ท้องฟ้ายามเช้าทางทิศตะวันออกเต็มไปด้วยหมอกสีขาว เสียงแตรดังมาแต่ไกล ทั่วทุกมุมของค่ายทหารต่างตื่นตระหนก
ในกระโจมแห่งหนึ่ง หลินเฟิงกำลังสวมชุดเกราะสีแดงซึ่งเป็สีแดงเื
หลินเฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็บ่มพึมพำว่า “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”
เมื่อวานตอนเที่ยงคืนเขาได้รับข่าวสารมาว่า กองทัพของอาณาจักรโม่เยว่มาถึงแล้ว และอยู่ห่างประมาณร้อยลี้ พวกเขายังไม่ได้เปิดฉากโจมตีและตั้งค่ายอยู่ตรงนั้น
อย่างไรก็ตามกองทัพเสวี่ยเยว่ก็ไม่กล้าเมินเฉย พวกเขาสับเปลี่ยนทหารรักษาการณ์อยู่ตลอดเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของกองทัพโม่เยว่ ซึ่งตอนนี้ทั้งแตรและกลองาต่างดังก้องไปทั่ว นั่นหมายความว่าาได้เปิดฉากแล้ว
ในค่ายทหารมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีความวุ่นวายเลยสักนิด และพวกทหารก็เป็ระเบียบมาก เนื่องจากอาจเกิดการต่อสู้ได้ตลอดเวลา ทหารทุกนายจึงไม่อาจตื่นตระหนกได้
ขณะนั้นได้มีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาในกระโจมของหลินเฟิง ทุกคนล้วนสวมชุดเกราะและปิดบังใบหน้า เห็นเพียงั์ตาที่แหลมคมของพวกเขาที่กำลังมองมาที่หลินเฟิงเท่านั้น
“ตามข้ามา”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา จากนั้นเขาก็ควบม้าัออกไปจากค่ายทหาร ส่วนคนอื่นๆ ก็ควบม้าโลหิตตามไปอย่างสงบ
ทหารม้าโลหิตหลายนายต่างมองหลินเฟิงและคนอื่นๆ อีกประมาณ 40 นาย ชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่เป็สีแดงที่เจิดจรัสกว่าของพวกเขาที่ดูธรรมดา ราวกับเป็สีแดงของดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า และดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของพวกเขาถึง 40 นายจะยังไม่เพียงพอที่สร้างกองทัพหนึ่งได้
ในกองทัพ ผู้บังคับกองร้อยจะควบคุมทหาร 100 นาย
ซึ่งทหารทั้ง 40 นายนี้ไม่เพียงพอที่จะเป็หนึ่งกองทัพได้ แต่กลับถือได้ว่าเป็หนึ่งค่ายทหาร นอกจากนี้ยังสวมเกราะสีเืด้วย
หลินเฟิงเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ ไม่นานเขาก็มาถึงจุดที่ทั้งสองกองทัพกำลังประจันหน้ากัน
เบื้องหน้าของหลินเฟิงที่ห่างไปไม่กี่ลี้ มีเพียงผืนดินคั่นกลาง สุดสายตาเป็กองทหารจำนวนมากที่ดูคล้ายกับทะเลสีดำ มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายที่หนาวเหน็บ นั่นก็คือกองทัพโม่เยว่
ก่อนหน้านี้หลินเฟิงเคยเห็นฉากต่อสู้ในสนามรบแค่ในจอโทรทัศน์ แต่ตอนนี้เป็สนามรบที่แท้จริง ทำให้หลินเฟินต้องใจเต้นระรัว เพียงหนึ่งคนอยู่ท่ามกลางทหารหลายหมื่นนาย เห็นได้ชัดว่าเพียงหนึ่งคนก็ราวกับเป็มดตัวเล็กนิดเดียว
ทหารหลายหมื่นนายหากยิงธนูพร้อมกันทั้งหมด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญา เกรงว่าก็คงถูกยิงจนตัวพรุนแน่นอน
ในสนามรบนั้นแม้ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงจะมีอยู่ไม่มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จัดการได้ยากอยู่ดี เพราะเหตุนี้หลิ่วชั่งหลันจึงใช้เวลาหนึ่งวันในการประชุมเพื่อวางแผน และออกคำสั่งแก่เหล่าผู้บัญชาการ
ในค่ายเสวี่ยเยว่ได้แบ่งกองทัพไว้เรียบร้อย ตำแหน่งแบ่งเป็ซ้ายขวาและตรงกลาง ซึ่งเป็การจัดแนวรบที่สมบูรณ์แบบ ส่วนกองกำลังทหารม้าโลหิตก็ได้กระจายไปในสามกองทัพใหญ่
กองทัพเสวี่ยเยว่ถูกนำโดยต้วนเทียนหลาง รูปขบวนกองทัพจะเป็แบบตรงกลางสลับไปมาจากข้างหน้า
หลิ่วชั่งหลัน จิวชื่อเซวี่ย รวมไปถึงเริ่นชิงขวัง ทั้งหมดล้วนอยู่ทัพหน้า
“น้องหลิ่ว กองทัพศัตรูที่โเี้มีทหารประมาณห้าแสนนาย คราวนี้พวกเราควรรับมือกันอย่างไรดี?”
