เทศกาลเช็งเม้งปีต่อมา หลัวชวนสยงตั้งใจกลับตระกูลหลัวเพื่อเผากระดาษเงินให้บิดามารดาผู้ล่วงลับ และไปยังเรือนซีคั่วเพื่อเยี่ยมเยียนลูกสาวที่ฟื้นจากความตาย นางได้รับข่าวนี้เมื่อครึ่งปีก่อน แต่เมื่อมาถึงเรือนซีคั่วกลับพบว่าเรือนถูกรื้อค้นราวผ่านการปล้นนับครั้งไม่ถ้วน พื้นที่ในเรือนเต็มไปด้วยปูนขาว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสตรีวัยสิบขวบ นางจึงรู้ว่าตระกูลหลัวไม่เคยไปรับลูกสาวกลับจากวัดสุ่ยซัง แม้จะเดือดดาลเพียงใดก็ไม่สามารถหาที่ระบายได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงไปปรึกษาเหล่าไท่ไท่ เมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นด้วยจึงส่งซ่งมามาไปรับคุณหนูเหอกลับตระกูลหลัว ทั้งยังให้นางอาศัยอยู่เรือนซีคั่วดังเดิม
เหอตังกุยกลับมาพร้อมความคับแค้นแน่นทรวงอก เมื่อเข้าประตูจวนก็วิ่งเข้าหาเหล่าไท่ไท่และแม่ของนางเพื่อระบายทุกข์ทันที
ด้านหนึ่งเหล่าไท่ไท่ยังคงโกรธที่เด็กผู้นี้เลี้ยงหนูฝูงใหญ่ไว้ในเรือน จนก่อปัญหาใหญ่เื่หนูแพร่ระบาดเมื่อครึ่งปีก่อน อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าที่เหอตังกุยกล่าวนั้นเกินจริงไปสักหน่อย แม้ชีวิตในวัดจะได้กินเพียงผักใบเขียวกับเต้าหู้ อาจลำบากเล็กน้อย แต่คงไม่ถึงขั้นหิวโหยเพียงนั้นกระมัง? นอกจากนี้แม่ชีเ่าั้ก็เพียงให้นางทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเช็ดโต๊ะหรือกวาดพื้น เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้นางเข้มแข็ง แน่นอนว่าสาเหตุที่นางพูดเช่นนี้เพราะนางอ่อนแอเกินจะแบกรับความยากลำบากเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เหล่าไท่ไท่จึงไม่สนใจสิ่งที่เหอตังกุยบ่นมากนัก เมื่อหลัวชวนสยงเห็นเหล่าไท่ไท่มีท่าทีเช่นนี้จึงไม่พูดอันใด ก่อนขอตัวไปห้องโถงด้านหลังเพื่อสวดมนต์
ต่อมาบ่าวรับใช้ของเหล่าไท่ไท่นำเื่นี้ไปรายงานเอ้อร์ไท่ไท่ บอกว่าคุณหนูสามวิ่งไปฟ้องเหล่าไท่ไท่เื่แม่ชีในวัดกลั่นแกล้ง ทั้งยังบอกอีกว่าไม่มีใครไปเยี่ยมนางกว่าครึ่งปีแล้ว ซุนซื่อคิดว่าเื่ที่ตนยักยอกเงิน “ค่าดูแล” คงจะถูกเปิดเผยแล้ว เพียงแต่เหล่าไท่ไท่เห็นแก่หน้าตนที่เป็ผู้ดูแลจวนจึงไม่ส่งคนมาตำหนิ ด้วยเหตุนี้ซุนซื่อจึงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟทันที นางจะคิดบัญชีกับเหอตังกุยอีกครั้งโดยการลดค่าเสื้อผ้า ค่าอาหารเป็สองเท่าของนางทั้งในที่ลับและที่แจ้ง อย่างไรทุกคนก็รู้ดีว่าเหอตังกุยเงอะงะเซ่อซ่า พูดเชื่องช้าไม่ทันกาล แม้จะฟ้องอันใดก็ไม่อาจได้เปรียบแม้แต่ครึ่งเดียว
หลังเทศกาลเชงเม้ง หลัวชวนสยงก็กลับวัดซานซิง เมื่อคนที่เหอตังกุยสามารถบ่นได้เพียงคนเดียวในจวนหลังนี้ไม่อยู่แล้ว นางจึงทำได้เพียงนั่งเช็ดน้ำตาทั้งวันราวเด็กหญิงตัวเล็กที่ถูกรังแก เหอตังกุยอาศัยในเรือนซีคั่วที่ทรุดโทรมและเคยเต็มไปด้วยหนูจนกระทั่งอายุสิบสี่ปี สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็สถานที่แห่งความทรงจำอันโหดร้ายที่สุดในชีวิตของนาง
หากเรือนนี้ไม่ถูกเผาให้วอดวายจนเหลือแต่ซาก นางก็จะไม่มีวันลืมความทรงจำอันโหดร้ายเหน็บหนาวเ่าั้ในชาติที่แล้วและไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงต้องเผาเรือนซีคั่วก่อนตนจะเหยียบเข้าจวนตระกูลหลัว
“โอ้ ชารสชาติดีมาก หวานกว่าชาผลไม้ที่ข้าเคยดื่มเสียอีก” เหล่าไท่ไท่ยิ้มแย้ม ความหงุดหงิดจากการกระหายน้ำพลันมลายสิ้น นางเอ่ยกับหยางมามาด้วยรอยยิ้ม “ฝีมือกานเฉ่ายังเทียบไม่ได้ ต่อไปหากข้าดื่มชาบ๊วยที่กานเฉ่าต้มก็คงจะคิดถึงรสชาตินี้”
หยางมามายกถ้วยชาผลไม้ขึ้นดมกลิ่นหอมของมัน เมื่อเหล่าไท่ไท่ดื่มหมดจึงเริ่มดื่มตาม แม้เหอตังกุยจะเตรียมน้ำชามาห้ากระบอกไม่ไผ่ อย่าว่าแต่สองคนเลย แม้แต่วัวสองตัวก็เพียงพอให้ดื่ม ถึงกระนั้นหยางมามาก็ให้ความสำคัญกับผู้เป็นายอันดับแรก
หลังเหล่าไท่ไท่ดื่มจอกแรกหมด ก็ดื่มจอกที่สองต่อจนหมดในอึกเดียว นางปฏิบัติตัวแตกต่างจากขณะอยู่ที่จวนโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะกินจะดื่มก็ต้องมีสาวใช้มาเกลี้ยกล่อมจึงจะยอมกินยอมดื่มเล็กน้อยอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่ชอบชาผลไม้ถึงเพียงนี้ นางก็รู้สึกเป็เกียรติยิ่งนัก เพราะนางเป็ผู้แนะนำให้เหล่าไท่ไท่ดื่มชานี้ด้วยตัวเอง พลางเอ่ยอย่างมีความสุข “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าชานี้หอมกว่าซุปผลไม้สดในจวน หากได้ดื่มสักถ้วยก็จะสดชื่นและอยากดื่มมันอีกหลายจอก