มู่หรงฉือดวงหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับแตกตื่น เขารู้แล้ว!
มู่หรงอวี้จับความผิดปกติที่อยู่ลึกในแววตาของนางได้ “อยากรู้ว่าเปิ่นหวางรู้ได้อย่างไรหรือไม่?”
นางหัวเราะเสียงเย็น “หากท่านอ๋องอยากบอก เปิ่นกงก็จะล้างหูตั้งใจฟัง”
“เ้าไปที่สวนสวนสาธารณะซู่อวี้เซวียนอยู่บ่อยๆ ที่บังเอิญก็คือ ผู้จัดการของสำนักหนึ่งในใต้หล้าหรงจ้านเองก็ไปที่สวนสาธารณะบ่อยเช่นกัน หรงจ้านกับหรงหลันแม่เล้าของหอเฟิ่งหวงเป็พี่น้องกัน เช่นนั้นหากลองใคร่ครวญดูให้ดีก็จะรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยก็คือเ้าของที่อยู่เื้ัของสำนักหนึ่งในใต้หล้าและหอเฟิ่งหวงนั่นเอง” เขายิ้มน้อยๆ “อีกอย่าง เปิ่นหวางเจอเตี้ยนเซี่ยที่สำนักหนึ่งในใต้หล้าและหอเฟิ่งหวงหลายครั้ง เกรงว่าคงจะใช้คำว่าบังเอิญมาอธิบายไม่ได้”
“เช่นนั้นท่านอ๋องคิดอย่างไร?”
“เปิ่นหวางคิดว่า…” ดวงตาสีดำของเขาประหนึ่งเมฆดำที่ถูกกักขังเอาไว้ ริมฝีปากบางเข้าประชิดริมฝีปากสีชมพูของนาง “จูบสาวงาม”
มู่หรงฉือที่เกร็งไปทั้งตัวได้ยินสามคำนี้ก็อดตกตะลึงไม่ได้
ในตอนที่นางกำลังตะลึงค้างอยู่นั้น มู่หรงอวี้ก็กดจูบลงมา ตอนแรกเพียงแตะลงมาอย่างผะแ่ ก่อนจุมพิตนั้นจะเปลี่ยนเป็ลึกซึ้งขึ้น
ลมหายใจเร็วแรงและอุ่นร้อนลอยอวลอยู่รอบๆ นางรู้สึกว่ากำแพงที่เย็นเฉียบพลันร้อนระอุขึ้นมา มือของเขา แผงอกของเขายิ่งร้อนผ่าว ราวกับจะแผดเผาให้นางกลายเป็ผุยผง ทั่วทั้งร่างนางร้อนผ่าว ในตอนนี้เองด้านนอกก็มีเสียงดังขึ้น
“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…”
“เตี้ยนเซี่ย…เตี้ยนเซี่ย…”
เป็มู่หรงสือกับมู่หรงฉาง
มู่หรงฉือออกแรงผลักเขาพลางพูดอย่างขวยเขินและลุกลี้ลุกลน “พวกนางกำลังจะเข้ามา”
แววตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้น “ไม่ต้องกังวล พวกนางเข้ามาไม่ได้”
เพียงแต่ถูกพวกนางขัดจังหวะเช่นนี้โอกาสดีๆ ก็หายไปเสียแล้ว
นางจัดเสื้อผ้าตัวเองเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าไวๆ ออกมาด้านนอก เขาเองก็ตามออกมา ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านประหนึ่งว่าไม่เคยถูกรบกวนแม้แต่น้อย
ด้านนอกมีเสียงสอบถามของมู่หรงฉางดังขึ้น “ฉินรั่ว เสด็จพี่กับท่านอ๋องอยู่ด้านในหรือไม่?”