ต้วนเทียนหลางถามอย่างไม่แยแส ขณะที่ควบม้าไปหาหลิ่วชั่งหลัน
“หรือเทียนหลางอ๋องคิดว่าองค์ชายโม่เยว่อาจโจมตีพวกเราโดยตรง?”
หลิ่วชั่งหลันหันไปมองต้วนเทียนหลางและกล่าวอย่างเฉยชา การประจันหน้าของทั้งสองกองทัพ แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้เปรียบ แต่ก็ไม่สามารถเปิดฉากต่อสู้สุ่มสี่สุ่มห้าได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงการพาทหารไปเสี่ยงชีวิต แม้สุดท้ายจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เป็การชนะที่ทุกข์ทรมาน ซึ่งสำหรับโม่เจี๋ยแล้ว เขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
“น้องหลิ่วรู้ใจศัตรูเสมอก่อนเริ่มา ข้าชื่นชมเ้าจริงๆ” ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะยิ้มอย่างไม่แยแส “มันก็แค่ทุกอย่างอาจเป็ไปได้ เ้ากับข้าก็เหมือนๆ กัน ตอนนี้องค์หญิงก็อยู่ในกองทัพ หากได้รับาเ็ขึ้นมาใครเล่าจะรับผิดชอบ ดังนั้นข้าคิดว่าเ้าควรหาหนทางชนะให้ได้โดยเร็วที่สุด”
“องค์หญิงมาพร้อมกับเทียนหลางอ๋อง ดังนั้นจึงเป็หน้าที่ของเขาที่จะรักษาความปลอดภัยขององค์หญิง”
หลิ่วชั่งหลันยิ้มเยาะ ในสนามรบเหล่าทหารต่างเข่นฆ่ากันั้แ่เช้าจรดค่ำ ต้วนเทียนหลางไม่เพียงแต่ใช้เขาเพื่อชัยชนะเท่านั้น นอกจากนี้หน้าที่รักษาความปลอดภัยขององค์หญิงก็ยังปัดภาระหน้าที่ให้เขาอีก ช่างน่าขันเสียจริง
“น้องหลิ่วทำไมถึงพูดแบบนั้นเล่า? ที่แห่งนี้เป็ของเ้า ส่วนข้าเป็แขก ในเมื่อมาที่นี่แล้วความปลอดภัยขององค์หญิงน้องหลิ่วก็ต้องรับผิดชอบสิ นอกจากนี้น้องหลิ่วอย่าลืมว่าเ้าเป็คนพรากองครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงไปนะ”
ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะจ้องมองหลินเฟิงอย่างเยือกเย็น
“เทียนหลางอ๋องช่างอารมณ์ดีเสียจริง ขนาดอยู่ต่อหน้าศัตรูก็ยังผ่อนคลายเช่นนี้ และยังปัดภาระหน้าที่ให้คนอื่นอีก” ขณะที่หลินเฟิงควบม้าไปข้างหน้า เขาก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย จึงเผยให้เห็นดวงตาแหลมคม “หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงและหลินเฟิงผู้นี้ตายไป เทียนหลางอ๋องคิดไว้หรือยังว่าจะรับผิดชอบอย่างไร?”
หลังจากกล่าวจบหลินเฟิงก็ไม่รอคำตอบจากต้วนเทียนหลาง แต่รีบควบม้าตรงไปหาต้วนซินเยี่ยทันที
ในขณะนั้นต้วนซินเยี่ยก็สวมชุดเกราะเช่นกัน แต่ดวงตาอันงดงามของนางไม่ได้ถูกหมวกเหล็กปิดบังแต่อย่างใด
แต่กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังหลินเฟิงกลับเป็ข้อยกเว้น พวกเขาสวมชุดเกราะสีเืที่ดูดุร้าย ใบหน้าของพวกเขาล้วนถูกปิดบังโดยหมวกเหล็ก เหลือเพียงดวงตาอันแหลมคมที่เผยออกมา
“เ้ามาทำอะไร?”