เหตุนี้บ่าวจึงขอสูตรลับจากคุณหนูสาม คุณหนูสามไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย ทั้งยังบอกว่าเมื่อกลับถึงจวน หากได้วัตถุดิบดี ๆ ก็จะส่งให้บ่าวหลายสิบจิน ฮ่า ๆ ๆ เมื่อเหล่าไท่ไท่ชอบสิ่งนี้ พวกเราเพียงต้องหาผลไม้และน้ำผึ้งให้มากขึ้นเพื่อมอบให้คุณหนูสามทำชาผลไม้ให้พวกเราดื่ม ต่อไปท่านก็จะได้ดื่มน้ำชานี้ทุกวัน” กล่าวจบก็ก้มศีรษะจิบชา เมื่อกลืนลงไปแล้วก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ชานี้อร่อยกว่าคราวที่แล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าผลอู่เว่ยจื่อจะเปลี่ยนรสชาติได้มากเพียงนี้ ไม่เพียงมีรสเปรี้ยวอมหวานดั้งเดิมของมันเท่านั้น แต่ยังมีความกลมกล่อมติดค้างในลำคอ เป็รสชาติที่ยากจะลืมเลือนยิ่งนัก”
มือเรียวยาวของเหอตังกุยกำลังทำบางอย่างบนชุดน้ำชาชุดเล็ก เสียงชัดเจนและไพเราะราวไข่มุกตกลงบนจานหยก “นี่เป็วิธีชงชาที่ข้าเรียนรู้จากหนังสือ เดิมทีมีผลอู่เว่ยจื่อเป็ส่วนผสม เพราะข้า้าดื่มเพื่อดับกระหายจึงไม่ต้องกังวลกับการตามหามันเป็พิเศษ บังเอิญเมื่อวานแม่ชีไท่ซั่นให้ข้าไปช่วยนางจัดหายารักษาอาการปวดขาที่โรงยา ข้าจึงนำผลอู่เว่ยจื่อกลับมาชงชาด้วย คิดไม่ถึงว่าเหล่าจูจงจะชอบ เช่นนั้นตังกุยขอมอบสิ่งนี้เป็ของขวัญแด่ท่าน การดื่มสิ่งนี้ในฤดูใบไม้ร่วงจะทำให้อาหารย่อยได้ดี แต่หากดื่มในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะไม่อร่อยเท่าไรนัก ถึงตอนนั้นก็ให้ข้าชงชาแบบอื่นให้ท่านชิมดีหรือไม่เ้าคะ”
เหล่าไท่ไท่มีความสุขไม่น้อย ก่อนเอื้อมมือลูบศีรษะเหอตังกุยพลางเอ่ย “หลังได้คำแนะนำจากเซียนเวิง เ้าเปลี่ยนเป็คนละคนจริง ๆ หนึ่งเดือนก่อนเ้าไม่ได้พูดเก่งเช่นนี้ ตอนนี้เ้าเปิดปัญญาแล้ว เพราะชวนสยงพูดช้าไม่ทันคน นางจึงต้องเสียเปรียบมากมายโดยไม่ได้เอ่ยอธิบายเหตุผล ข้านึกว่าเสี่ยวอี้จะเป็เหมือนแม่ของนาง” เมื่อได้ยินความรู้ทางสรรพคุณยาที่เหอตังกุยเอ่ย ทั้งยังบอกว่าช่วยแม่ชีจัดหายารักษาอาการปวด เหล่าไท่ไท่จึงเอ่ยด้วยความสงสัย “เด็กดี เ้าได้ความรู้เื่ยามาจากที่ใด? เมื่อก่อนเ้าไม่เคยรู้เื่เหล่านี้ เอ เมื่อครู่เ้ายังบอกอีกว่าเ้าเคยอ่านหนังสือด้วย? เสี่ยวอี้เ้ารู้หนังสือั้แ่เมื่อใดกัน?”
