ที่นี่มีกฎเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติกันอยู่ ยามจัดงานเลี้ยง คนที่ทํางานในห้องครัว หลังจากได้รับอนุญาตจากเ้าของเรือน ก็สามารถห่ออาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงกลับไปได้บางส่วน
อาหารในงานเลี้ยงจำเป็ต้องจัดเตรียมให้มากสักหน่อย เช่นนี้ย่อมมีส่วนที่เหลืออย่างแน่นอน ดังนั้นการช่วยงานในครัวจึงเป็เื่ที่ดี
ต้าหลิวซื่อก็ทำเพื่อให้หลานสาวจากบ้านเดิมได้รับผลประโยชน์
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าหลานสาวจากบ้านเดิมของนาง จะถูกมีดทำครัวเฉือนเข้าที่นิ้วชี้ข้างซ้ายจนเป็าแฉกรรจ์เช่นนี้
ความรู้ด้านแพทย์ของแคว้นต้าถังยังล้าหลังอยู่มาก ยามผู้คนถูกเครื่องมือเหล็กบาดผิวจะทำให้ติดเชื้อบาดทะยักได้ง่าย บางคนที่โชคร้ายสักหน่อยล้วนเสียชีวิตด้วยเหตุนี้
เมื่อครู่หลี่ชิงชิงได้บอกทุกคนไปแล้วว่าหลิวซื่อจะไม่ตาย ระยะเวลาสองเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา หลี่ชิงชิงได้รักษาคนในวงศ์ตระกูลของหมู่บ้านหวังไปแล้วหลายคน และได้รักษาจนหายดีแล้ว ต้าหลิวซื่อจึงเชื่อในคํากล่าวของหลี่ชิงชิง
ยามนี้สิ่งที่ต้าหลิวซื่อกังวลก็คือนิ้วชี้ข้างซ้ายของหลิวซื่อจะใช้การได้หรือไม่ หากเป็เช่นนั้น หลิวซื่อก็จะกลายเป็คนพิการ...
ผู้เฒ่าหวังเห็นรอยคราบเืหลายหยดบนพื้นข้างประตูห้องโถงโดยไม่ตั้งใจ นี่คงเป็เืจากนิ้วของหลิวซื่อกระมัง จากบ้านของพี่ใหญ่มาถึงที่นี่เป็ระยะทางสิบกว่าจั้ง [1] หลิวซื่อคงเืไหลมาตลอดทาง เขาจึงเอ่ยในใจ ‘เืไหลมากขนาดนี้ จะเป็อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?’
ครั้นหวังเลี่ยงเห็นว่าผู้เฒ่าหวังมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านป้าใหญ่ ประเดี๋ยวข้าเข้าไปถามพี่สะใภ้สามให้ขอรับ”
เขาเป็เด็กหนุ่มอายุสิบปี บรรดาสตรีที่อยู่ด้านในไม่ว่าจะผู้ใด ว่าตามอายุของพวกนางแล้วล้วนแต่คลอดเขาออกมาได้ เขาจึงเบียดตัวเข้าไปโดยไม่ต้องกังวลมากนัก
“ไม่เป็อันใดแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ไม่เป็อันใดจริงๆ เ้าค่ะ” หลี่ชิงชิงทําแผลให้หลิวซื่อและทาผงยาห้ามเืเสร็จแล้ว นิ้วชี้ของหลิวซื่อเืหยุดไหลแล้ว แต่ก็ยังเจ็บอยู่มาก
หลิวซื่อร้องออกมาอย่างอกสั่นขวัญหาย “เจ็บจะตายแล้ว”
หวังพั่นตี้ยืนอยู่ด้านข้างหลี่ชิงชิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานจ๋อยอย่างเด็กๆ “อาสะใภ้สามบอกว่าไม่เป็อันใด ท่านไม่เป็อันใดหรอกเ้าค่ะ”
หวังเลี่ยงก้มลงไปเอ่ยสองประโยคที่ข้างหูหลี่ชิงชิง
หลี่ชิงชิงได้ยินไม่ชัดว่าเด็กหนุ่มกล่าวสิ่งใด นางจึงเอ่ยเสียงดัง “เพียงเฉือนเนื้อชิ้นเล็กๆ เท่านั้น กระดูกนิ้วไม่ได้รับาเ็ แน่นอนว่าสามารถรักษานิ้วเอาไว้ได้!”
