พูดถึงฝั่งมู่จื่อหลิง
พวกเขาทั้งกลุ่มเข้าไปในป่าสายหมอกแล้ว
ป่าสายหมอกที่มองเห็นจากข้างนอกและที่มองเห็นจากด้านใน เป็ทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
ป่าทั้งพื้นที่มีสายหมอกลอยห้อมล้อมอย่างอ้อยอิ่ง ข้างในมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอย่างเขียวชอุ่ม
ต้นไม้โบราณสูงเสียดเมฆที่สูงไม่สม่ำเสมอกัน ใบไม้สีเขียวเป็หย่อมๆ ปกคลุมเป็เงาสีเข้ม ยืนต้นซ้อนกันเข้าไปในหมอก
ใบไม้งอกงามสลับซับซ้อนปกคลุมป่าสายหมอก ปรากฏขึ้นอย่างวับแวมในหมอกทึบทึมสีขาว คล้ายดั่งภาพมายา
มู่จื่อหลิงมองสีขาวสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า ขมวดคิ้วน้อยๆ “ป่ากว้างใหญ่เพียงนี้ พวกเรามิอาจเข้าไปค้นหาโดยไร้จุดหมาย เช่นนี้จะเป็การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”
เสิ่นซือหยางเอ่ยเตือน “หวางเฟย คราก่อนที่ข้าน้อยมา พอจะเข้าใจภูมิประเทศที่นี่ได้คร่าวๆ บริเวณที่มีสัตว์ป่าเคลื่อนไหวล้วนเป็ป่าลึก ตอนนี้พวกเราสามารถตรงไปค้นหาในป่าลึกได้เลย”
มู่จื่อหลิงพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเสิ่นซือหยาง
นางลูบคาง พูดกับเสิ่นซือหยางด้วยเสียงราบเรียบ “แต่สัตว์ร้ายยังมีชีวิต พวกมันมิอาจอยู่ในบริเวณเดียวกันเป็แน่ พวกเราไปหาด้วยกัน การค้นหาคงยากนัก”
นางหยุดชะงัก แล้วพูดว่า “เอาเช่นนี้ พวกเราแบ่งทหารเป็สองทาง เสี่ยวไตกูมอบให้เ้า เ้านำสองสามคนไปทางซ้าย เปิ่นหวางเฟยจะนำสองสามคนไปทางขวา”
“หวางเฟย นี่มิได้โดยเด็ดขาด” เสิ่นซือหยางปฏิเสธอย่างไม่คิด
ภัยอันตรายของป่าสายหมอกไม่กี่วันก่อนหน้า จะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ปล่อยให้สตรีที่ไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่อย่างมู่จื่อหลิงนำคนไปด้วยตนเอง
เดิมคนที่พวกเขาพามาก็น้อยอยู่แล้ว หากแบ่งเป็สองทาง เขาไม่มีปัญหา แต่มู่จื่อหลิงไม่เหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นหากคนที่อยู่เื้ัรู้ว่าพวกเขามาค้นหาอีกครั้ง ก็ไม่แน่ว่าจะลอบวางแผนร้ายลับหลังหรือไม่
ไม่พูดถึงฐานันดรสูงศักดิ์ของมู่จื่อหลิง ต่อให้นางเป็แค่เด็กสาวธรรมดาสามัญ เขาก็ไม่ปล่อยให้นางเข้าไปเสี่ยงอันตราย
ถ้ามิใช่เพราะหมดหนทาง วันนี้เขาคงไม่คิดให้มู่จื่อหลิงร่วมทางมาค้นหาด้วย ตอนนี้เด็กสาวยังคิดจะเข้าไปหาด้วยตนเองอีก เขาไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย
มู่จื่อหลิงรู้ว่าเสิ่นซือหยางกำลังกังวลสิ่งใด นางมิได้พูดจา นำเสี่ยวไตกูออกมา ยัดใส่ในอ้อมแขนของเสิ่นซือหยางโดยทันที
เสิ่นซือหยางสีหน้าเคร่งขรึมยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง นั่นก็คือไม่เห็นด้วยนั่นเอง และไม่รับเสี่ยวไตกูมาเช่นกัน
เขาในยามนี้ก็เหมือนบิดาเคร่งขรึมน่าเกรงขาม พูดอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยที่บุตรสาวในห้องหอจะไปเสี่ยงอันตรายตามลำพัง
เอาเถอะ เมื่อเห็นท่าทางปฏิเสธอย่างดื้อดึง สามารถถูกบุคคลเช่นนี้เป็ห่วงได้ ในใจมู่จื่อหลิงก็ยังอบอุ่นขึ้นมา
นางเข้าไปใกล้เสิ่นซือหยางอย่างน่าสงสาร เบะปาก แสร้งถามด้วยความเศร้าสร้อย “ผู้เฒ่าเสิ่น หรือว่าในสายตาท่าน ข้าอ่อนแอมิอาจต้านลมเหมือนสตรีในห้องหอคนอื่นหรือ?”