ตอนเหอตังกุยอายุเท่านี้ในชาติที่แล้ว นางยังไม่รู้หนังสือมากนัก ดังนั้นตัวอักษรในจดหมายที่ให้เนี่ยชุนส่งไปฉบับนั้นจึงใช้มือซ้ายเขียน อีกทั้งพยายามเขียนให้เหมือนเด็กหัดเขียนอย่างสุดความสามารถ รวมไปถึงเขียนตัวอักษรที่เหมือนกันสี่ถึงห้าคำและตัวอักษรที่สะกดผิดอีกมากมาย จดหมายทั้งฉบับจึงเป็เพียง “เนื้อหาที่พอจะเดาได้” เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อครู่เหล่าไท่ไท่จึงไม่มีข้อสงสัยใดต่อเหอตังกุยที่แม้จะไม่รู้หนังสือแต่กลับเขียนจดหมายหนึ่งฉบับได้กะทันหัน
“เหล่าจูจงยังไม่รู้อะไร แม้ข้าจะรู้หนังสือไม่มากนัก แต่โชคดีที่ข้าเพิ่งรู้จักคำศัพท์เกี่ยวกับสูตรชาผลไม้ชนิดนี้ แต่คำอื่น ๆ ตังกุยก็อ่านไม่ออกแล้วเ้าค่ะ หนังสือสูตรอาหารก็อ่านไม่ได้สักตัว” เหอตังกุยรินน้ำชาผลไม้ร้อนได้ที่ลงกระบอกไม้ไผ่สองกระบอก พลางอธิบายให้เหล่าไท่ไท่ฟังต่อ “ความรู้เื่ยาก็ได้ยินและเรียนรู้ตอนอยู่ในจวนหลัวเมื่อครึ่งปีที่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้เท่าเด็กรับใช้กวาดพื้นในโรงยาหนานหยวนด้วยซ้ำ พูดไปก็มีแต่จะทำให้คนหัวเราะ ข้าจึงไม่เคยเอ่ยให้เหล่าจูจงฟังเ้าค่ะ” กล่าวจบก็เลิกผ้าม่านก่อนส่งกระบอกไม้ไผ่ให้ฉานอีที่นั่งพักบนที่นั่งคนขับรถม้า ขอให้นางแบ่งชาให้แม่นางจีและไฮว่ฮวาดื่มด้วยกัน ด้วยเหอตังกุยมีเื่มากมายอยากคุยกับเหล่าไท่ไท่ คงไม่เหมาะหากปล่อยให้พวกนางทั้งสามนั่งรอด้วยความกระหาย การกระทำนี้เอาชนะใจหยางมามาได้ หยางมามารู้ว่าอาจีผู้เป็บุตรสาวรีบเร่งมาที่นี่ทั้งคืน น้ำสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม แม้นางอยากให้ลูกสาวของนางดื่มชาสักจอกเพื่อดับกระหาย แต่นางก็ยังต้องดูแลเ้านายของนางเสียก่อน
เมื่อเหล่าไท่ไท่ฟังคำอธิบายของเหอตังกุยก็รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่น้อย ตอนตนแต่งเข้าตระกูลหลัวก็ไม่มีความรู้เื่ยาหรือการแพทย์แม้แต่นิดไม่ใช่หรือ?
ทว่าหลัวตู้จ้งสามีของนางเป็หมอหลวงขั้นหกในราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นในตระกูลยังเปิดร้านขายยาซานชิงถัง เป็ร้านขายยาแห่งแรกที่มีประวัติยาวนานถึงแปดสิบปีในราชวงศ์ต้าิ นางจึงต้องคลุกคลีกับยาทั้งวัน ค่อย ๆ ซึมซับความรู้มากขึ้น ในบรรดาลูกชายทั้งสามของเหล่าไท่เหยีย หลัวตู้จ้งคือลูกชายคนโต เมื่อสิบห้าปีก่อนั้แ่เหล่าไท่เหยียเริ่มท่องยุทธภพ ร้านขายยาซานชิงถังจึงตกเป็ของตระกูลหลัวตงอย่างเป็ทางการ ขณะนั้นเหล่าไท่ไท่คือฮูหยินใหญ่ที่ดูแลเื่ภายในจวนหลัวตง ด้วยเหตุนี้ นางจึงค่อย ๆ เรียนรู้วิธีจับเส้นชีพจรจากผู้เป็สามี ถึงขั้นเก่งกาจกว่าหลัวชวนไป๋ผู้เป็ลูกชายคนโตและหลัวชวนกู่ผู้เป็ลูกชายคนรอง