เยว่เทียนเฉินที่อยู่ข้างๆ ต้วนซินเยี่ย เห็นหลินเฟิงมาจึงใช้สายตาเยือกเย็นมองมาอย่างระแวดระวัง
“ข้ามา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเ้า”
หลินเฟิงตอบกลับอย่างเ็า จากนั้นเขาก็ถอดหมวกเหล็กส่งให้ต้วนซินเยี่ยและกล่าวว่า “องค์หญิง หมวกเหล็กใบนี้สามารถปกป้องใบหน้าของท่านได้ มันจะเป็การดีกว่าถ้าท่านสวมใส่มัน”
“ก็ได้ ขอบใจมาก”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวขณะสวมหมวกเหล็กที่หลินเฟิงให้มา หมวกเหล็กใบนี้แ่ากว่าใบที่แล้ว ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันย่อมดีกว่าด้วย
“หลินเฟิง เ้าเป็องครักษ์ของข้า เ้าก็ต้องปกป้องข้าอยู่ที่นี่”
ต้วนซินเยี่ยเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ตอนนี้ใบหน้าของนางถูกปกปิดไว้ทั้งหมดจนเหลือเพียงดวงตาคู่งาม เมื่อนางอยู่บนหลังม้า นางช่างดูสดใสและกล้าหาญยิ่งนัก
หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ขอรับ”
เยว่เทียนเฉินเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงจ้องหลินเฟิงเขม็งด้วยสายตาทิ่มแทง แต่หลินเฟิงกลับไม่สนใจ
ตอนนี้คาดไม่ถึงว่ากองทัพของอีกฝ่ายจะควบม้าออกมาจำนวนมากจนฝุ่นตลบไปทั่วบริเวณ ขณะนี้อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรจากกองทัพเสวี่ยเยว่
“พวกข้าคือผู้คุ้มกันทมิฬของอาณาจักรโม่เยว่ 36 คน ขอท้ากองกำลังทหารม้าโลหิตของเสวี่ยเยว่ หากใครกล้าสู้ก็เข้ามา”
เ้าของเสียงเมื่อครู่เป็คนจากกองทัพทมิฬของอาณาจักรโม่เยว่ ก็เหมือนกับกองกำลังทหารม้าโลหิตของเสวี่ยเยว่ ซึ่งเป็กองทัพที่เป็ไพ่ตาย และผู้คุ้มกันทมิฬก็เหมือนกับทหารม้าโลหิต
จิวชื่อเซวี่ยมองคนที่ท้าสู้นิ่งเฉย และกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ไม่สู้”
ทหารม้าโลหิตดูไร้อารมณ์ ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใดๆ คำสั่งนั่นเป็สิ่งที่เด็ดขาด พวกเขาเพียงปฏิบัติตามคำสั่งและไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินใจเท่านั้น
“ไม่สู้?”
ต้วนเทียนหลางยิ้มเยาะ เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นกล่าวว่า “กองกำลังทหารม้าโลหิตเรียกได้ว่าเป็ไพ่ตายของเสวี่ยเยว่ วันนี้พวกเราอยู่ในาแท้ๆ ทว่ากลับเลือกที่จะไม่สู้ นี่มันช่างน่าประหลาดใจนัก เล่นทำลายขวัญกำลังใจของทหารเสวี่ยเยว่แบบนี้ นี่มันเหตุผลอะไรกัน?”
“หากเทียนหลางอ๋อง้าต่อสู้ ท่านก็สามารถส่งกองทัพของท่านออกไปได้”
จิวชื่อเซวี่ยเหลือบมองต้วนเทียนหลางอย่างเยือกเย็น ผู้คุ้มกันทมิฬล้วนเป็คนที่มีทักษะการต่อสู้อันโดดเด่น ไม่มีใครคนอ่อนแออยู่ในกองทัพแม้เพียงคนเดียว ไม่น่าแปลกใจว่าพวกเขาเป็ถึงกองทัพที่ยอดเยี่ยม
“นี่น่ะหรือวิถีของกองทหารม้าโลหิต! ช่างขี้ขลาดนัก แม้ว่าข้าจะไม่ได้มีพร์แต่ข้าก็จะไม่ถอยกลับ!”