ยามนี้แม้แต่สรรพนามของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไปแล้ว และไม่ไปพูดถึงความสูงต่ำมารยาทนั้นอีก อย่างไรนางก็มิชอบสิ่งนี้อยู่แล้ว
นางรู้ว่า ถ้านางใช้มาดหวางเฟยผู้สูงศักดิ์ ้านำคนเข้าด้วยตนเองอย่างเผด็จการ เสิ่นซือหยางก็คงทำสิ่งใดไม่ได้
เสิ่นซือหยางก็คงได้แต่ทำตาม แต่นางไม่อยากทำเช่นนี้
ฐานะสูงศักดิ์เช่นฉีหวางเฟย นางชอบใช้แค่กับคนที่มองแล้วไม่รื่นหูรื่นตาเท่านั้น
แต่สำหรับเสิ่นซือหยางที่มีใบหน้าแข็งกระด้าง เคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้ม แต่นางยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสนิทสนม
เสิ่นซือหยางได้ยินคำเรียกนี้ มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย เคราสีดำดกหนาปกปิดช่องโหว่นี้ได้เป็อย่างดี ทำให้สีหน้าเขายังคงเป็ปกติเช่นเดิม
เขาชราที่ใดกัน พูดไปแล้วก็อายุใกล้เคียงกับบิดาของเด็กสาวผู้นี้ จะกลายเป็ผู้เฒ่าได้อย่างไร
แต่ว่า
ผู้เฒ่าเสิ่น?
เมื่อเรียกเช่นนี้กลับไม่แสดงออกถึงความห่างเหิน และคล้ายกับจะสนิทสนมกันขึ้นมาบ้าง เขาชื่นชอบยิ่งนัก
ในใจเสิ่นซือหยางลอบยินดีกับคำเรียกขานของมู่จื่อหลิง บนใบหน้ายังคงเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้ม มองมู่จื่อหลิงอย่างจริงจัง “หรือหวางเฟยไม่อ่อนแอ?”
“แล้วข้าอ่อนแอตรงใดกัน?” มู่จื่อหลิงพองแก้ม สองมือเท้าเอวแสดงออกว่าไม่ยินยอม
เสิ่นซือหยางมองประเมินมู่จื่อหลิงขึ้นลง ส่ายหัวอย่างเฉยเมย โจมตีโดยไร้ความลังเล “ในมือไร้อาวุธ ไม่เป็วรยุทธ์จึงนับว่าอ่อนแอ”
เอ้อ! มู่จื่อหลิงไร้คำพูดไปโดยพลัน ไม่เป็วรยุทธ์นับว่าอ่อนแอ? นี่มันตรรกะเพี้ยนของสำนักไหนกัน
จะดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว
แต่ว่า...