ก่อนหน้านี้นางเคยไปที่ร้านขายยาในตำบล อนิจจา สภาพร้านนั้นแย่ยิ่งนัก หมอวินิจฉัยโรคก็เป็หมอที่มีฝีมือในการรักษาต่ำ ทว่าหมอที่มีระดับทักษะการแพทย์เพียงเท่านี้กลับมีชื่อเสียงยิ่งในอําเภอเหอ
ฝีมือการรักษาย่ำแย่และยายังราคาแพงมาก ทำให้เหล่าชาวบ้านเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา แม้ว่าจะเป็การเจ็บป่วยเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังกลัวว่าตนเองอาจจะตายได้
หลิวซื่อที่อยู่ตรงหน้าเองก็เป็เพราะเนื้อที่นิ้วถูกเฉือนไปหนึ่งชิ้น ในใจจึงหวาดกลัวว่าตนเองจะตาย นางร้องไห้อยู่พักใหญ่ หลี่ชิงชิงปลอบใจอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของต้าหลิวซื่อมีความซาบซึ้งใจเป็อย่างยิ่ง “ขอบใจสะใภ้เฮ่ามาก”
ยามนี้หลี่ชิงชิงยังไม่ได้ทํายาแก้ปวดออกมา จึงได้แต่มองหลิวซื่อเ็ปอย่างทำอันใดไม่ได้ นางปลอบใจหลิวซื่อเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง รอจนหลิวซื่อหยุดร้องแล้วก็ให้ต้าหลิวซื่อและคนอื่นๆ พาหลิวซื่อกลับไป
“หากข้าป่วยจะทำอย่างไร?” ครั้นหลิวซื่อนึกถึงชายหนุ่มที่เสียชีวิตจากโรคบาดทะยักในหมู่บ้าน น้ำเสียงของนางก็สั่นเครือเล็กน้อย
น้ำเสียงของหลี่ชิงชิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ต่อให้ป่วยก็ไม่ต้องกลัว ข้าสามารถรักษาให้หายได้ ข้าอยู่ที่เรือนตลอด ท่านไม่ต้องกลัวไปเ้าค่ะ”
หลิวซื่อเห็นว่าหลี่ชิงชิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทันใดนั้นในใจของนางจึงพลันสงบลงบ้างแล้ว
หากหลิวซื่อไปหาหมอที่ร้านยาในตำบล จะสามารถห้ามเืได้ในทันทีหรือไม่ก็ยังยากที่จะพูด ค่ารักษาและค่ายารวมกันแล้วแพงยิ่ง อย่างน้อยก็ห้าสิบเหรียญทองแดง
หลี่ชิงชิงหยุดเืให้หลิวซื่อได้ภายในเวลาอั้นสั้น ไม่เก็บเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว และยังรับประกันว่าต่อให้หลิวซื่อไม่สบายก็สามารถรักษาให้หายได้
ต้าหลิวซื่อ หลิวซื่อและคนอื่นๆ รู้สึกขอบคุณหลี่ชิงชิงเป็อย่างยิ่ง พวกนางพากันกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ลูกสะใภ้ทั้งสามคนของต้าหลิวซื่อเชิญหลี่ชิงชิงไปที่งานเลี้ยงอย่างกระตือรือร้น
“ข้าคงไม่ไปแล้วเ้าค่ะ” หลี่ชิงชิงส่งหลานสาวสองคนที่เฝ้าอยู่ข้างกายนางตลอดเวลาเมื่อครู่ให้กับหวังจวี๋ “พั่นตี้กับเจาตี้ชอบความครึกครื้น เ้าพาพวกนางไปดูหลานชายตัวน้อยที่งานกินเลี้ยงบ้านท่านป้าใหญ่เถิด”
วันนี้เป็พิธีฉลองครบเดือนของเหลนชายคนโตของต้าหลิวซื่อ หากนับตามลําดับาุโแล้ว หวังพั่นตี้พี่น้องเป็ท่านอาของทารกน้อยคนนี้
