“อะไรหรือ” โม่เสวี่ยถงไม่ทันฟังว่าเขาเปลี่ยนเื่ไปแล้ว แต่เมื่อมองไปที่รอยเขียวช้ำบนมือของตนเอง ก็กล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อครู่ที่ล้มไปแค่ชนถูกนิดหน่อย แต่ว่า... พระเชษฐาของท่านอ๋องก็ช่างแปลกคนนัก ค่ำคืนที่บรรยากาศงดงามเป็ใจ ข้างกายมีสาวงามคอยเคียง ยังพกอาวุธติดกายด้วย ไม่ไหวเลยจริงๆ”
เมื่อครู่ยามที่นางชนถูกเฟิงเจวี๋ยเสวียน พลันฉวยโอกาสลูบคลำบางสิ่งที่กระแทกหลังมือตน จึงได้รู้ว่าในอกเสื้อของเขามีมีดสั้นอยู่เล่มหนึ่ง เฟิงเจวี๋ยเสวียนพกของมีคมขณะพาหลิงเฟิงเยียนมาเดินเล่น ช่างผิดปรกติอย่างมาก
เมื่อครู่หลิงเฟิงเยียนมิได้พูดมาก แต่แสดงความประสงค์ชัดเจนยิ่งว่า้าอยู่กับฉู่อ๋องเพียงลำพัง หากนางจำไม่ผิด ผู้ที่ฮองเฮาสนับสนุนคือองค์ชายสาม แต่กลับส่งหลานสาวที่งดงามที่สุดไปอยู่ข้างกายฉู่อ๋อง ย่อมมีวาระซ่อนเร้นที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี
จากที่นางได้ยินเฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวไปเมื่อครู่ ความหมายก็คือเยี่ยนอ๋องเฟิงเจวี๋ยเหล่ยมีใจต่อหลิงเฟิงเยียน เมื่อเป็เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงยังส่งนางไปอยู่ข้างกายฉู่อ๋องเล่า เดิมทีเื่พวกนี้ตนเองมิได้นำพาแม้แต่น้อย แต่เฟิงเจวี๋ยหร่านช่วยเหลือตนเองมาหลายครั้ง ยามนี้ก็ย่อมต้องใคร่ครวญในมุมของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อครู่ที่นางแกล้งล้มใส่เฟิงเจวี๋ยเสวียนก็เพื่อช่วยเขาทดสอบบางอย่าง
“หมายความว่า... เ้ามีเจตนาช่วยข้าหยั่งเชิงเสด็จพี่ใหญ่กระนั้นหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านหรี่ตาจนกลายเป็เส้นตรง คล้ายไม่สนใจว่านางกำลังพูดถึงเื่สำคัญอยู่ มุมปากหยักโค้งเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ รู้สึกอารมณ์ดียิ่งจับมือนุ่มนิ่มมาลูบเบาๆ สองที จนกระทั่งเล็งเห็นว่านางเริ่มเจ็บ จากเขินอายเลยกลายเป็โทสะถึงยอมปล่อยมือ
คนผู้นี้ไม่เข้าใจเลยหรือว่าตนเอง้าจะบอกอะไร
หญิงงามนัดพบย่อมเป็เื่ดีงาม แต่เหตุใดยังพกพาอาวุธอีกเล่า ปกติเขาก็ไหวพริบดีอยู่นี่นา ไฉนครานี้จึงไม่พิจารณาให้ลึกลงไปอีกหน่อยเล่า
“ท่านอ๋องช่วยข้ามาหลายคราแล้ว ข้าก็แค่อยากตอบแทนบ้างมิได้หรือ ลองใคร่ครวญสิ่งที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ดูเถิด”
โม่เสวี่ยถงสะบัดแขนแล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็วขณะที่พูดเตือนสติเขา แต่ก็ไม่วายค่อนขอดในใจ จับเสียแน่น ถูกชนยังไม่เจ็บเท่าถูกเขาจับมือเลยนะเนี่ย!
