เล่มที่ 10 บทที่ 296 ทำลายโลงศพ
สามวันผ่านไป ค่ายกลหลอมกระบี่ก็พังทลายลง เหลือเพียงหมอกควันดำล่องลอยอยู่กลางอากาศอย่างเบาบาง ไม่มีไอิญญาแม้แต่น้อย
ส่วนหลินเฟยกลับยกยิ้มออกมา
“สำเร็จ!”
กระบี่นี้มีชื่อว่ากระบี่ไท่หยิน เป็กระบี่ที่เกิดจากการหลอมรวมของไอหยินเข้มข้นจำนวนมากเข้ากับสิ่งวิเศษล้ำค่านับร้อยชนิด ทำให้ตัวกระบี่มีความโปร่งใสไร้ตัวตน แต่กลับมีมนต์สะกดสูงถึงสามสิบหกสาย แถมยังมีมนต์สะกดเทียนกังหนึ่งสายที่มีไว้สะบั้นตัดสามจิตเจ็ดิญญาโดยเฉพาะ
“ในที่สุดก็สำเร็จเสียที…” ผู้เฒ่าชราเดินมาั้แ่เมื่อใดไม่รู้ หลังจากเห็นกระบี่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินในมือหลินเฟย เขาก็ยกยิ้มออกมา ดูแล้วเหมือนจะมีความตื่นเต้นแฝงอยู่เล็กน้อย…
“จริงสิ…” หลินเฟยกุมกระบี่ไท่หยินไว้ในมือ แต่ไม่ยอมสะบั้นออกไป จากนั้นก็เอ่ยถามผู้เฒ่าชราแทน
“เคยเห็นผู้บำเพ็ญที่ชื่อหวงซีมาก่อนหรือไม่?”
“หวงซีหรือ?” ผู้เฒ่าชราชะงักลง หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ก็เอ่ยตอบ
“ใช่ผู้บำเพ็ญที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปีหรือไม่?”
“ใช่แล้ว…”
“หึหึ เคยเห็นจริงๆนั่นแหละ เ้าหนุ่มนั่นมาที่นี่ก่อนพวกเ้าอีก แต่หลังจากได้ของดีก็จากไปทันที น่าจะประมาณเมื่อสิบกว่าวันก่อนได้…” เมื่อผู้เฒ่าพูดจบก็หันมามองหลินเฟย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ทำไมล่ะ เขาเป็พวกเดียวกับเ้างั้นหรือ?”
“อ้อ เปล่าหรอก ก็แค่นึกขึ้นมาได้เท่านั้น…”
“อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นอย่าชักช้าอีกเลย รีบสะบั้นกระบี่เถอะ”
“ได้” หลินเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองมือก็กุมหมอกควันดำในมือไว้อย่างมั่นคง…
ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าเบื้องหน้าได้แปรเปลี่ยนไป…
ฟ้าดินถูกย้อมกระทั่งเป็สีแดงฉาน
ราวกับทั่วทั้งพิภพถูกย้อมสีไปด้วยโลหิต กลายเป็ห้วงมิติที่มีแต่สีแดงฉาน ท้องฟ้าเบื้องบนก็ราวกับตาข่ายถี่สีแดงขนาดั์ มีตาถี่แน่นขนัดไปหมด ส่วนพื้นดินก็กลายเป็เหมือนกับท้องทะเลซึ่งเต็มไปด้วยคราบเืแห้งกรัง…
เมื่อกวาดตาสำรวจไปรอบๆด้าน ก็พบว่าบัดนี้รอบตัวหวังจิ่งเต็มไปด้วยสายฟ้าที่รายล้อมเอาไว้ แถมภายในยังมีรากฐานจิติญญาปรากฏขึ้นเลือนราง ส่วนจงหยางก็มีไออสูรรายล้อมและมองเห็นรากฐานจิติญญาที่ปรากฏขึ้นเลือนรางเช่นกัน
ทว่าขณะที่มองไปยังผู้เฒ่าชรา กลับเห็นว่าอีกฝ่ายเป็เพียงเงาเบาบางเท่านั้น บัดนี้กำลังล่องลอยไปมา และหากพินิจดูดีๆ ก็จะพบว่ามีเงาคนเลือนรางทับซ้อนกันอยู่…
“นี่มัน…” หลินเฟยชะงักไปชั่วครู่…
“นี่เป็ห้วงมิติอีกด้าน…” ผู้เฒ่าเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
“เป็เช่นนี้นี่เอง…” หลินเฟยพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังเหนือหัวของผู้เฒ่าชราอีกครั้ง…
พริบตาถัดมาก็มีเส้นบางๆแสนเลือนรางพาดผ่านบริเวณเหนือหัวผู้เฒ่าชรา ก่อนจะจมหายเข้าไปในท้องฟ้าสีแดงฉาน หากพิจารณาดีๆจะพบว่าเส้นบางๆนี้โปร่งใสและไร้ตัวตน ยากที่จะรับรู้ได้ ราวกับเป็เื่ลี้ลับก็มิปานที่ััได้อย่างเดียว แต่กลับไม่อาจพรรณนาออกมาได้