คราวนี้ทําเอาหวังพั่นตี้กับหวังเจาตี้ดีใจถึงที่สุด ใบหน้าเล็กๆ ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
ส่วนหวังฉิวตี้นั้นยังเด็กเกินไป หลี่ชิงชิงเกรงว่านางจะวิ่งเต้นไปทั่วแล้วหลงทางเอาได้
จางซื่อย่อมดีใจเช่นเดียวกัน จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้ เ้าตามใจพวกนางไปแล้ว”
กลุ่มสตรีจากไปกันหมดแล้ว ในที่สุดตระกูลหวังก็เงียบสงบลง
จางซื่อเป็คนขยัน นางรีบไปที่ห้องครัวเพื่อยกน้ำมาเตรียมชำระล้างคราบเืบนพื้น
ผู้เฒ่าหวังบอกหลี่ชิงชิงเกี่ยวกับเื่ที่เ้าของเซียงเยวี่ยไจซื้อสูตรไข่เค็มด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินที่หน้าห้องโถงอย่างอดทนไม่ไหว พลางเอ่ยอย่างเร่งรัดว่า “ชิงชิง รีบไปที่อําเภอเหอกับพวกข้าเร็วเข้า”
ครานี้เขาต้องให้หลี่ชิงชิงขายสูตรไข่เค็มให้จงได้ จะไม่ยอมพลาดโอกาสร่ำรวยไปอย่างเด็ดขาด!
หวังเลี่ยงเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สะใภ้สามของข้าช่วยคนไม่เก็บเงิน จิตใจดีมีเมตตาย่อมได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน ์จึงส่งเซียงเยวี่ยไจมาซื้อสูตรไข่เค็มของพี่สะใภ้สาม”
“ตกลงเ้าค่ะ ช่วยรอข้าสักครู่ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้” หลี่ชิงชิงย่อมยินดีเป็อย่างยิ่ง นี่มากกว่าราคาที่ตั้งไว้ในใจของนางถึงสามเท่า นางตกลงยอมขายสูตรไข่เค็มแล้ว
บนอาภรณ์ของนางเปื้อนไปด้วยน้ำของพริก นางจึงผลัดเปลี่ยนเป็ชุดสะอาดทั้งกาย พกเงินติดตัวไปด้วยเล็กน้อย พร้อมบอกกล่าวจางซื่อหนึ่งประโยค และเดินตามผู้เฒ่าหวังพ่อลูกออกไป
ครั้นเดินมาถึงถนนทางการ ก็ประจวบเหมาะพบกับเกวียนลาที่รับคนไปยังอำเภอเหอโดยเฉพาะ หลี่ชิงชิงไม่ได้เอ่ยถามผู้เฒ่าหวังแต่อย่างใด นางขวางให้เกวียนหยุด ระยะทางจากหมู่บ้านหวังถึงอําเภอเหอจ่ายคนละหนึ่งเหรียญทองแดง นางจ่ายเงินสามเหรียญทองแดงให้กับชายชราผู้ขับเกวียนแล้วขึ้นเกวียน
หากเป็ยามปกติ ตีให้ตายผู้เฒ่าหวังก็ไม่เสียเงินนั่งเกวียนลา แต่ว่าวันนี้มีเื่สำคัญ ทั้งลูกสะใภ้แท้ๆ ยังเป็คนจ่ายเอง เขาจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ตามหวังเลี่ยงขึ้นไปนั่งที่เกวียนลา
ระหว่างทาง หวังเลี่ยงเล่าเื่ที่มีคนจำนวนมากขายข้าวปั้นที่ตลาดในอำเภอให้หลี่ชิงชิงฟัง
“พวกเขาล้วนเลียนแบบข้าวปั้นของบ้านเรา แล้วยังขายราคาถูกถึงเพียงนั้น ฮึ พวกเขามาแย่งการค้าของบ้านเรา”
“ชิงชิง เ้ากล่าวได้ถูกต้อง การขายข้าวปั้นทําได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
“ท่านแม่กับพี่ใหญ่ไปขายข้าวปั้นที่ตําบลชาง ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็อย่างไรบ้าง?”