ฉินรั่วมองไปทางกุ่ยหยิง เขาพูดเสียงเย็น “ท่านอ๋องกับองค์รัชทายาทกำลังปรึกษาธุระกันที่ห้องตำรา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรบกวนได้”
“องค์รัชทายาทกับอาสามจะดื่มชาทานขนม ตอนนี้ข้าจะยกน้ำชากับขนมเข้าไปให้ ถอยไป!” มู่หรงสือพูดตวาดเสียงแหลมด้วยท่าทางแข็งกร้าว
“ท่านอ๋องกับองค์รัชทายาทยังไม่้าชาในเวลานี้ หาก้า ท่านอ๋องจะสั่งกระหม่อมลงมาเองพ่ะย่ะค่ะ” กุ่ยหยิงไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
“ข้าบอกให้เ้าถอยไป!” นางโมโหจัด ตวาดออกมาเสียงดัง
“องค์หญิงทั้งสองรีบออกไปโดยเร็วจะดีที่สุด อย่าได้ส่งเสียงเอะอะอยู่หน้าห้องตำราเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดอย่างไม่แข็งกระด้างแต่ก็ไม่ได้นอบน้อมจนเกินไป ท่าทางห้าวหาญ
“เ้า~~” มู่หรงสือโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
“เปิ่นกงรู้ว่าเ้าปฏิบัติตามหน้าที่ เพียงแต่เมื่อครู่เสด็จพี่กับท่านอ๋องบอกว่า้าน้ำชาจริงๆ” ในน้ำเสียงอ่อนโยนของมู่หรงฉางมีความแข็งกร้าวและทรงอำนาจอยู่หลายส่วน “มิสู้เ้าไปรายงานสักหน่อย ลองดูว่าองค์รัชทายาทกับท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไร”
มู่หรงฉือในห้องตำราอดยอมรับในความอดทนของจาวฮวาไม่ได้ นางวางตัวได้เหมาะสม ทั้งยังคิดหาแผนเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาอยู่ในห้องตำราหรือไม่
กุ่ยหยิงไม่ถูกหลอกล่อไปเพราะแผนของนาง พูดเสียงแข็ง “เมื่อครู่ตอนท่านอ๋องเข้าไปได้สั่งกระหม่อมเอาไว้ว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามรบกวน องค์หญิงเชิญกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงสือโกรธจนร้องด่าออกมา “เขาก็เป็เหมือนก้อนหินในหลุมส้วม ทั้งเหม็นทั้งแข็ง”
ฉินรั่วพยายามอดกลั้นไม่ให้หลุดขำออกมา องค์หญิงเปรียบเทียบได้ยอดเยี่ยมนัก คนผู้นี้ทั้งเหม็นทั้งแข็งจริงๆ
ความอดทนของมู่หรงฉางถูกทำลายไปจนหมดสิ้น หากไม่คิดว่าต้องรักษาท่วงท่าขององค์หญิงผู้เรียบร้อยสง่างามต่อหน้าอวี้หวางละก็ นางก็คงอาละวาดไปนานแล้ว
วางแผนมาเสียดิบดี แต่อวี้หวางกลับหลบอนตัวอยู่ในห้องตำราไม่ยอมออกมาพบ นางจะทำอย่างไรดี?
เขากับเสด็จพี่ไปข้างในเพราะจะปรึกษางานกันจริงๆ หรือ?
ไม่ถูกต้อง เสด็จพี่ถูกนางลากมาที่จวนอวี้หวาง จะไปมีธุระได้อย่างไร?
“เสด็จพี่ เสด็จพี่เพคะ น้องยกชากับขนมมา แต่องครักษ์ผู้นี้ไม่ยอมให้น้องเข้าไป”
นางะโออกไป หวังว่าเสด็จพี่จะออกหน้าช่วยตนเอง
มีหรือนางจะคิดว่าเสด็จพี่ของนางจะไม่ยอมมาเปิดประตู
หากเปิดประตูให้ มู่หรงสือก็จะตามติดนางราวกับกาวหนังหมา จะสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด
มู่หรงฉือได้ยินเสียงของจาวฮวาก็แสร้งทำเป็ไม่ได้ยินแล้วนั่งเหม่อลอย
หรือว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ? เื่อะไรก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นจะไม่ยิ่งเบื่อหรือ?
