“คุณหนูเว่ยเหมาภัตตาคารไว้ทั้งหมดแล้ว พวกเ้าออกไปข้างนอกกันได้แล้ว หากใครไม่ฟัง ข้าจะหักขาของคนผู้นั้นซะ!” ชายชาวอาณาจักรจ้าวคนนั้นมองไปรอบ ๆ ก่อนจะแผดเสียงะโด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวราวกับกำลังขับไล่
“เป็หานเจิ้ง ลูกน้องของผู้บังคับบัญชาองครักษ์หลวงมู่เยี่ยน ดูท่าหญิงผู้นี้จะเป็คนใหญ่คนโต พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!” มีคนจำตัวตนของชายหนุ่มคนนั้นได้ จึงเผยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะออกไปจากที่นี่พร้อมสหายสองสามคน ส่วนคนที่เหลือเห็นสถานการณ์แล้วต่างก็ทยอยออกไปโดยไม่กล้าอยู่ต่อ องครักษ์หลวงไม่ใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้
ขณะที่เย่เฟิงมองท่าทีโอหังของหานเจิ้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะดื่มด่ำกับอาหารบนโต๊ะต่อโดยไม่คิดจะออกไปจากที่นี่ เขาเย่เฟิงยังกินไม่เสร็จ แล้วเหตุใดต้องฟังคนอื่น? อีกอย่างจ้าวซินอี๋ยังนัดพบเขาที่ภัตตาคารแห่งนี้ ทำให้เขาออกไปตอนนี้ไม่ได้
หลังจากทุกคนออกไป ชั้นสองของภัตตาคารก็เหลือเย่เฟิงคนเดียวที่ยังไม่ไปไหน
“คนอื่นไปหมดแล้ว ทำไมเ้ายังอยู่ แล้วยังไม่รีบไปอีก?” หานเจิ้งเห็นเย่เฟิงยังไม่ไปไหน จึงขึ้นเสียงใส่เย่เฟิงเช่นนั้น ทว่าเย่เฟิงกลับเมินคำพูดและไม่สนใจไยดีอีกฝ่าย
“เ้าหูหนวกหรือไง? ข้าจะให้เวลาเ้าสามลมหายใจ รีบไสหัวออกไปจากสายตาข้า หาไม่แล้วจงรับผลที่ตามมาเองซะ!” หานเจิ้งกล่าวด้วยความโมโห พร้อมกับเดินไปหาเย่เฟิงทีละก้าว เมื่อเขาเดินไปถึงโต๊ะที่เย่เฟิงอยู่ เวลาก็ครบสามลมหายใจพอดี
“เ้าคนไร้ค่า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจะจัดการเ้าแทนคุณหนูเว่ย!” หานเจิ้งตาเผยประกายเย็นเยือกขณะมองเย่เฟิงด้วยท่าทีโอหัง ราวกับเห็นเย่เฟิงเป็มดแมลง จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดใส่เย่เฟิงด้วยพลังของขั้นรวมชี่ที่ 7
“ไปให้พ้น!” แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง จากนั้นเห็นเขาเหยียดมือออกไปคว้าจับกำปั้นของหานเจิ้ง ด้วยพลังมหาศาลทำให้หานเจิ้งมิอาจขยับตัวได้ จากนั้นเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น กระดูกบริเวณกำปั้นของหานเจิ้งถูกเย่เฟิงบดขยี้จนเขาส่งเสียงร้องโหยหวนและอยากถอยออกไป แต่เย่เฟิงจับกำปั้นเขาไม่ปล่อย ทำให้ไปไหนไม่ได้
“สวะอย่างเ้ากล้าดียังไงมาทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า? ไม่รู้จริง ๆ ว่าเ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน!”
เย่เฟิงช้อนตาขึ้นมองหานเจิ้งด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม หานเจิ้งนั้นใช้ฐานะองครักษ์หลวงกำเริบเสิบสานในภัตตาคาร ขับไล่ทุกคนออกไป แต่เขาเย่เฟิงไม่ใช่คนที่จะรังแกกันได้ง่าย ๆ จึงไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย แต่หากยั่วโมโหเขา เขาจะทำให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยราคาแสนเ็ป
“เ้ากล้าทำลายแขนข้างั้นหรือ? วันนี้อย่าคิดจะออกไปจากที่นี่เลย ข้าองครักษ์หลวงไม่มีทางปล่อยเ้า!” หานเจิ้งกล่าวด้วยเสียงดุดัน พร้อมกับมีสีหน้าขาวซีด แต่แววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง
“จริงหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม และกล่าวต่อว่า “ในเมื่อองครักษ์หลวงไม่ปล่อยข้า เช่นนั้นข้าจะปล่อยเ้าให้อยู่ต่อไปทำไม?”