ต่อให้นางไม่ได้วรยุทธ์ แต่นางก็ร้ายกาจดังเดิม ยังคงมีความสามารถ
มู่จื่อหลิงยิ้มกริ่มขณะพูด “แต่ท่านมีวรยุทธ์ ข้าก็ไม่เห็นว่าท่านจะร้ายกาจเท่าไรเลยนี่!” นางหยุดชะงักแล้วบุ้ยปาก “เอ้า! ท่านดูนี่นะ”
สิ้นสุดคำพูดนาง ก็ได้ยินเสียง ‘เคร้ง ตึง’
กระบี่คมที่เสิ่นซือหยางกำไว้ในมือแน่นตกลงบนพื้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ทหารไม่กี่คนเห็นฉากนี้แล้วก็ล้วนไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
กระบี่ของใต้เท้าเสิ่นตกลงไปบนพื้นโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร? เขาคงมิได้โยนทิ้งด้วยตนเองกระมัง?
“ใต้เท้าเสิ่น กระบี่ท่านตกลงบนพื้นได้อย่างไร?” เฮยชีรีบก้าวขึ้นมาเก็บกระบี่ ถามอย่างไม่เข้าใจ
เสิ่นซือหยางที่ออกแรงกำมือที่กลับมามีเรี่ยวแรงตื่นตะลึงน้อยๆ เมื่อครู่นี้เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มือที่ถือกระบี่ก็ไร้เรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ
เขาเข้าใจขึ้นมาทันที เมื่อครู่เด็กสาวผู้นี้วางยาพิษเขาแล้ว และเขาตรวจจับมิได้เลยแม้แต่น้อย
เด็กสาวเฉลียวฉลาดผู้นี้ เขาไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้ว
มู่จื่อหลิงยิ้มจนตาหยีมองเสิ่นซือหยาง ส่งเสี่ยวไตกูให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มอันเจิดจ้าเผยให้เห็นฟันสีขาว “เป็อย่างไร? ข้ายังอ่อนแออยู่หรือไม่?”
เสิ่นซือหยางรับเสี่ยวไตกูมา ั์ตาปรากฏแววจนปัญญา เขาถอนหายใจแ่เบา ออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “เฮยอี เฮยเอ้อร์ไปกับข้า ส่วนคนอื่นติดตามฉีหวางเฟย ระหว่างทางต้องระมัดระวัง เช้าวันพรุ่งนี้ไม่ว่าผลเป็อย่างไรต้องกลับมารวมตัวกันที่นี่ก่อน”
สัตว์มักจะออกมาระรานในยามราตรี น้อยนักที่จะปรากฏกายยามกลางวัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ต้องค้นหาในเวลาดึกดื่น ค้นหาเช่นนี้พวกเขาจะได้เปรียบมากขึ้น
ครั้งนี้ที่พวกเขาออกมานำทหารมาด้วยเจ็ดนาย เสิ่นซือหยางเลือกสองคนที่อ่อนที่สุด คนอื่นอีกห้าคนให้ติดตามมู่จื่อหลิง
“ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกข้าน้อยจะปกป้องหวางเฟยให้ดี” เฮยซานและเฮยชีกล่าวเต็มไปด้วยพลัง ยกมือประสานตอบรับ
มู่จื่อหลิงก็มิได้มีข้อคัดค้านกับการแบ่งเช่นนี้ของเสิ่นซือหยาง
อย่างไรไอพิษที่เสี่ยวไตกูปล่อยออกมานับว่ายอดเยี่ยม พูดอย่างไรก็สามารถชนะหนึ่งต่อสองได้ และวรยุทธ์ของเสิ่นซือหยางก็คงไม่กระจอกแน่
อีกอย่างนอกจากนางจะใช้พิษได้แล้ว นางก็ไม่เป็วรยุทธ์ถือว่าอ่อนแอจริงๆ มีห้าคนคอยคุ้มครองด้วยกันหลายๆ ทาง