นางลอบมองมู่หรงอวี้ เขากลับดียิ่ง นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น แมู้เาจะทลาย ฟ้าจะถล่มลงมาก็นิ่งไม่ไหวติง ไม่สนใจความวุ่นวายภายนอก
ดวงหน้าขาวใสราวรูปสลัก ผิวเนียนราวกับเพิ่งถูกหลอมออกมา ริมฝีปากแดงระเรื่อประหนึ่งดอกบัวสีแดงอ่อนที่ชูช่อพลิ้วไสวท่ามกลางสายลมหนาว งดงามจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบ
ขนตายาวงอนดำเป็ดั่งผ้าม่านสีเขียวเข้ม ปกปิดเื่ราวในใจ
นางพลันได้สติขึ้นมา หลุบตาลงแล้วเบือนสายตาออก นี่นางถูกความงามของเขาทำให้หลงใหลอย่างนั้นหรือ เื่นี้ไม่สมควรเป็อย่างมาก!
ใช่แล้ว เกือบจะลืมเื่สำคัญเื่นั้นไปเลย!
“ท่านอ๋อง ไม่ใช่บอกว่าจะคัดลอกความลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธให้เปิ่นกงชุดหนึ่งหรือ?” มู่หรงฉือคาดเดาอยู่เงียบๆ หากนางไม่พูดขึ้นมา เขาก็จะทำเป็ลืมใช่หรือไม่?
“หลายวันมานี้เปิ่นหวางไม่ได้มาที่ห้องตำรา เช่นนี้ก็แล้วกัน เ้ามาคัดลอกเองหนึ่งชุด”
มู่หรงอวี้ยืนขึ้นแล้วขยับงาช้างแกะสลักงดงามชิ้นหนึ่งบนชั้นสามแถวที่ห้าตรงชั้นวางของโบราณ ไม่รู้ว่าัักลไกใดถึงได้เผยช่องเล็กๆ ออกมา ก่อนเขาจะหยิบหนังสือที่เก่าจนเหลืองออกมายื่นส่งให้นาง
มู่หรงฉือรับมาอย่างไม่เกรงใจ เปิดดูทีละหน้า ในใจอดมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาไม่ได้
นี่เป็ของจริงใช่หรือไม่? เขาจะแอบทำของปลอมมาให้นางหรือไม่?
แน่นอน นางไม่อาจเชื่อเขาได้ทั้งหมด ในเมื่อเขาเคยพูดวาจาโน้มน้าวจิตใจ ทำให้คนหลงใหลออกมาได้
“เตี้ยนเซี่ยกังวลว่าจะเป็ของปลอมหรือ?” มู่หรงอวี้เลิกคิ้ว
“เปิ่นกงจะสงสัยท่านอ๋องได้อย่างไร?” มู่หรงอวี้ยิ้มอ่อน “หากท่านอ๋องไม่อยากให้เปิ่นกง ปฏิเสธไปเสียก็สิ้นเื่ จะเอาของปลอมมาหลอกเปิ่นกงทำไม?”
