เมื่อม่อเวิ่นเฉินที่เดินมาพร้อมกับเหลิ่งเหยียนหันไปเห็นซูฉีฉีที่เหม่อลอยนั้นตนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงเดินไปด้านหน้าหานาง “ฉีฉีเ้าเป็อะไรไป?”
ม่อเวิ่นเฉินมีสีหน้าอ่อนโยนพร้อมมีรอยยิ้มประดับเล็กน้อยท่าทีประหนึ่งคนที่กำลังจะมีเื่มงคลจริงๆ
ซูฉีฉีนิ่งอึ้งไปก่อนจะรีบก้มหน้าลงมือของนางกำดอกเหมยทั้งสองดอกไว้แน่น “ที่แท้เป็ท่านอ๋องนี่เองข้า...ไม่เป็อะไร”
สำหรับท่าทีห่างเหินของซูฉีฉีนั้นม่อเวิ่นเฉินมิได้เก็บมาใส่ใจนัก นางเป็เช่นนี้มาโดยตลอด ถ้าจะเปลี่ยนคงต้องใช้เวลา
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ม่อเวิ่นเฉินก็หันไปส่งสายตาให้กับเหลิ่งเหยียนเพื่อให้ออกไปก่อนจากนั้นเขาก็มายืนอยู่ข้างกายซูฉีฉีพลางหันไปมองดอกเหมยที่บานเด่นอยู่บริเวณนั้น“หลังจากปีใหม่ผ่านไป ข้าจะแต่งฮวาเชียนจือมาเป็ชายารองเื่นี้ให้เ้าเป็คนจัดการก็แล้วกัน”
ประโยคนี้ของเขาหมายความว่าจะมอบอำนาจของนายหญิงจวนอ๋องให้กับนางอย่างนั้นหรือ
แต่ว่าสิ่งที่นางซูฉีฉี้าไม่ใช่สิ่งเหล่านี้นางไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย
แต่ว่านางยังจะสามารถพูดอันใดได้อีกทำได้เพียงแค่พยักหน้าแสดงท่าทีประหนึ่งไม่ใส่ใจ “เ้าค่ะท่านอ๋อง”
สำหรับความนิ่งเฉยและเ็าของซูฉีฉีนั้นทำให้ม่อเวิ่นเฉินขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆเดิมเขาคิดว่าแม่หนูคนนี้จะรู้สึกเศร้าใจหรือแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยออกมา ทว่านางกลับไม่มีท่าทีอันใดเลย
เขาถอนหายใจ “เ้าเรียกข้าว่าม่อเวิ่นเฉินดั่งเดิมดีกว่า” อยู่ๆเขาก็รู้สึกเบื่อไม่น้อย
ซูฉีฉีนั้นมีความสามารถที่โดดเด่นไร้ผู้เทียบเทียมทว่าความสงบนิ่งและนิสัยที่ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครนั้นทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่าย กระทั่งม่อเวิ่นเฉินยังรู้สึกเช่นนั้น
นางไม่เหมาะสมที่จะเป็ภรรยาเหมาะสมเพียงแค่จะเป็มือเป็แขนของเขาเท่านั้น ช่วยเขาวางแผนปกครองบ้านเมืองทำการใหญ่โตนั้นนางถือว่าเป็คนที่เหมาะสมที่สุด
แต่ว่าเขาได้ให้คำสาบานกับฮ่องเต้องค์ก่อนตราบใดที่ม่อเวิ่นเสวียนยังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่สร้างาภายในให้กับต้าเยียนจะทำเพียงแค่ช่วยม่อเวิ่นเสวียนเท่านั้น และเพราะว่าประโยคนี้ทำให้ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ตั้งตัวเป็ศัตรู มิได้ใช้พลังอำนาจของตนโค่นล้มม่อเวิ่นเสวียน
ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยทิ้งแล้วจึงหมุนตัวออกไปสิ่งที่เหลือไว้ให้ซูฉีฉีเห็นนั้นมีเพียงแผ่นหลังที่เด่นเป็สง่าของเขาเขายังคงสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวสีดำ บารมีดุจกษัตริย์ของเขากระจายออกมาอย่างปิดไม่มิด