เขาช่วยนางมาหลายต่อหลายครั้ง กลับแลกมาได้ด้วยการตอบแทนเพียงเท่านี้ เฟิงเจวี๋ยหร่านย่อมรู้สึกไม่พอใจ สีหน้าพลันบึ้งตึง แค่นเสียงเย็นว่ากระทบ “เปิ่นหวางช่วยเ้าตั้งหลายครั้ง รวมถึงบุญคุณช่วยชีวิตด้วย เ้าไม่คิดใช้ร่างกายแทนคุณก็ช่าง นี่กล้าใช้บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ มาข่มกันเลยหรือ เห็นว่าเปิ่นหวางโง่งมหลอกง่ายนักหรืออย่างไร”
อะไรเนี่ย... โกรธอีกแล้วหรือ
โม่เสวี่ยถงมองเขาตาค้างอ้าปากเหวอ รู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถ ตามอารมณ์และความคิดของเขาไม่ทันเลยจริงๆ
นิสัยดั่งคนอารมณ์แปรปรวนของเซวียนอ๋องผู้นี้รับมือยากโดยแท้ เมื่อครู่ยังเป็ดวงตะวันเดือนเก้าที่แสนงดงามและอบอุ่นอยู่เลย ไฉนจึงเปลี่ยนมาเป็พายุฝนฟ้าคะนองเยี่ยงนี้เสียแล้ว เห็นๆ อยู่ว่านาง้าเอาใจเขาถึงได้ทำแบบนี้ แต่พอไปถึงปากเขากลับกลายเป็ว่านางหลอกต้มตุ๋นเขาเสียอย่างนั้น หากไม่เห็นแก่ว่าเป็องค์ชายแปด พระโอรสสุดที่รักของจักรพรรดิจงเหวินตี้ หรือเซวียนอ๋องผู้สูงส่งแห่งแว่นแคว้นที่ไม่อาจล่วงเกินได้ ป่านนี้นางคงยกเท้าเดินหนีไปแล้ว
มองซ้ายมองขวามีแต่คนสัญจรไปมาเต็มไปหมด สมองของนางยังนับว่ามีสติเต็มที่อยู่ จึงไม่ถือสากับการกระทำของเขา หากคิดไปจากเขา เกรงว่าแม้แต่ทางกลับจวนโม่ตนเองก็ยังไปไม่ถูก หรือแม้ว่ากลับไปถึงก็ไม่อาจปีนกำแพงเข้าไปได้ ดังนั้นการคิดล่วงเกินอีกฝ่ายในยามนี้จึงไม่ใช่เื่ฉลาดนัก
นางยังไม่อยากให้ชื่อเสียงของตนเองต้องมัวหมองเพียงเพราะออกมาเดินเล่นแค่ครั้งเดียว
“หากท่านอ๋องไม่อยากคุยกับข้าแล้ว ก็ส่งข้ากลับเถิด ขอบพระทัยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้” โม่เสวี่ยถงยอบกายคำนับด้วยสีหน้าปรกติ
“อย่าแม้แต่จะคิด” เฟิงเจวี๋ยหร่านหน้าถอดสีโดยพลัน สะบัดศีรษะไปด้านข้าง มองยังไม่มอง
หือ... โกรธอีกแล้วหรือ โม่เสวี่ยถงสีหน้าเต็มไปด้วยความฉงนฉงาย แต่ก็รู้ว่ามิใช่เวลามาครุ่นคิดเื่นี้ ควรจะงอนง้อคืนดีกับเขาให้สำเร็จก่อน
“ท่านอ๋อง... ท่านอ๋องเซวียน...”
โม่เสวี่ยถงไม่ทราบจริงๆ ว่าตนเองไปยั่วยุอะไรให้เขาไม่พอใจอีก นางหมุนตัวไปอีกด้านยิ้มให้เขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำหน้าหงิกแล้วหันกายหนีไปอีก แบบนี้หมายความว่าจะไม่สนใจนางแล้วใช่หรือไม่ เ้านายพระองค์นี้ช่างเอาใจยากโดยแท้
โม่เสวี่ยถงกลอกตารอบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เมื่อท่านอ๋องไม่แยแสข้าแล้ว ข้ากลับเองก็ได้ อย่างมากพอไปถึงก็แค่ยอมรับสารภาพว่าตนเองแอบหนีออกมาเท่านั้น”
พูดจบก็ทำหน้าเซื่อง ค่อยๆ หมุนตัวเดินไปอีกด้านหนึ่ง
เฟิงเจวี๋ยหร่านที่อยู่ด้านหลังทำท่าจะขยับตาม แต่แล้วก็พลันหยุดนิ่งคิด เขาไม่เชื่อว่านางจะกล้ากลับไปคนเดียว แม้ปากนางพูดว่าจะไป แต่กลับค่อยๆ เยื้องย่างทีละก้าว
ฮึ! เ้าเด็กน้อยสมควรตายกล้าหลอกข้าอีกแล้ว ช่างประเสริฐยิ่ง คิดจะเล่นลูกไม้กับข้าหรือ เชอะ! ไม่ต้องไปสนใจนาง ดูซิว่าจะทำอย่างไร เขาไม่เชื่อว่านางกลับไปแล้วจะอธิบายได้เต็มปากว่าออกมาอย่างไรโดยที่ไม่มีใครรู้