เมื่อเป็เช่นนี้ คนสองกลุ่มจึงแยกกันไป เสิ่นซือหยางพาทหารสองนายไปทางซ้าย มู่จื่อหลิงพาทหารห้าคนไปทางขวา
หลังจากที่พวกเขาไปได้ไม่นาน ป่าสายหมอกก็มีคนมาเพิ่มสองสามคน
-
อุทยานจื่อจู๋
หลงเซี่ยวอวี่นอนอยู่บนหลังคาอย่างตามสบาย มือข้างหนึ่งหนุนท้ายทอยไว้ ชันขาขึ้นมาอีกข้าง ปิดตางีบหลับ
ท่าทางเกียจคร้านเอาแต่ใจ ท่ามกลางความอิสระเดียวดายก็ยังคงเ็าถือดี บนกายยังคงแผ่บรรยากาศอันสูงศักดิ์น่าหลงใหลที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
เล่อเทียนนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนในลานบ้าน ศึกษาน้ำยาหลิงอวิ้นที่มู่จื่อหลิงมอบให้โดยละเอียด ยิ่งค้นคว้าเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
ตามความคาดหมายของเขา น้ำยาหลิงอวิ้นไม่เพียงฟื้นฟูอวัยวะภายในที่กำลังจะล้มเหลวได้ แต่ยังสามารถหล่อเลี้ยงร่างกาย และมีประโยชน์ต่อยาและการรักษา สามารถสกัดส่วนประกอบยาออกมาได้หลายตัว
น้ำยาหลิงอวิ้นเพียงอึกเดียว กลิ่นหอมนั้นยิ่งทำให้คนลืมไม่ลง กลมกล่อมเข้มข้น จนเรียกได้ว่าเป็ของชั้นเลิศในโลกมนุษย์
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเงาร่างที่เหมือนปีศาจร้าย ร่อนลงบนหลังคาอย่างไร้สุ้มเสียง
“พูด” หลงเซี่ยวอวี่ที่ยังหลับตาเช่นเดิม พูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“นายท่าน เช้าวันนี้หวางเฟยไปจากสวนจิ้งซินแล้ว เย่จื่อมู่ผู้นั้นก็ปรากฏกายขึ้น เขากับหวางเฟยร่วมทางไปศาลต้าหลี่แล้วจึงจากไป ยามนี้หวางเฟยเข้าไปค้นหาในป่าสายหมอกกับใต้เท้าเสิ่น” กุ่ยเม่ยรายงานอย่างนอบน้อม
ก่อนหน้านี้กุ่ยเม่ยก็ไปสืบมาแล้วว่าบุรุษชุดแดงที่ซ่อนตัวในตำหนักโซ่วอันวันนั้นก็คือเย่จื่อมู่ เถ้าแก่หอเยวี่ยอวี่
ทว่าั้แ่ต้นจนจบกลับหาฐานะที่แท้จริงของเย่จื่อมู่ไม่พบ และสืบจุดมุ่งหมายที่เขาปรากฏตัวขึ้นข้างกายมู่จื่อหลิงอยู่บ่อยครั้งไม่พบ
รู้เพียงว่าเย่จื่อมู่ดูเหมือนจะมิได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อหวางเฟยแม้แต่น้อย ยามปกติจะช่วยเหลือกิจการของหลิงซั่นถังโดยที่มู่จื่อหลิงไม่รู้ แล้วยัง...
กุ่ยเม่ยพลันนึกถึงวันนี้ที่เขาติดตามมู่จื่อหลิงไปทั้งทาง ระหว่างนั้นยังได้เห็นการกระทำสนิทสนมของมู่จื่อหลิงและเย่จื่อมู่เ่าั้ ในใจเขาก็อดสั่นสะท้านมิได้
หวางเฟยมีความสัมพันธ์ใดกับเย่จื่อมู่กันแน่! เหตุใดจึงใกล้ชิดเพียงนั้น?
ถ้านายท่านรู้ว่าหวางเฟยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเพียงนั้นกับเย่จื่อมู่ จะเป็เช่นใด?