“คนพวกนั้นน่ารังเกียจจริงๆ!”
ผู้เฒ่าหวังพ่อลูกเกิดความพะวงต่อเื่นี้อยู่ในใจตลอดเวลา
เมื่อเข้าไปในอําเภอ หลี่ชิงชิงก็เกิดแผนการขึ้นในใจ นางไม่ได้ไปที่เซียงเยวี่ยไจในทันที แต่มอบเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งแก่หวังเลี่ยง และให้เด็กหนุ่มไปที่โรงน้ำชาเพื่อสอบถามถึงภูมิหลังของเซียงเยวี่ยไจ รวมไปถึงข้อควรระวังในการลงนามสัญญา
โรงน้ำชาเป็สถานที่ที่ได้รับข่าวสารค่อนข้างรวดเร็ว หาก้ารู้เื่ใดก็ให้ไปที่นั่น
หวังเลี่ยงเดินกลับมาจากโรงน้ำชา เขาเอ่ยกับหลี่ชิงชิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงว่า “แย่แล้ว เ้าของเซียงเยวี่ยไจก็คือพี่ชายหนวดเคราผู้นั้น คนในตระกูลของพวกเขาเป็ถึงพระสนมในวังหลวงด้วยขอรับ”
วังหลวงกับตระกูลหวัง ต่างกันราวฟ้ากับดิน
หวังเลี่ยงเล่าข่าวที่ได้ไปสอบถามมาเกี่ยวกับตระกูลหม่าด้วยสีหน้าซับซ้อน และเล่าถึงข้อกําหนดของสัญญาซื้อขายด้วย
หลี่ชิงชิงคาดไม่ถึงว่าจะได้ทำการค้ากับญาติพระสนมของฮ่องเต้ นางครุ่นคิดในใจว่าตอนที่พบกับหม่าชิง ควรจะพูดอย่างไรให้ดูเหมือนไม่เข้าหาผู้มีอิทธิพล และยังสามารถตีสนิทมาเป็คู่ค้าได้ จะได้ง่ายต่อการเจรจาการค้าในภายภาคหน้า
ผู้เฒ่าหวังตะลึงตาค้างไปแล้ว เอ่ยพึมพําว่า “นี่ตระกูลหม่าเป็ญาติของเชื้อพระวงศ์หรือ?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวลไป ข่าวที่น้องชายไปสืบมายังบอกว่าตระกูลหม่ามีชื่อเสียงไม่เลว เมื่อก่อนตอนที่รับซื้อสูตรอาหารของผู้อื่นก็ล้วนจ่ายเงินทั้งสิ้น” หลี่ชิงชิงเอ่ยเสียงต่ำอีกว่า “หนึ่งร้อยตำลึงเงินอาจจะมหาศาลสําหรับพวกเรา แต่สําหรับตระกูลหม่านั้นนับเป็เพียงเศษเงิน”
หวังเลี่ยงถาม “พี่สะใภ้สาม ท่านยังจะขายสูตรไข่เค็มให้พี่ชายหนวดเคราอยู่หรือไม่ขอรับ?”
--------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จั้ง (丈) หมายถึง หน่วยวัดความยาว 1 จั้ง = 3.33 เมตร
