หลังจากที่แม่ของเซี่ยเจิงกลับมาเธอก็พุ่งตรงเข้าไปทำกับข้าวในห้องครัวทันที ชวีเสี่ยวปอเองก็เกรงใจที่จะอยู่ในห้องนอนเงียบๆ จึงเดินเข้าห้องครัวไปเตรียมเป็ลูกมือ
“คุณป้าเดี๋ยวผมช่วยหันเนื้อนะครับ? ” ชวีเสี่ยวปอหยิบมืดทำครัวขึ้นมา กะระยะลงไปบนหมูสามชั้นที่วางอยู่บนเขียง “ใหญ่เท่านี้พอไหมครับ? ”
“ไอหยา” แม่ของเซี่ยเจิงรีบคว้ามืดจากมือเขาไปทันที “รีบกลับห้องไปเถอะ ไปคุยเล่นกับเซี่ยเจิงหน่อย สองวันมานี้เขาเบื่อแย่แล้ว”
“ผม...” น้ำเสียงของแม่เซี่ยเจิงตอนพูดขึ้นมานี้ ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพว่าอายุของตัวเองหยุดอยู่ที่สามขวบ แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะช่วยทำกับข้าว จึงคว้าผักสดที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา “ถ้างั้นผมล้างอันนี้นะครับ? กำนี้ต้องล้างหมดเลยไหมครับ? ”
“วางไว้ตรงนั้นเถอะ”
ทันใดนั้นเซี่ยเจิงก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่หน้าประตูห้องครัว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว และในตอนนี้ก็กำลังมองทั้งสองคนด้วยความสนใจเป็อย่างมาก
“นายลุกขึ้นมาได้ยังไง? ”
“รีบกลับเข้าไปนอนในห้องเลยนะ”
ชวีเสี่ยวปอและแม่ของเซี่ยเจิงแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน ส่วนเซี่ยเจิงก็หัวเราะขึ้นมา พลางเดินเข้ารับหม้อซาวข้าวจากมือแม่ของเขามา
“แม่กลับเข้าห้องไปเถอะ ผมทำเองได้ครับ” เซี่ยเจิงพูดจบก็ชี้ไปยังชวีเสี่ยวปอ “ให้เขาช่วย”
“ลูกไหวหรือเปล่า? ” แม่ของเซี่ยเจิงยังคงใช้มือกุมหม้อเอาไว้อยู่ ท่าทางดูเหมือนจะไม่อยากจะให้เซี่ยเจิงทำสิ่งเหล่านี้สักเท่าไหร่ “ตอนนี้ควรพักผ่อนเยอะๆ นะ”
“พักพอแล้วครับ” ในขณะที่พูดเซี่ยเจิงก็เปิดก๊อกน้ำขึ้นมาซาวข้าวทันที “ผมนอนจนแขนขาจะเสื่อมหมดแล้ว ลุกขึ้นมาขยับสักหน่อยก็ดีเหมือนกันครับ”
“ถ้างั้น...” ท่าทางของแม่เซี่ยเจิงยังคงดูไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็ไรครับคุณป้า ผมอยู่ด้วยทั้งคน !” ชวีเสี่ยวปอพูดเสริมออกมา “ผมเองก็เป็นักต้มน้ำมือหนึ่งเหมือนกันนะครับ”
“เด็กคนนี้ เล่นมุกเก่งจริงๆ ” แม่ของเซี่ยเจิงถูกชวีเสี่ยวปอทำให้หัวเราะขึ้นมาแล้ว “ได้ งั้นลูกสองคนทำไปก็แล้วกัน แม่กลับห้องไปงีบสักหน่อย”
ในห้องครัวเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
เซี่ยเจิงซาวข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้กำลังเทน้ำลงไปในหม้อ ชวีเสี่ยวปอจึงขยับเข้าไปดูใกล้ๆ พลางถามขึ้นมาว่า : “ใส่เท่าไหร่ถึงจะพออะ? น้ำไม่เกินหนึ่งข้อนิ้วก็ได้แล้วหรือเปล่า? ”
“ว้าว” เซี่ยเจิงหันไปมองเขา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางพูดขึ้นมาว่า “มีประสบการณ์ชีวิตเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชวีเสี่ยวปอยื่นนิ้วชี้ออกมาเคาะลงไปบนถาดสแตนเลสที่วางอยู่ด้านข้างจนเกิดเสียงดังกังวานขึ้นมา “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็...”