กุ่ยเม่ยมิกล้าคิดแล้ว! อย่างไรเสียนายท่านก็มิได้พูดว่าต้องรายงานอย่างละเอียดเป็พิเศษ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เก็บงำไว้ในใจเงียบๆ
“เย่จื่อมู่? ไปสืบต่อ” หลงเซี่ยวอวี่เปิดดวงตาที่กระจ่างเ็าขึ้นมาอย่างช้าๆ สายตาคมปลาบและลุ่มลึก คำพูดเจือแววเย็นเยียบเอาไว้
“ขอรับ” ภายนอกของกุ่ยเม่ยรับคำอย่างสุขุม ทว่าในใจกลับไม่สงบยิ่ง แต่เขาก็ลอบยินดีกับตนเอง
โชคดี โชคดีที่เขาไม่ได้พูดเื่หวางเฟยและเย่จื่อมู่ลูบศีรษะอย่างชิดเชื้อ ใกล้ชิดสนิทสนม
มิเช่นนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าจะเกิดเื่อันใดที่เขาไม่กล้าคิดขึ้น? เช่นนั้นเขาคงน่าเวทนาแล้ว
ในขณะที่กุ่ยเม่ยเตรียมจะจากไป หลงเซี่ยวอวี่ก็เปิดปากอีกครั้ง “คนในวังผู้นั้นไม่เป็สุขแน่ ส่งคนไปติดตามที่ป่าสายหมอก”
“ขอรับ” หลังรับคำ กุ่ยเม่ยก็รีบเผ่นหนีไปทันที เขาเกรงว่าเพียงแค่หลงเซี่ยวอวี่เหลือบมอง เขาก็จะคลายเื่ที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว
เล่อเทียนได้ยินน้ำเสียงเ็าของหลงเซี่ยวอวี่ การกระทำในมือก็ชะงักไปเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มเหลือเชื่อ
เขาลอบถอนหายใจ ฉีอ๋องผู้เย็นทระนงก็มีวันที่ตกหลุมรักเช่นกัน เป็ปรากฏการณ์ไม่น่าเชื่อเช่นใดกันนะ?
“นายท่าน นักฆ่าสองคนนั้นรับสารภาพหมดแล้ว ฮองเฮาลอบมีผลประโยชน์ร่วมกับสำนักชางฉยงมาโดยตลอด ครานี้นางจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อชีวิตหวางเฟย ฝั่งนิกายกู่ตู๋เองก็สืบพบว่ามีความสัมพันธ์กับฮองเฮาเช่นกัน” กุ่ยหยิ่งรายงาน
เมื่อได้ยินคำพูดของกุ่ยหยิ่งเล่อเทียนก็พลันกระวนกระวาย เขามีสติรับรู้ขึ้นมาโดยทันที รีบวางเื่ในมือลง ทะยานกายขึ้นไปบนหลังคา
“กู่ควบคุมใจ ที่แท้ก็เป็ของนิกายกู่ตู๋ ฝ่ามือซื่อเสวียนที่หวางเฟยถูกก็เป็คนของสำนักชางฉยงที่ฮองเฮาส่งมา? พูดเช่นนี้ ฮองเฮาสมรู้ร่วมคิดกับสองสำนักในยุทธจักร?” เล่อเทียนลูบคาง ถามอย่างใ
เขาพอรู้จักนิกายกู่ตู๋มาบ้าง นิกายกู่ตู๋เพียงเร้นกายจากโลกภายนอกอยู่ในยุทธภพ และในสายตาของคนทั้งโลกนิกายกู่ตู๋ก็ได้หายสาบสูญไปแล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านิกายกู่ตู๋ที่เร้นกายจากโลกในยามนี้จะมีพลังอำนาจมากน้อยเพียงใด แต่อิทธิพลของสำนักชางฉยงมิอาจมองข้ามได้โดยเด็ดขาด
ฮองเฮาเป็แค่สตรีในวังหลังผู้หนึ่ง สามารถคบคิดกับสองสำนักได้ นางมีความสามารถยิ่งนัก ใจที่ทะเยอทะยานคงไม่เล็กเลยทีเดียว!
เพียงแต่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้