“ไม่สนใจข้าแล้วจริงๆ หรือ” เมื่อต้องมารับมือกับบุรุษที่ทั้งฉลาดเป็กรดและอารมณ์แปรปรวนยิ่ง ในที่สุดโม่เสวี่ยถงก็หมดปัญญา ต้องกลับมาง้อเขาอีกจนได้ หากต้องปีนกำแพงสูงขนาดนั้นเข้าไป นอกจากเขาแล้วนางจะหาใครมาช่วยได้อีก โม่เฟิงต้องไม่อยู่แล้วแน่ๆ พอมาคิดๆ ดู โม่เฟิงก็คนของเขาเองนี่
“หากท่านอ๋องไม่ช่วยข้า งั้นข้าไปขอความช่วยเหลือจากฉู่อ๋องก็ได้ ทางที่ฉู่อ๋องเพิ่งเดินไปคงเป็ทางนั้นกระมัง เพิ่งแยกกันไม่นานพวกเขาน่าจะยังไปไม่ไกลนัก” โม่เสวี่ยถงยืนหน้าเศร้าอยู่ที่เดิม รำพึงรำพันกับตนเองเบาๆ พลางทอดถอนใจ ก่อนมุ่งไปทางเดียวกับที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนและหลิงเฟิงเยียนเพิ่งจากไปเมื่อครู่
เ้าเด็กคนนี้ช่างกล้าบีบคั้นเขา เฟิงเจวี๋ยหร่านโกรธจัดหันหน้าเข้าหากำแพง เขาไม่เชื่อว่านางจะกล้าไปหาเฟิงเจวี๋ยเสวียน ถึงนางจะใช้อีกฝ่ายมายั่วยุ ตนเองก็ไม่กลัว
โม่เสวี่ยถงเดินไปได้สองก้าวก็หันมาจ้องเฟิงเจวี๋ยหร่านอีกครั้ง หัวคิ้วมุ่นเล็กน้อย รู้สึกคับข้องใจยิ่ง บุรุษผู้นี้ช่าง... รู้อยู่เต็มอกว่าหากตนเองไม่ได้ความช่วยเหลือจากเขาก็ไม่อาจเข้าจวนได้ เห็นนางจะไปอยู่แล้วก็ยังท่ามาก อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คาดเดาจิตใจยากยิ่งกว่าทายสภาพอากาศ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่เขาทำฉุนเฉียวใส่นางโดยไร้เหตุผล
โม่เสวี่ยถงตัดสินใจไม่ไปแล้ว เดินหน้ามุ่ยย้อนกลับมาไม่พูดไม่จา ถลึงตาใส่เขาอย่างรุนแรง ทั้งน้อยใจ ทั้งอึดอัดกลัดกลุ้ม ยิ่งเห็นเขาทำท่าแง่งอนจะหันหนีไปอีกก็เดือดจัด หากไม่ใช่เขาพานางออกมา ยามนี้ตนเองจะต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แบบนี้หรือ สติขาดผึงไปชั่วขณะ พอคว้ามือของเขาที่กอดอกอยู่ออกมาได้ก็กัดไปเสียจมเขี้ยว
เห็นนางย้อนกลับมา เฟิงเจวี๋ยหร่านก็นึกกระหยิ่มใจ แต่ไม่คิดว่านางคว้ามือของตนเองไปกัด ตอนแรกอยากจะสะบัดมือให้นางหลุดออกไป แต่กลับอดทนไว้และกล่าวเสียงเข้ม “เ้ากัดข้าอีกแล้ว ดูท่าคงชอบกัดคนจนเป็นิสัยไปแล้ว”
โม่เสวี่ยถงเพิ่งได้สติคืนมา เมื่อมองเห็นสถานการณ์ชัดแจ้งแล้ว ก็ขบริมฝีปากนิ่วหน้า ก่อนยื่นมือน้อยๆ ขาวกระจ่างของตนออกไปต่อหน้าเฟิงเจวี๋ยหร่าน สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวอย่างอาจหาญ “ท่านจะกัดข้าคืนก็ได้”
คนผู้นี้ขนาดไม่ได้กัดยังจิตใจคับแคบขนาดนี้ กัดไปแล้วเขาไม่ยิ่งโมโหไปกว่าเดิมอีกหรือ เช่นนั้นก็ให้เขากัดคืนไปเลยก็แล้วกัน เห็นนางยอมขนาดนี้แล้ว เขาคงละเว้นให้สักครั้งกระมัง
“เ้ากัดข้าแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะให้ข้าเอาคืน? แต่เ้ากัดข้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ” เมื่อเห็นสีหน้านางดูคับข้องหมองใจ ไม่แสดงท่าท้าทายว่าข้าไม่กลัวเ้า เฟิงเจวี๋ยหร่านก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เด็กสาวผู้นี้ยังว่ามีจิตใจดีงาม อย่างน้อยกัดตนเองแล้วยังยอมให้ตนเองกัดตอบ ไม่ทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่บอกนางว่าตนเองรู้สึกอย่างไร เขาชอบที่นางวางเขาอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน เ้ากัดข้า ข้าก็จะกัดเ้า ประเสริฐ!