“นักต้มน้ำ” เซี่ยเจิงพูดแทรกขึ้นมา “ไม่เกินหนึ่งข้อนิ้วนั่นมันเอาไว้ใส่น้ำหุงข้าว ต้มโจ๊กอย่างน้อยต้องเยอะกว่าสองข้อนิ้วอีก น้ำน้อยนิดแบบนั้นของนาย ฉันว่าจะต้มออกมาได้เป็ข้าวฟ่างกรอบแทนนะสิ”
หลังจากที่เซี่ยเจิงพูดจบก็ตั้งหม้อขึ้นไปบนเตาแก๊ส จากนั้นจึงบิดลูกบิดไปสองครั้งเพื่อเปิดไฟขึ้นมา
“ให้ตายเถอะ” รอยยิ้มโอ้อวดของชวีเสี่ยวปอที่ยังไม่ทันจะได้หุบลงก็แข็งทื่อไปทันที “ทำไมนายรู้ดีอย่างนี้เนี่ย”
“ฝึกบ่อยๆ ก็ทำให้เก่งขึ้นได้” เซี่ยเจิงปิดฝาหม้อลง จากนั้นก็เดินไปที่เขียงเพื่อเตรียมเนื้อ “จิ๊ แม่ฉันดีกับนายมากเลยนะเนี่ย”
“ยังไงอะ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ
“ฉันน่ะอย่างน้อย อืม” เซี่ยเจิงหยุดเว้นวรรคไปพักหนึ่ง น่าจะกำลังนึกย้อนกลับไป “อย่างน้อยห้าหกปีได้ที่ไม่ได้กินสามชั้นตุ๋นน้ำแดงที่แม่ฉันทำ”
“จริงไหม? ” ชวีเสี่ยวปอเบิกดวงตากว้างจนเป็วงกลม อดไม่ที่จะเลียริมฝีปากเล็กน้อย “อร่อยไหม? ”
“ไม่อร่อย” เซี่ยเจิงค่อยๆ หันเนื้ออย่างพิถีพิถัน “ไม่อร่อยเท่าฉันทำ”
“ฉันไม่เชื่อ” ชวีเสี่ยวปอท้าวมือไว้บนเตามองเซี่ยเจิงหั่นเนื้อเป็ชิ้นๆ อย่างคล่องแคล่ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของเซี่ยเจิงช่างเหมาะกับคำว่า “พ่อบ้านที่ดี” ซะจริงๆ
“จริงๆ นะ” เซี่ยเจิงหยุดการเคลื่อนไหวในมือ แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือไปทางชวีเสี่ยวปอ “ช่วยฉันพับแขนเสื้อหน่อย”
ชวีเสี่ยวปอพับแขนเสื้อของเซี่ยเจิงขึ้นไปสองทบ ในตอนที่มือไปััโดนิัก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเขาจะไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือขึ้นไปเตะบนหน้าผากของเซี่ยเจิงอีกครั้ง “ตัวไม่ร้อนแล้วใช่ไหม? ”
“น่าจะนะ” เซี่ยเจิงเองก็ยกหลังมือขึ้นมาแตะหน้าผากเช่นกัน “เหงื่อออกมาหน่อยนึงแล้วละ”
“เดี๋ยวค่อยไปเอาเครื่องวัดอุณหภูมิมาวัดดู” ชวีเสี่ยวปอลูบไล้ไปตามใบหน้าของเซี่ยเจิงจนลงมาหยุดอยู่ที่คอ
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายคิดอะไรอยู่” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปากขึ้นมา “ไม่ต้องมาฉวยโอกาสตอนที่ฉันป่วยเลยนะ”
“บ้า !” ชวีเสี่ยวปอรีบชักมือกลับมาทันที แต่เสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็โน้มตัวไปด้านหน้า อ้าปากขึ้นมา จากนั้นก็กัดลงไปบนคอของเซี่ยเจิงหนึ่งที
“โอ๊ย...” เซี่ยเจิงเจ็บจนทำเสียงซี๊ดขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “เกิดปีหมาหรือไง”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับจูบอย่างแ่เบาลงไปบนรอยกัดหนึ่งที
“ตบหัวเสร็จแล้วลูบหลังใช่ไหมเนี่ย” น้ำเสียงของเซี่ยเจิงแฝงไปด้วยเสียงหัวเราะ อยากจะยื่นมือออกไปตีหลังชวีเสี่ยวปอสักหน่อย แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเขาเพิ่งจะหั่นเนื้อมา
ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้ดูร้อนใจอะไร ยืนอยู่แนบชิดเซี่ยเจิงเช่นนั้น ทั้งยังเย้าแหย่ออกไปอย่างตั้งใจ “ก่อนที่โจ๊กหม้อนี้จะเสร็จฉันทำอะไรหน่อยได้ไหม”