ต่อมาเหล่าหลานสาวของนางก็ค่อย ๆ รู้หนังสือมากขึ้น เหล่าไท่ไท่คิดว่าการที่ตนมีความรู้เื่คิดเลขและยา นางจึงสามารถเอาชนะพี่สาวที่ไม่ชอบเรียนหนังสือจนขึ้นมานั่งในตำแหน่งฮูหยินใหญ่ดูแลจวนได้ ดังนั้นจึงอยากให้หลานสาวทั้งหลายทำเหมือนที่นางเคยทำ เมื่อมีวิชาติดตัว อนาคตหากออกเรือนก็จะไม่เสียเปรียบผู้อื่น เหล่าไท่ไท่จึงตั้งใจเชิญอาจารย์หญิงที่มีชื่อเสียงหลายคนมาสอนวิชาให้เหล่าคุณหนู บางครั้งก็เชิญมามาชราที่เกษียณงานจากพระราชวังมาสอนมารยาทและเล่าเื่ที่น่าสนใจในเมืองอิ้งเทียนให้ฟัง เพื่อให้พวกนางได้เปิดหูเปิดตา
สำนักเฉิงซวี่ในเมืองหยางโจวเป็สำนักศึกษาที่แยกชายหญิงออกจากกัน ถือเป็ข้อได้เปรียบสำหรับสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงทุกคน สตรีสามารถไปเรียนหนังสือได้และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการค้า ซึ่งจะเป็ประโยชน์ต่อพวกนางในภายภาคหน้าเมื่อพวกนางต้องรับผิดชอบเื่ในจวนและตรวจบัญชี แม้คุณหนูส่วนใหญ่จะไม่สนใจการเรียนหนังสือ ชอบฟังละครงิ้วและปักผ้าลายเป็ดแมนดารินอยู่บ้านมากกว่า แต่ทุก ๆ สามปีจะมีการจัดงาน “ชวีสุ่ยหลิวซาง” ที่สำนักเฉิงซวี่ เพื่อสร้างความสุขแก่เหล่าคุณหนูคุณชายทั้งหมด อีกทั้งเพื่อดึงดูดเหล่าคุณหนูที่ี้เีเรียนให้มาสมัครเรียนที่สำนักศึกษา
งานเลี้ยง “ชวีสุ่ยหลิวซาง” คืองานบทกวีที่ถ่ายทอดมาั้แ่สมัยโบราณ ทุกคนจะนั่งล้อมรอบกันข้างลำธารโดยมีจอกเหล้าวางที่พื้น หากจอกเหล้าหยุดที่ผู้ใด ผู้นั้นจะต้องดื่มพร้อมแต่งบทกวีแล้วอ่านมัน ส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกเลือกต้องแต่งบทกวีให้คล้องจองกับบทกวีของนักกวีในอดีต หรือแต่งบทกวีโดยมีหัวข้อกำหนดซึ่งไม่ใช่เื่ยาก
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของการเข้าร่วมงานเลี้ยง “ชวีสุ่ยหลิวซาง” คือเด็กนักเรียนชายหญิงสามารถเข้าร่วมด้วยกันได้ นักเรียนหญิงไม่จำเป็ต้องดื่มเหล้าแต่ต้องเพิ่มการแสดงความสามารถพิเศษ นักเรียนชายนอกจากจะเขียนบทกวีแล้วยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันวรยุทธ์ แม้จะเทียบไม่ได้กับการต่อสู้โดยใช้ดาบจริงในยุทธภพ แต่ก็น่าสนใจเมื่อได้เห็นคุณชายสูงศักดิ์ที่สง่างามและหล่อเหลาถือดาบเข้าต่อสู้ งานเลี้ยงรวมตัวนักเรียนชายหญิงที่ถูกจัดขึ้นทุกสามปีนี้ก็เปรียบเสมือนการนัดดูตัวของชายหญิงแปลกหน้าในรูปแบบกลุ่ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้