เขามองออก รอยยิ้มของนางไม่เป็ธรรมชาติ แต่เขาเชื่อ ต่อไปนางจะรู้ว่าเขาจริงใจ
ด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว บางทีมู่หรงฉางกับมู่หรงสือคงยอมแพ้จนล่าถอยไปแล้ว
มู่หรงฉือนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วลงมือคัดลอก
ส่วนเขานั่งอยู่ด้านข้าง สายตาย้ายจากหนังสือมามองท่าทางตั้งอกตั้งใจของนางอยู่บ่อยๆ
ใบหน้าเล็กขาวใสของนางก้มลงน้อยๆ ราวกับดอกไม้ที่บานอยู่ใต้แสงแดดดั่งหยกแกะสลักที่งดงามอย่างธรรมชาติ
หัวใจของเขาพลันสั่นไหว
คิดถึงยามที่พวกเขาแนบชิดกัน ภาพความหวานชื่นที่แล่นเข้ามาทีละภาพ บางทีคงจะมีสักวันหนึ่ง ประโยคสวยงามจำพวก สตรีงดงามคอยอ่านหนังสืออยู่เคียงข้าง สามีภรรยาที่รักและให้เกียรติกัน รักกันอย่างลึกซึ้งจะเป็ประโยคที่ใช้เขียนบรรยายชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน
...
มู่หรงฉือนำความลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธไปซ่อนในที่ลับที่สุด ไม่ว่าความลับชุดนี้จะเป็ของจริงหรือไม่ ต่อไปย่อมมีโอกาสได้พิสูจน์
ครั้นนึกขึ้นได้ว่ามู่หรงอวี้รู้แล้วว่านางแอบบ่มเพาะสำนักหนึ่งในใต้หล้ากับหอเฟิ่งหวงเอาไว้ นางก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ รู้สึกว่าเขาจะต้องลงมือทำลายขุมกำลังที่มีอยู่น้อยนิดของนางไป ความรู้สึกที่ถูกคนกำเอาไว้ในมือ จะเป็จะตายก็ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเองเช่นนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก
วันนี้นางจึงตรงไปที่สำนักหนึ่งในใต้หล้า
ตอนที่หรงจ้านรู้ว่ามู่หรงอวี้รู้ว่านางเป็เ้าของที่อยู่เื้ัของหนึ่งในใต้หล้าและหอเฟิ่งหวงแล้วก็ตื่นตระหนกเป็อย่างมาก
“พวกเราระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าอวี้หวางจะยังรู้อีก” เขารู้สึกสันหลังเย็นวาบ “หูตาของอวี้หวางเต็มไปทั่วทั้งเมือง เป็คนที่มีการป้องกันแ่าจริงๆ”
“ข้ากังวลว่าเขาจะลงมือ” มู่หรงฉือขมวดคิ้วแน่น
“หากเขาจะลงมือก็คงลงมือไปนานแล้ว เหตุใดยังต้องรอมาจนถึงบัดนี้เล่า?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังวางแผนอะไรกันแน่”
“เ้าสำนักไม่จำเป็ต้องกังวลเกินไป ่นี้จวนอวี้หวางไม่มีการเคลื่อนไหว ดูไม่เหมือนว่าจะลงมือกับสำนักหนึ่งในใต้หล้าและหอเฟิ่งหวง” หรงจ้านพูดปลอบใจ
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น”
จากเื่หลิงหลงเซวียนและบึงเสวียนเยว่ นางรู้จักมู่หรงอวี้มากขึ้น คนผู้นี้แทรกซึมอยู่ในเมืองลึกล้ำ วางแผนรอบคอบรัดกุม ถึงแม้จะไม่มีแผนการณ์ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
นางพยักหน้า ตนเทียบเขาไม่ได้เลย
หรงจ้านเห็นคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น จึงครุ่นคิดด้วยความกังวล “หากอวี้หวางจะลงมือ เหตุใดถึงได้บอกท่านตรงๆ ว่ารู้แล้วว่าท่านคือเ้านายที่อยู่เื้ั? ในเมื่อพูดกับท่านแล้ว ก็หมายความว่าเขาไม่มีทางลงมือ”
มู่หรงฉือพูดอย่างครุ่นคิด “ข้าเองก็เดาความคิดของเขาไม่ออก บางทีเขาอาจจะแค่อยากให้ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ หวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด ให้หัวใจของข้าว้าวุ่น สุดท้ายก็แพ้ภัยตนเอง เขาถนัดเื่การโจมตีทางจิตใจมากที่สุด”
หรงจ้านเห็นว่านางกังวลใจมากเกินไป จิตใจกำลังว้าวุ่น “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าส่งคนไปลอบจับตามองอวี้หวางแล้ว หากมีข้อมูลข่าวสารใดๆ จะรีบรายงานท่านทันที”
นางพยักหน้า
เขายังพูดปลอบใจนาง “ยิ่งเป็เวลาเช่นนี้ท่านยิ่งต้องใจเย็น หากเ้าสำนักจิตใจว้าวุ่น เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะมีโอกาสมากขึ้น”
มู่หรงฉือได้สติขึ้นมาทันที ถูกต้อง หากจิตใจว้าวุ่น เช่นนั้นก็จะเข้าแผนของมู่หรงอวี้น่ะสิ?