ตอนนี้ซูฉีฉีรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนไม่มีแรงจะก้าวเดินต่อไปแล้วนางทำเพียงแค่ใช้มือหนึ่งจับก้านของต้นไม้ไว้อย่างนั้นขณะมองแผ่นหลังของม่อเวิ่นเฉินที่จากไปเงียบๆจนกระทั่งเขาหายไป นางก็ยังคงยืนอยู่ท่านกลางสายลม
ม่อเวิ่นเฉิน ม่อเวิ่นเฉินคำสามคำนี้ได้สลักเข้าไปในกระดูกของซูฉีฉีแล้วชื่อของเขาได้ดังสะท้อนอยู่ในหัวใจของนางไม่หยุดไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไหร่น้ำตาของนางก็ได้ไหลอาบเต็มหน้าเสียแล้ว
นางนั้นเปราะบางมากไม่กล้าแก่งแย่งชิงดีกับใครทั้งนั้น ทำเพียงแค่มองอยู่อย่างนั้นเฉยๆ
ต้องมอบอำนาจในมือตนให้ซูฉีฉีแน่นอนว่าฮวาเชียนจือนั้นไม่ยินยอม แต่เมื่อคิดไปถึงว่านางกำลังจะได้เป็เ้าสาวไม่เหมาะสมที่จะจัดการเื่นี้ด้วยตนเอง
ทว่านางก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี
เพราะฉะนั้นหลังจากที่เื่ทุกอย่างนั้นถูกส่งต่อไปให้กับซูฉีฉีแล้วนางก็ได้สั่งลูกน้องที่สนิทไปไม่สนว่าจะเป็เื่ใดก็ล้วนห้ามให้ความร่วมมือกับซูฉีฉีโดยเด็ดขาด
เพราะว่านางกำลังจะได้เป็ชายารองของวอ๋องแล้วดังนั้นพวกคนใช้ทั้งหลายยิ่งรีบเอาอกเอาใจนางแน่นอนว่าพวกเขานั้นเชื่อฟังนางเป็อย่างดี
เพราะว่าใกล้จะถึง่ข้ามปีใหม่แล้วซูฉีฉีนั้นก็ยุ่งเป็อย่างมาก นางไม่เคยดูแลจัดการธุระในบ้านมาก่อนโดยเฉพาะจวนอ๋องที่ใหญ่โตเช่นนี้ เื่ทุกอย่างล้วนต้องให้นางจัดการภายใน่เวลาอันสั้นนั้นนางไม่รู้จะทำเช่นไรดี ทว่านางก็ไม่อาจยอมแพ้ได้ จึงได้แต่อดทนทำมันต่อไป
ความทุกข์ในใจนั้นยังคงอยู่แต่นางก็รู้ว่าตนแก้ไขอะไรไม่ได้ จึงไม่ได้คิดอะไรต่ออีก ชีวิตนี้ของนางถูกกำหนดให้เป็เช่นนี้ไว้แล้ว
ทว่าเมื่อตอนที่นางกำลังจะต้องเตรียมของสำหรับงานปีใหม่นั้นผู้คุมบัญชีกลับให้โจทย์ยากกับนาง เขาบอกนางว่าตัวเลขในบัญชีนั้นไม่ถูกต้องต้องตรวจสอบเสียก่อนถึงจะถอนเงินออกมาได้
นางย่อมไม่เชื่อแน่นอนฮวาเชียนจือนั้นย่อมไม่ยอมมอบอำนาจให้นางอย่างง่ายดายเป็แน่ทว่าซูฉีฉีนั้นกลับไม่หาเื่ทะเลาะวิวาทกับผู้คุมบัญชีนางเพียงพูดว่าหลังจากนี้อีกสามวัน นางจะเป็คนตรวจบัญชีด้วยตนเอง
คำพูดของนางมิได้หาเื่หรืออ่อนข้อให้ทุกอย่างดูเห็นควรและเหมาะสม แต่นั่นกลับทำให้ผู้คุมบัญชีไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อดี
ฮวาเชียนจือที่กำลังจมอยู่กับความสุขนั้นเมื่อได้ยินรายงานของผู้คุมบัญชี นางก็ได้คิดแผนการให้กับเขา
เมื่อกำหนดการสามวันมาถึงซูฉีฉีก็เห็นสมุดบัญชีที่กองทะเนินอยู่บนโต๊ะ คิ้วเรียวงามก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆทว่าสีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยน
นางรู้ว่าถ้าหากจัดการเื่นี้ได้ไม่เรียบร้อย คนอื่นก็ยิ่งจะเอ่ยดูถูกเย้ยหยันนางอีกทั้งยังไม่ให้ความร่วมมืออีกด้วย
แม้ว่านางจะไม่เคยดูสมุดบัญชีมาก่อนแต่ว่านางนั้นก็ได้อ่านหนังสือมานับไม่ถ้วน และยิ่งรู้ถึงพื้นฐานของการคิดคำนวณเพราะนั่นคือความรู้ที่จำเป็สำหรับการเขียนใบสั่งยา
นางคว้าสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะกวาดตาอ่านมันอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
แขนเสื้อสีขาวสะอาดของซูฉีฉีนั้นก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นจำนวนไม่น้อยทว่านางก็หาได้ใส่ใจไม่เพราะมีเพียงแต่หาเื่มาเบี่ยงเบนสมาธิของตนเท่านั้นที่จะทำให้นางไม่ไปคิดถึงเื่งานแต่งระหว่างม่อเวิ่นเฉินและฮวาเชียนจือมากนัก
“รายได้ของห้องยานั้นมีมากกว่ารายจ่ายถึงสามเท่าและยิ่งมีภาษีที่ดินที่เรียกเก็บ ตอนที่ข้าและท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่รายจ่ายจะมีเยอะกว่ารายได้ถ้าเช่นนั้น ขอถามเ้าหน่อยว่าจำนวนเงินที่เหลือนั้นเ้าเก็บกลับบ้านไปแล้วหรือว่าเหลือทิ้งไว้ให้คุณหนูฮวากันล่ะ?” ซูฉีฉีมิได้อ้อมค้อม นางเอ่ยถามออกมาตรงๆ ก่อนจะจ้องไปที่ผู้คุมบัญชีที่อยู่เบื้องหน้า
นางรู้อยู่แล้วว่าคนผู้นี้กำลังหาปัญหาที่ยุ่งยากมาให้กับตนและนางเองก็รู้ว่าหากตนนั้นทนต่อไปแล้วจะยิ่งกลายมาเป็ตัวตลกของผู้คนมากขึ้น หรือกระทั่งว่าในอนาคตนั้นนางก็จะไม่มีฐานะอยู่ในจวนอ๋องนี้อีกต่อไป
ในเมื่อม่อเวิ่นเฉินนั้นคิดจะมอบทุกอย่างให้นางเป็คนจัดการนางก็จะตั้งใจทำมันเป็อย่างดี
“ใส่ร้ายป้ายสี” ผู้คุมบัญชีนั้นแสดงท่าทีโมโหออกมา เขาคิดว่ามีฮวาเชียนจือเป็คนคอยสนับสนุนจึงกล้ากำเริบถึงเพียงนี้
“พูดออกมาว่าเงินที่เหลืออยู่นั้นไปอยู่ที่ใดแล้ว” ซูฉีฉีขยับแขนเสื้อเบาๆ ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เสียงของนางราบเรียบเอ่ยออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
นางมองไปที่ผู้คุมบัญชีซึ่งมีอายุมากแล้วอย่างเ็า
“เ้า...” ผู้คุมบัญชีไม่รู้จะอธิบายออกมาเช่นใดดี เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าซูฉีฉีนั้นจะดูสมุดบัญชีรู้เื่กระทั่งฮวาเชียนจือที่คุมจวนอ๋องมาตั้งหลายปีนั้นก็ยังไม่เคยดูสมุดบัญชีเ่าั้ด้วยตนเองเพราะว่านางดูไม่รู้เื่แม้แต่น้อย
“ข้าเป็พระชายาของท่านอ๋อง” เสียงของซูฉีฉีดังขึ้น ดวงตาของนางยังคงนิ่งสงบดังเดิม
ผู้คุมบัญชีเมื่อได้ยินที่นางเอ่ยขึ้นก็เหมือนสะดุ้งตื่นออกมาจากความฝันจริงสิ ไม่ว่าอย่างไรซูฉีฉีก็ถือว่าเป็พระชายาที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งขึ้น
ผู้คุมบัญชีรีบคุกเข่าลงอย่างรู้สถานการณ์“ขอพระชายาทรงลงโทษด้วย”
“ต้องลงโทษแน่” ซูฉีฉีนั้นหยิบเอาสมุดบัญชีขึ้นมายกสูงพลางเอ่ยออกมานิ่งๆ “พรุ่งนี้ เ้าเบิกเงินในบัญชีของค่าแรงเดือนหนึ่งแล้วกลับบ้านเก่าไปพักผ่อนเสียเถิด”