ต้วนเทียนหลางะโเสียงดังจนทหารมากมายที่อยู่โดยรอบต่างได้ยิน ทหารที่ติดตามต้วนเทียนหลางมาเริ่มรู้สึกผิดหวังกับกองทหารม้าโลหิตที่หลิ่วชั่งหลันเป็ผู้บัญชาการมากยิ่งขึ้น เพราะครั้งก่อนพวกเขาถูกขัดขวางไว้ไม่ให้ผ่านประตูเมืองเข้ามา และวันนี้ก็ยังกลัวจนไม่กล้าที่จะต่อสู้ ทุกคนล้วนคิดว่า หลิวชั่งหลันไม่สมควรได้รับสมญานามว่า ‘เทพลูกศร’
“มีศิษย์สำนักเทียนอี้คนไหนเต็มใจจะออกไปสู้หรือไม่? ข้ายินดีส่งทหารชั้นยอดจำนวน 35 นายติดตามเ้าไปได้” ต้วนเทียนหลางควบม้าไปหาศิษย์ของสำนักเทียนอี้ และกล่าวต่อว่า “แน่นอน หากอัจฉริยะของสำนักเทียนอี้ไม่ยอมต่อสู้ ข้าก็จะให้ศิษย์จากลานศักดิ์สิทธิ์เสวี่ยเยว่ออกไปรบเอง”
“ข้า้าที่จะต่อสู้”
ในขณะนั้นได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากท่ามกลางฝูงชนของสำนักเทียนอี้ และมีชายหนุ่มสวมชุดเกราะก้าวเดินออกมาพร้อมกับเจตจำนงการต่อสู้
“เอาล่ะ ในสนามรบจะไม่แบ่งฝ่ายว่าเป็สำนักเทียนอี้หรือลานศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนทั้งหมดล้วนเป็อัจฉริยะของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ทหารทั้ง 35 นายรวมถึงชายหนุ่มที่อัจฉริยะผู้นี้ออกไปรบ และแสดงให้พวกมันเห็นว่าอาณาจักรเสวี่ยเยว่น่าเกรงขามเพียงใด”
ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างองอาจ
“ผู้คุ้มกันทมิฬนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“พวกมันมีทั้งหมด 36 คน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 มี 10 คนที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 ส่วนขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 มี 6 คน และขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 มี 2 คน นอกจากนี้ยังมีขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 1 คน”
เฮยม่อกล่าวอย่างแ่เบา ทำให้ม่านตาของหลินเฟิงต้องหดลง ผู้คุ้มกันทมิฬช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคาดไม่ถึงว่าจะอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ซึ่งนี่ก็เพียงพอที่จะทำลายกองกำลังทหารม้าโลหิตได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจิวชื่อเซวี่ยจึงเลือกที่จะไม่ต่อสู้
อาณาจักรโม่เยว่ส่งทหารที่แข็งแกร่งออกมาต่อสู้เช่นนี้ มันเป็กลยุทธ์การทำาของพวกโม่เยว่
ในขณะนั้นกลุ่มทหารทั้ง 36 นายพร้อมที่จะออกรบแล้ว และหลินเฟิงก็มองไปที่ศิษย์สำนักเทียนอี้คนนั้นและกล่าวว่า “การต่อสู้ครั้งนี้เ้าไม่อาจไปได้ หากเ้าไปมันก็เท่ากับว่าส่งเ้าไปตาย”
“หืม?”
ชายหนุ่มคนนั้นมองหลินเฟิงพลางขมวดคิ้ว จากนั้นก็กล่าวว่า “หลินเฟิง เ้ากับข้าเป็ศิษย์ทหารเหมือนกัน ข้าคิดว่าเ้าเป็ผู้ชายที่เืร้อน แต่ไม่คิดเลยว่าจะขี้ขลาดเช่นนี้”
หลังจากกล่าวจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็ควบม้าตรงไปหาผู้คุ้มกันทมิฬอย่างห้าวหาญ
เมื่อผู้คุ้มกันทมิฬเห็นฝูงชนกำลังพุ่งมา พวกเขาจึงเรียงแถวหน้ากระดานขณะถือหอกสีดำ และเมื่อทหารเสวี่ยเยว่มาถึง พวกเขาก็ปลดปล่อยลมปราณออกมาและยกหอกขึ้นสูง แล้วทั้งหมดก็ปาหอกออกไป
ในขณะนั้นม้าของพวกเขาวิ่งแตกตื่นไปทั่ว หอกสีดำทั้งหมดล้วนพุ่งเข้าสู่หัวใจของผู้ฝึกยุทธ์ของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ทั้ง 36 คน พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารลงในชั่วพริบตา
เพียงปาหอกครั้งเดียวก็แพ้ราบคาบ!
หลินเฟิงยังคงมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเฉยเมย ในเมื่อเขาได้แนะนำอีกฝ่ายไป แต่พวกเขาไม่ฟังเอง เช่นนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้?
ผู้คุ้มกันทมิฬทั้ง 36 คนดึงหอกออกจากร่างของทหารเสวี่ยเยว่ และตั้งแถวอีกครั้ง จากนั้นก็ะโว่า “พวกข้าผู้คุ้มกันทมิฬ ขอท้าสู้กับทหารม้าโลหิตแห่งเสวี่ยเยว่!”