ต้องใจเย็นเข้าไว้!
หลังจากออกจากหนึ่งในใต้หล้า นางตัดสินใจไปทานอาหารที่ร้านอาหารกับฉินรั่วเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
ในเมืองหลวงมีร้านอาหารเปิดใหม่หนึ่งแห่งชื่อว่าหอซงเหอ ไม่ว่าจะนึกถึงเนื้อประเภทใดก็สามารถหาได้ที่นี่ มีเพียงเนื้อที่เ้าคิดไม่ออกเท่านั้น นอกนั้นจะเป็เนื้ออะไรก็หาได้ทั้งสิ้น
รถม้าหยุดลงข้างร้าน พวกเขาเพิ่งจะลงจากรถม้า ก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าโรงเตี๊ยมข้างๆ มีประชาชนอยู่ไม่น้อยมามุงดูเสี่ยวเอ้อที่กำลังไล่คน
โรงเตี๊ยมนี้เป็เพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเสี่ยวเอ้อสองคนถือไม้กวาดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ขวางไม่ให้แม่นางผู้หนึ่งเข้าไป
แม่นางผู้นั้นสวมชุดกระโปรงธรรมดา บริเวณเสื้อเปื้อนมีคราบสกปรกไม่น้อย ผมเพ้ายุ่งเหยิง มีเศษไม้ใบหญ้าติดอยู่ นางพูดขอร้องอย่างเศร้าโศก “ข้ามีเงิน ขอร้องพวกท่านให้ข้าพักสักคืนเถิดเ้าค่ะ”
“เถ้าแก่ของพวกเราบอกว่าห้องพักเต็มแล้ว ไม่มีห้องแล้ว” เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งพูดเสียงทุ้มใหญ่
“ข้าเห็นว่ามีคนมาคืนห้องแล้ว ข้าจ่ายเงินสองเท่าก็ยังไม่ได้หรือ?” แม่นางอายุน้อยคนนั้นอ้อนวอน
“หากเ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะไล่แล้วนะ” เสี่ยวเอ้ออีกคนยกไม้กวาดขึ้นขู่
“ข้าขอร้องพวกท่าน ให้ข้าพักสักคืนเถิด” แม่นางผู้นั้นยังพยายามอ้อนวอน แทบจะลงไปคุกเข่าอยู่แล้ว “โรงเตี๊ยมอื่นๆ มีแขกเต็มหมดแล้ว ข้าไม่มีที่พักจริงๆ ขอร้องพวกท่านโปรดเห็นใจเถิด”
“แม่นางคนนี้ก็น่าสงสารนะ แต่นางเอาโลงศพมาด้วย โรงเตี๊ยมจะให้นางเข้าไปพักได้อย่างไร? จะไม่ทำให้แขกทุกคนใจนหนีไปหรือ?” หนึ่งในกลุ่มคนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“เป็เช่นนั้น โรงเตี๊ยมที่ไหนจะรับแม่นางที่พาโลงศพกับคนตายมาด้วยกัน?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้