น้ำเสียงของนางไม่สูงมากแต่ก็ไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย
ผู้คุมบัญชีในตอนนี้รู้สึกนิ่งอึ้งไปในทันทีก่อนจะรีบโคกศีรษะลงกับพื้น “ขอพระชายาโปรดเมตตาด้วย...”ซูฉีฉีนั้นหมุนตัวออกไปโดยไม่หันกลับไปมองสักนิด
นี่เป็การเชือดไก่ให้ลิงดูแม้ว่านางจะรู้สึกสงสารอยู่บ้าง ทว่ากลับจำเป็ต้องทำเช่นนี้
จนกระทั่งร่างของซูฉีฉีได้หายไปจากสายตาแล้วผู้คุมบัญชีถึงลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะเดินไปทางเรือนพักของฮวาเชียนจือมีเพียงแต่ต้องขอร้องนางให้ช่วยเท่านั้นแล้ว
ฮวาเชียนจือกำลังแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจกพลางลองสวมใส่เครื่องประดับที่ส่งมาจากแคว้นป่ายฮวาสีหน้าสดใสเริงร่าเป็ที่สุด
เมื่อนางเห็นผู้คุมบัญชีมีสีหน้าอมทุกข์นั้นคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ “ทำหน้าอมทุกข์นั้นให้ใครดูกัน?”
ผู้คุมบัญชีนั้นค่อยๆเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฮวาเชียนจือฟังอย่างระมัดระวัง
เมื่อได้ยินเื่เล่าทั้งหมดนั้นคิ้วของฮวาเชียนจือก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้นโครงหน้าที่งดงามได้รูปของนางบิดเบี้ยวเข้าหากันจนเสียรูป ก่อนที่นางจะกัดฟันแน่น“ไม่เลวนี่ซูฉีฉี ข้าดูเบาเ้าไปเสียแล้ว”
พูดพลางโยนเสื้อเ้าสาวในมือของตนทิ้งและยืนขึ้น“คอยดูแล้วกัน”
จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป มุ่งหน้าไปที่เรือนพักของซูฉีฉีในทันที
ซูฉีฉีขยับมือเขียนพู่กันพลางครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรให้สมุดบัญชีของจวนอ๋องนั้นรวบรัดมากขึ้นนางนั้นได้นำความสนใจทั้งหมดมาทุ่มเทให้กับการจัดการเื่ในจวน
ซูฉีฉีเห็นฮวาเชียนจือรีบวิ่งก้าวมาทางนี้ทว่านางยังคงไม่หยุดการกระทำของตนนางกวาดสายตาเยือกเย็นมองไปรอบหนึ่งก่อนจะทำงานในมือของตนต่อ
“ซูฉีฉีเ้าอย่าคิดจะรังแกคนให้มันมากนัก” ฮวาเชียนจือเดินเข้ามาถึงก็ะโออกมาเสียงดังพลางยกมือทั้งสองขึ้นเท้าเอว
ม่อเวิ่นเฉินที่อยู่ห้องพักด้านข้างในเรือนเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็ยื่นศีรษะออกมาดู ทว่าเขากลับไม่ได้ขยับตัว เขากำลังคิดว่าเื่เล็กแค่นี้คงทำอะไรซูฉีฉีไม่ได้
“ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของคุณหนูฮวานั้นหมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงของซูฉีฉีนั้นยังคงราบเรียบ ไม่แฝงด้วยอารมณ์ใดๆ
เมื่อเห็นซูฉีฉีเป็เช่นนี้ฮวาเชียนจือก็ได้แต่กัดฟันพลางกระทืบเท้าอย่างแรง “เหล่าจ้าวทำอะไรผิดเ้าถึงสั่งให้เขากลับบ้านเก่าไปพักผ่อนนี่มันเป็การกลั่นแกล้งคนอย่างเห็นได้ชัด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้