เมื่อเห็นนางลอบชำเลืองมา ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็อาบไปด้วยรอยยิ้มพร่างพราย ดึงมือนางขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ ก่อนอ้าปากงับฝังรอยฟันไว้บนหลังมือขาวผ่องแล้วค่อยปล่อยนางไป
“ท่านอ๋องคงพอใจแล้ว ทีนี้คงพาข้ากลับบ้านได้แล้วกระมัง” โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากชักมือกลับ เห็นรอยฟันเป็ระเบียบสองแถวปรากฏอยู่บนหลังมือของตนเอง ั์ตาค่อยๆ ฉายแววกรุ่นโกรธ ต้องระงับโทสะอยู่พักใหญ่จึงจะฝืนใจยิ้มกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน บุรุษอะไรช่างจิตใจคับแคบนัก
“จะไปได้อย่างไร ยังไม่ได้ไปชมพลุไฟด้วยกันเลย โคมไฟที่เ้าหมายตาไว้ตรงริมถนนฝั่งโน้นข้าก็ยังไม่ได้ซื้อให้ ไปดูกันก่อน แล้วค่อยไปชมพลุไฟ อีกประเดี๋ยวข้ายังมีละครสนุกให้เ้าดูต่ออีกด้วยนา”
ยามนี้เฟิงเจวี๋ยหร่านอารมณ์ดียิ่ง จับมือน้อยๆ ของนางขึ้นมาช่วยปัดช่วยลูบให้อย่างเอาอกเอาใจ เมื่อเห็นรอยฟันประทับเด่นชัดบนหลังมือก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจยิ่ง เหมือนได้ตีตราจองเอาไว้แล้ว พลางยกมือของตนมาเทียบกับของนาง เห็นเป็รอยฟันสองแถวเหมือนกันเปี๊ยบ เมื่อต่างฝ่ายต่างประทับตราให้กันเรียบร้อย ค่อยรับประกันความปลอดภัยได้หน่อย
“ข้าไม่อยากดูแล้ว อยากกลับบ้าน” เมื่อเห็นเขาจงใจเอามือเทียบกัน แล้วยังทำท่าทางดีอกดีใจออกนอกหน้าเหมือนว่าไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น จึงพานนึกไปว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านต้องจงใจกลั่นแกล้งแน่นอน คราวนี้จึงรู้สึกฉุนขาดขึ้นมาจริงๆ คนอะไรเดี๋ยวก็พะเน้าพะนอให้นางมีความสุข เดี๋ยวก็ยั่วโมโหจนหัวปั่น สงสัยจะกินอิ่มไม่มีงานทำ เสียแรงที่เมื่อครู่นางอุตส่าห์ช่วย แต่ไม่คิดว่าเขาจะเห็นเป็เื่สนุกไปเสียได้
บุรุษผู้นี้ช่างร้ายกาจที่สุด!
นางกระทืบเท้าชักสีหน้าระบายอารมณ์ออกมา
“โกรธจริงๆ แล้วหรือ ไฉนใจแคบเยี่ยงนี้เล่า ทีเ้ากัดข้า ข้ายังไม่โกรธเลย เป็สตรีต้องใจกว้างหน่อยถึงจะถูกต้อง ดูอย่างคุณหนูรองสกุลหลิงสิ โดนไปขนาดนั้นยังรักษาภาพลักษณ์ไว้ได้อยู่เลย” เฟิงเจวี๋ยหร่านกะพริบตาที่ฉายแววยิ้มปริบๆ ไม่มีท่าทางโกรธเคืองแบบเมื่อครู่แม้แต่น้อย
ใจแคบ? ใจแคบสู้เขาได้ไหมเล่า นางกัดเขาคำหนึ่ง เขาก็ยังอุตส่าห์รับความหวังดีกัดกลับมาคำหนึ่งจริงๆ แต่นางเป็สตรีนะ!