หลินเฟยรู้ว่านี่คือสายสัมพันธ์ระหว่างผู้เฒ่ากับสิ่งชั่วร้าย แต่ที่เห็นเป็เส้นบางๆเช่นนี้ ก็เพราะเป็ภาพนิมิตที่เกิดจากกระบี่ไท่หยินเท่านั้น เพราะในความเป็จริงแล้ว สายสัมพันธ์นี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…
หลินเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ…
จากนั้นก็สะบั้นลงไปทันที
จากนั้นสีแดงทั่วทั้งพิภพก็พลันสลายหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านกลายเป็สีขาวดำไปหมด มีเพียงเส้นสีแดงบางๆตั้งตระหง่านอยู่เท่านั้น
กระบี่ไท่หยินที่เป็หมอกควันดำลอยไปก็ล้อมรอบเส้นสีแดงบางๆนี้ เพียงครู่เดียวเส้นแดงที่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าก็สลายไป…
และในขณะเดียวกันบริเวณยอดเขา…
โคมเขียวที่ลอยอยู่เหนือโลงศพหิน ก็มีแสงเขียวสาดส่องเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน กระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านแทบจะถูกย้อมเป็สีเขียวทั้งหมด…
มีเพียงรอบด้านโลงศพหินเท่านั้น ที่มีคราบเืเจิ่งนองคล้ายหนองน้ำ ซึ่งกำลังปั่นป่วนเดือดพล่านต่อต้านลำแสงเขียวอย่างเอาเป็เอาตาย ชั่วขณะที่ทั้งสองสิ่งกำลังปะทะกัน ก็พลางได้ยินเสียงสายฟ้าสถิตดังเป็ระยะ…
ในกองเืที่ข้นหนืดก็มีหมอกควันสีแดงแพร่กระจายออกมาเป็ระยะเช่นกัน ก่อนจะรวมตัวกันจนกลายเป็อสรพิษสีเืแสนอัปลักษณ์ ซึ่งกำลังทะยานตัวพุ่งตรงไปยังโคมเขียว…
ส่วนผู้าุโชื่อิและผู้บำเพ็ญจิงตันคนอื่นๆ ก็พยายามส่งพลังเข้าต้านเอาไว้ เพื่อขวางกั้นไม่ให้อสรพิษสีเืพุ่งชนโคมเขียวเข้า…
ไม้เท้าไผ่เขียวขยายตัวจนกลายเป็ไม้กระบองขนาดั์ ภายใต้ลำแสงกระบี่มากมายที่กำลังฟาดฟันไปมานั้น ไม้กระบองั์ก็ปลดปล่อยพลังอันเดือดพล่านราวกับเปลวไฟแทรกออกมา ก่อนจะบดขยี้อสรพิษสีเือย่างแรง รวมถึงฟาดฟันและเผาทำลาย…
พริบตานั้นเอง เ้าโคมเขียวก็ไม่จำเป็ต้องสำแดงพลังออกมาด้วยซ้ำ เพราะลำแสงเขียวนั้น เอาแต่กดข่มลำแสงสีแดงไม่ให้คืบคลานออกมา ส่วนผู้บำเพ็ญจิงตันทั้งหลายก็เอาแต่ขัดขวางอสรพิษสีเืซึ่งเกิดจากหมอกแดง คล้ายกับว่ากำลังใกล้เห็นผลแพ้ชนะแล้ว…
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถสังหารเ้าอสรพิษสีเืที่ถือกำเนิดจากหมอกแดงได้ และภายในกลุ่มผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันก็มีบางคนเริ่มมีสีหน้าซีดขาวแล้ว และเหนือหัวก็ยังมีหมอกควันขาวล่องลอยอีกด้วย
และนี่ก็เป็สัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาได้ใช้พลังเกินขีดจำกัดแล้ว…
หากเป็เช่นนี้ต่อไปละก็ จะต้องเกิดเื่ไม่ดีขึ้นแน่…
แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เพราะในเวลานี้เอง อสรพิษสีเืก็พุ่งตัวออกมา ก่อนจะกลืนกินเยาเตาเข้าไปทันที
จากนั้นเ้าอสรพิษสีเืก็คำรามเสียงดังกึกก้อง ลำตัวก็พลันขยายใหญ่เกือบหนึ่งเท่า หมอกควันสีแดงที่กำลังรายล้อมอยู่ ก็เข้มข้นขึ้นจนสามารถทำลายปราการของลำแสงเขียวลงได้ ก่อนจะกลายเป็ลำแสงสีแดงพุ่งทะลุปราการป้องกันของเหล่าผู้บำเพ็ญจิงตันออกไป และปะทะเข้ากับโคมเขียว…