เมื่อสิ้นเสียง พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง พลันบรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน จากนั้นพลังฝ่ามือเข้าจู่โจมที่จุดตันเถียนจุดชี่ไห่ของหานเจิ้ง ทำให้หานเจิ้งร้องด้วยความเ็ปอีกครั้ง ตัวสั่นเทาอย่างแรงก่อนร่างจะกระเด็นไป
ฉากนี้ทำให้หญิงสาวที่อยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย และเผยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นนางมองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “เ้าเป็ใคร? แล้วเหตุใดถึงลงมือโเี้เช่นนี้?”
เย่เฟิงกวาดตามองหญิงสาวผู้นั้นด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม “ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่หยุดหมัดนั้นไว้ คนที่จะได้รับาเ็คงจะเป็ข้า หรือเ้าคิดว่าข้าควรปล่อยให้เขาทำร้าย?”
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้ายอมใจในความกล้าของเ้า แม้อยู่อาณาจักรจ้าวแต่ก็กล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า เ้าทำข้ามีน้ำโหจริง ๆ แล้วสิ!”
“พล่ามจบหรือยัง? ถ้าจบแล้วก็พาคนของเ้าไสหัวออกไปจากหน้าข้าเดี๋ยวนี้ อย่ามารบกวนเวลากินข้าวของข้า!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น
“เหิมเกริม!”
ชายหนุ่มลึกลับที่อยู่ด้านหลังหญิงสาวได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เกิดโทสะขึ้นมา จากนั้นเขาเดินมาหาเย่เฟิงพร้อมปลดปล่อยพลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7
“เ้าชาวอาณาจักรจ้าวก็เป็เช่นนี้ ต่ำทราม โอหัง ไม่เห็นหัวผู้ใด วันนี้ข้าจะทำให้เ้าต้องเสียใจที่ทำตัวไม่เคารพคุณหนู!” ชายหนุ่มลึกลับเผยสีหน้าหยิ่งผยอง ราวกับว่าคำพูดของเขาทำให้ตนเองสูงส่งขึ้น จากนั้นเห็นชายผู้นั้นเหวี่ยงหมัดโจมตีที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าทึ่งใส่เย่เฟิง
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ จากนั้นเหวี่ยงหมัดออกไปเช่นกัน ก่อนหมัดทั้งสองจะเข้าปะทะกันกลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นพร้อมกับคลื่นพลังทำลายล้างแผ่พุ่งจนเครื่องใช้บนโต๊ะแตกกระจาย จากนั้นชายหนุ่มลึกลับเซถอยหลังและแขนสั่นระริกเล็กน้อย สายตาที่เขามองเย่เฟิงในตอนนี้ไร้ซึ่งความดูแคลนเฉกเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับแทนที่ด้วยความหวาดกลัว
“เป็ไปได้อย่างไร ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?” ชายผู้นั้นคิดในใจพลางมีสีหน้าไม่สู้ดี
“เ้ายังอ่อนหัดไปที่จะต่อกรกับข้า!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองชายผู้นั้นด้วยสายตาดูแคลน
“เ้าต้องตาย!” ชายผู้นั้นเห็นสายตาดูแคลนและคำพูดเหยียดหยามของเย่เฟิง โทสะของเขาก็ะเิออก ก่อนจะพุ่งโจมตีเย่เฟิงอีกครั้ง
“เสวียนอู่เว่ย กลับมานี่!” ขณะนั้นมีเสียงของหญิงสาวผู้หยิ่งผยองคนนั้นดังมาจากด้านหลังชายผู้นี้ เสวียนอู่เว่ยรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะหยุดชะงักแล้วหมุนตัวเดินไปหาหญิงสาว
“เ้าแตกต่างจากชาวอาณาจักรจ้าวคนอื่น ข้าอยากรู้ว่าเ้ามีนามว่าอะไร?” หญิงสาวกล่าว แม้ลูกน้องจะถูกเย่เฟิงรังแก แต่ก็ยังคงนิ่งเฉย
“เ้าไม่มีสิทธิ์รู้ ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกวาดตามองหญิงสาว ทั้งยังรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เช่นนั้นเขาจะเกรงใจอีกฝ่ายไปไย
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าอึมครึม ที่อาณาจักรเว่ย นางอยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น อยากได้สิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น แต่ได้รับการดูถูกเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
“สวะ เ้ากล้าดียังไงมาพูดจาเช่นนี้กับคุณหนู หากเ้ายืนกรานจะอยู่ที่นี่ แล้วอย่างไร?” เสวียนอู่เว่ยขึ้นเสียงใส่เย่เฟิงพร้อมะเิโทสะออกมา เมื่อครู่ที่ปะทะกับเย่เฟิง เห็นชัดว่าเขาตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ แต่พอได้สติ เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเย่เฟิงอีก
“คนแพ้มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า?” เย่เฟิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ถ้าเ้าสองคนอยากยกพวกมาช่วย ข้ารับรองเลยว่าพวกเ้าจะไม่ได้เข้ามาที่ภัตตาคารแห่งนี้!”