“กินเสร็จค่อยทำ” เซี่ยเจิงกดจูบลงบนหน้าผากของชวีเสี่ยวปอ ขณะนั้นคางของเซี่ยเจิงก็ัักับตอผมบนศีรษะของชวีเสี่ยวปอเข้าจนรู้สึกจั๊กจี้ “ทำให้พอเลย” เว้นไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า : “หรือว่านายอยากเล่นคอสเพลย์ในห้องครัว ฉันต้องเตรียมผ้ากันเปื้อนอะไรทำนองนี้ด้วยหรือเปล่า แต่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้มันดูแปลกๆ ไปหน่อยไหม อย่างน้อยก็ต้องเสื้อออกสิถึงจะถูก”
“บ้า” ชวีเสี่ยวปอบีบเอวของเซี่ยเจิงอย่างแรง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาสองครั้ง : “นายนี่เป็ตาเฒ่าหัวงูจริงๆ ”
“ตาเฒ่าหัวงูจะผัดกับข้าวแล้ว” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “นายได้ยินเสียงท้องฉันร้องไหม? ”
“ได้ยินแล้ว” ชวีเสี่ยวปอจบสถานะฝาแฝดตัวติดกันไปชั่วคราว “ให้ฉันช่วยทำอะไรไหม? ”
“เด็ดต้มหอมให้ฉันสองต้น” เซี่ยเจิงหยิบมีดขึ้นมาอีกครั้ง พลางใช้คางชี้ไปยังมุมหนึ่งตรงนั้น “อยู่ในถุงใบนั้นนะ”
“รับทราบ” ชวีเสี่ยวปอก้มลงไปหยิบต้นหอมออกมาสองต้น จากนั้นก็นั่งเด็ดอยู่หน้าถังขยะอย่างชำนาญ
“แม่ฉันทำกับข้าวไม่อร่อยเท่าฉันจริงๆ นะ” เซี่ยเจิงหาชามเปล่าขึ้นมาใส่เนื้อที่หั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ให้ตายเถอะ ยังหยิบเื่นี้ขึ้นมาพูดใหม่ได้อีกเหรอเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นยืน แล้วจึงโยนต้นหอมที่เด็ดเสร็จแล้วไปให้เซี่ยเจิง “นายนี่เป็ยายหวังขายแตง [1] จริงๆ ”
“ตอนทำกับข้าวแม่ฉันใส่เกลือเยอะเกินไป” เซี่ยเจิงรับมาอย่างแม่นยำ แล้วจึงอธิบายขึ้นมา “ความจำไม่ดี เลอะเลือนแล้วละ ตุ๋นเนื้อยังใส่เกลือซ้ำตั้งสามครั้ง เค็มสุดไรสุด”
“อ๋อ” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็เข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมเมื่อครู่เซี่ยเจิงถึงได้ยืนยันที่จะทำกับข้าวเอง หลังจากเข้าใจแล้วก็รู้สึกปวดใจตามขึ้นมาด้วย “นายทำอาหารเป็ั้แ่เมื่อไหร่เหรอ? ”
“ตอนที่เขาสองคนหย่ากันละมั้ง” เซี่ยเจิงหั่นต้นหอมเป็ท่อน พร้อมทั้งตอบขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ที่จริงก่อนหน้านี้ก็ทำเป็ ต้มบะหมี่ ทำข้าวผัดไข่อะไรทำนองนั้น ส่วนพวกผัดผัก ตุ๋นปลา ทำซุป พวกนี้ค่อยมา เรียนรู้เองทีหลัง แต่ประเด็นหลักเลยคือฉันตะกละเกินไป ให้กินแต่บะหมี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
หม้อที่ต้มโจ๊กเริ่มมีเสียงเดือดปุดๆ ขึ้นมาแล้ว กลิ่นหอมของข้าวค่อยๆ โชยออกมา และสามชั้นตุ๋นน้ำแดงก็ใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกำลังเดินไปมาเพื่อหยิบตะเกียบและถ้วยชาม ทั้งยังยกกับข้าวขึ้นมาวางบนถาด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
.............................
เชิงอรรถ
[1] ป้าหวังขายแตง มาจากคำในสำนวนจีนที่ว่า 王婆卖瓜,自卖自夸 ซึ่งแปลว่า ยายหวังขายแตง ขายเองชมเอง อุปมาถึงการคุยโอ้อวด คุยอวดชมตัวเอง