โม่เสวี่ยถงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนแทบอยากจะกัดคนอีกรอบ นางขบริมฝีปาก ถอนหายใจยาว แล้วหันไปยอบกายคำนับต่อเฟิงเจวี๋ยหร่าน “หม่อมฉันไหนเลยจะกล้า ท่านอ๋องเป็พระโอรสผู้สูงศักดิ์ มิใช่ผู้ที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะทำร้ายได้ ก่อนที่ท่านอ๋องจะถูกกัดจนาเ็ไปกว่านี้ ได้โปรดส่งหม่อมฉันกลับก่อนเถิด หากเกิดปัญหาภายหลังจะได้ไม่ทรงกล่าวโทษหม่อมฉันอีก”
“ไม่เป็ไร ต่อไปเ้ากัดข้า ข้าไม่โกรธก็ได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มตอบแล้วจูงโม่เสวี่ยถงเดินไปยังถนนอีกฟาก ทั้งยังกระซิบเสียงต่ำข้างหูนาง “เปิ่นหวางอนุญาตให้เ้ากัดได้ตามสบายเลย แบบนี้คงไม่หงุดหงิดอารมณ์เสียแล้วสินะ” กล่าวจบก็ยังมองตาใสซื่อที่ไม่มีท่าทางต่อต้านแม้แต่น้อย
“ข้าไม่...” ขณะที่โม่เสวี่ยถงยังคิดจะเล่นตัวอีกหน่อย แต่จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นจากสองด้านเบียดเข้ามา นางยังไม่ทันเอ่ยคำใดก็ถูกชนอย่างแรง โชคดีที่เฟิงเจวี๋ยหร่านมีการตอบสนองรวดเร็ว เขาอุ้มนางไว้แล้วพลิ้วกายเข้าไปยังตรอกเล็กๆ ด้านข้างทันที
โม่เสวี่ยถงยังไม่ทันได้พักหายใจก็ต้องตะลึงงัน เมื่อเห็นว่ามีคนชุดดำสี่ห้าคนออกมาจากสองข้างของกำแพง มุ่งโจมตีมาที่เฟิงเจวี๋ยหร่าน
“เ้าอยู่ตรงนี้อย่าขยับ ระวังตัวด้วย” เฟิงเจวี๋ยหร่านวางโม่เสวี่ยถงลงที่มุมกำแพง มือพลันชักกระบี่อ่อนจากข้างเอว เขายืนขวางหน้านางไว้แล้วเข้าไปต่อสู้กับคนชุดดำเ่าั้ คนร้ายสี่คนรุมเขาคนเดียว ส่วนอีกคนที่เหลือก็ย่างสามขุมเข้าหาโม่เสวี่ยถง คมดาบในมือสะท้อนแสงจากภายนอกเป็ประกายแปลบปลาย แผ่รังสีเย็นเยียบข่มขวัญ
นี่จะมาจัดการกับนางก่อน แล้วค่อยไปหาเฟิงเจวี๋ยหร่านงั้นหรือ?
พวกเขาคิดสังหารเฟิงเจวี๋ยหร่าน
โม่เสวี่ยถงโยนกล่องหยกไว้ด้านข้าง หยิบมีดสั้นล้ำค่าขึ้นมากำไว้ใต้แขนเสื้อ โดยมีเสื้อคลุมตัวใหญ่ของเฟิงเจวี๋ยหร่านพรางตาไว้อีกชั้น เมื่อเห็นคนชุดดำพุ่งเข้ามานางก็รีบเบี่ยงตัวหลบ แม้จะมิเคยร่ำเรียนวรยุทธ์ แต่นางก็ขยับกายได้อย่างว่องไว ตั้งท่ายืนให้มั่นแล้วใช้มีดคู่ที่ถืออยู่จ้วงแทงออกไปทันที
มีดของนางฝังที่ตัวของคนร้าย เสียงกระบี่ของอีกฝ่ายหล่นลงพื้นดังแคร้ง เขาซัดฝ่ามือมาที่ตัวของโม่เสวี่ยถง นางรูปร่างผอมบางจึงกระเด็นไปข้างหน้า กลิ่นคาวเืจุกที่ลำคอก่อนจะหลับตาลง คิดว่าตัวคงพุ่งชนกำแพง
ครานี้เกรงว่าคงไม่มีชีวิตรอดเป็แน่แล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้