูแลบัณฑิตก็นับว่าเป็ผู้บังคับบัญชาของเขา ทั้งยังเป็ใต้เท้าเฉินผู้โด่งดัง ผู้ที่กล้าลั่นระฆังของราชสำนัก เขาไหนเลยจะกล้าทำตัวไม่สุภาพ
“อ้อ มิทราบว่าใต้เท้า้าสิ่งใดหรือไม่”
เฉินเจี๋ยอวี๋นั่งลงบนตั่ง แล้วจึงแหงนมองป้ายโลหะบนประตูใหญ่ของสำนัก แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้าขอรายชื่อให้เด็กเข้าเรียนที่นี่สี่คน”