ทันใดนั้นนั้นโคมเขียวก็สั่นไหวรุนแรง…
“โฮก…”
มีเสียงคำรามน่าสะพรึงกลัวดังออกมาจากโลงศพหิน ลำแสงสีโลหิตะเิออกอย่างรุนแรงราวกับูเาไฟะเิ จากนั้นกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็สาดกระจายออกมา ูเามากมายพลันถล่มทลาย ห้วงมิติก็บิดเบี้ยวลง แม้กระทั่งลำแสงเขียวที่ปกคลุมอยู่ยังต้องถอยหนี…
มือั์สีเืกำลังทำลายล้างทุกอย่างออกมาแล้ว…
“แย่แล้วล่ะ…” ผู้าุโชื่อิถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที หลังจากอุทานออกมาเสียงดัง ไม้เท้าไผ่ในมือก็ปรากฏอักขระมากมายขึ้น ก่อนจะลุกไหม้ด้วยตัวเอง ไม่นานก็มีพลังรุนแรงะเิตามออกมา…
ผู้าุโชื่อิกำลังเผาทำลายมนต์สะกดศาสตราวุธของตนเอง…
รวมถึงผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคนอื่นๆเอง ทั้งหมดก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งสิ้น บ้างก็เริ่มเผาทำลายมนต์สะกดศาสตราวุธ บ้างก็เริ่มเผาไหม้ตบะพลังเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง…
ทว่า…
เพราะก่อนหน้านี้มีโคมเขียวคอยสะกดข่มเอาไว้ แต่บัดนี้โคมเขียวกลับอ่อนกำลังลง แล้วมีหรือ ที่เหล่าผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้อีก?
และแล้วก็เป็ไปตามคาด…
หลังจากเกิดเสียงะเิดังขึ้นจากโลงศพหิน ทันใดนั้นฝาโลงก็ถูกดีดกระเด็นลอยขึ้นสูงนับสิบจ้าง และเหล่าผู้บำเพ็ญจิงตันที่กดทับอยู่้าก็กระอักเืออกมา จากนั้นก็กระเด็นลอยออกไปโดยพร้อมๆ กัน…
พริบตาถัดมามือั์สีแดงก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่มันจะขยายตัวออกเป็มือั์ขนาดนับหมื่นจ้างกดทับลงมา
ทั้งที่มือั์ยังไม่ทันจะกดทับลงมา แต่ความกดดันอันรุนแรงก็ทำให้หุบเขาที่สูงตระหง่านถูกกดจมลงไปหลายจ้าง พืชนานาพันธุ์ก็พลันแตกสลายลงจนกลายเป็ผุยผง ทุกสิ่งทุกอย่างบนหุบเขาในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับถูกของหนักกดทับเอาไว้เลย…
ภายใต้ลำแสงกระบี่และเคล็ดวิชามากมายของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันกว่าสิบคนที่ร่วมมือกัน ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย…
ศาสตราวุธอับแสงลง ร่างจริงก็แตกสลาย เคล็ดวิชาลับและพลังต่างๆก็พากันแตกซ่าน เพียงการโจมตีครั้งเดียว ก็ทำให้หนึ่งในสามผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันล้มลงกับพื้น โดยไม่รู้ว่าจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร…
แม้ผู้าุโชื่อิ หลงเซี้ยง และชื่อเสียจะเป็ผู้าุโขั้นจิงตันเก้าโคจรที่มีตบะพลังแข็งแกร่งที่สุด แต่บัดนี้พวกเขากลับใบหน้าซีดขาว บอบช้ำอย่างหนักเหมือนๆกันหมด โดยไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานได้อีกต่อไป…
ในขณะนี้เอง ก็ไม่มีอะไรต้านทานมือั์สีเืได้อีกแล้ว
หลังจากที่มือั์ปรากฏขึ้น เหล่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลงก็พุ่งตัวตามออกมา…
----------------------------------------------------------------------------------------------------