“ดี ดีมาก เ้าพูดเองนะ ถึงเวลานั้นเ้าอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ!” เสวียนอู่เว่ยแสยะยิ้ม
หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะออกไปจากภัตตาคารพร้อมกับเสวียนอู่เว่ย โดยทิ้งหานเจิ้งไว้ที่นี่
ช่างน่าขันนักที่เมื่อครู่เขาหานเจิ้งรับใช้สองคนนั้นราวกับสุนัข บัดนี้กลับถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี
เย่เฟิงดื่มด่ำกับอาหารและสุราต่อโดยไม่สนใจหานเจิ้ง ครู่ต่อมาคนเ่าั้ที่ถูกไล่ออกไปกลับมาเข้ามาใหม่อีกครั้ง ซึ่งพวกเขาอยากรู้ว่าตอนที่พวกเขาออกไปเกิดอะไรขึ้นที่นี่ พวกเขาจึงยิ่งอยากรู้เข้าไปอีกว่าเหตุใดหญิงสาวผู้นั้นและเสวียนอู่เว่ยที่ออกไปกลับมีสีหน้าไม่สู้ดี
หลังจากความวุ่นวายเกิดขึ้น ยังคงมีคนคนหนึ่งนั่งกินดื่มอยู่ตรงนั้น ทำให้หลาย ๆ คนต้องใ แม้หานเจิ้งจะขับไล่ แต่ไม่นึกว่าคนผู้นี้จะยังไม่ไปไหน อีกอย่างยังมีร่องรอยการต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ว่าใครสู้กับใคร
ตอนที่หญิงสาวผู้นั้นและเสวียนอู่เว่ยออกไป พวกเขาก็ไม่เห็นหานเจิ้ง ไม่รู้ว่าหานเจิ้งไปอยู่ไหน
“หาน... หานเจิ้ง นั่นหานเจิ้ง เขาเหมือนจะถูกคนทำลายตบะ!” ในที่สุดก็มีคนหนึ่งพบหานเจิ้งนอนหมดสภาพอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น จากนั้นเหล่าผู้คนหันไปมองหานเจิ้งที่อยู่ในสภาพหมดแรง แล้วหันไปมองเย่เฟิงนั่งดื่มสุราเงียบ ๆ พวกเขาต่างใตัวสั่นระริก
“ชายผู้นี้เป็ใคร? เขาไล่ชายหญิงคู่นั้นแล้วก็ทำลายตบะของหานเจิ้งงั้นหรือ?” ผู้คนเกิดคำถามขึ้นในใจ แต่เมื่อดูจากร่องรอย พวกเขาก็สามารถสรุปได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะเดียวกันมีความเคลื่อนไหวที่ชั้นหนึ่ง พร้อมกับเสียงพูดคุยดังขึ้น ทำให้ผู้คนบนชั้นสองได้ยินอย่างชัดเจน
“หญิงผู้นี้งดงามราวกับเทพธิดาก็มิปาน ข้าอยู่มานานก็ยังไม่เคยพบเจอสาวงามที่สวยเช่นนี้มาก่อน!”
“เป็องค์หญิง ไม่นึกว่าองค์หญิงจะเสด็จมาที่ภัตตาคารเฟิ่งไหล!”
เสียงหลายเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นี่ทำให้เย่เฟิงระบายยิ้ม เขาลุกขึ้นยืนและประจวบเหมาะกับที่สองเงาร่างเดินขึ้นบันไดมาแล้วปรากฏตัวในสายตาของเขา
หนึ่งในนั้นคือองค์หญิงจ้าวซินอี๋ นางยังคงสวยงดงามเช่นเดิมและรอยยิ้มบนใบหน้าก็เปี่ยมด้วยเสน่ห์
หลังจากเห็นความยุ่งเหยิงไม่เป็ระเบียบในภัตตาคาร จ้าวซินอี๋ก็ต้องประหลาดใจ จากนั้นดวงตาคู่งามที่แฝงด้วยความขุ่นเคืองก็มองไปที่เย่เฟิง เหมือนคิดว่าเย่เฟิงเป็คนทำ
“องค์หญิงมาช้านะขอรับ” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้มให้จ้าวซินอี๋
“มีเื่เกิดขึ้นในวังก็เลยล่าช้า” จ้าวซินอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเย่เฟิงว่า “ทั้งหมดนี้คือฝีมือของเ้าหรือ?”
“นับว่าใช่!” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมาเพื่อให้จ้าวซินอี๋นั่ง “อย่าสนใจเื่พวกนี้เลย เชิญองค์หญิงนั่งก่อน”
จ้าวซินอี๋พยักหน้า ก่อนจะนั่งลง
เมื่อผู้คนเห็นเย่เฟิงรู้จักสนิทสนมกับองค์หญิงต่างก็ตกตะลึง ก่อนสายตาที่มองเย่เฟิงจะเปลี่ยนไปและเริ่มคาดเดาตัวตนของเย่เฟิง
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงเรียกหาข้ามีเื่ใด?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ไม่มีเื่ก็มาหาเ้าไม่ได้หรือ?” จ้าวซินอี๋ขยิบตาให้เย่เฟิง
“เอ่อ...”
รอยหยักสีดำปรากฏบนหน้าผาก เขาถูกผู้หญิงแทะโลมเสียแล้ว
