แต่มู่จื่อหลิงสรุปได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็กู่ซากศพ?
เล่อเทียนตกตะลึง ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เป็เวลานาน จิตใจของเขาเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ความคิดมากมายนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยสิ่งที่คิดไม่ถึง จิตใจมีเพียงความสงสัย
กู่ควบคุมจิตใจและกู่ปรสิตก่อนหน้านี้ มู่จื่อหลิงกล่าวว่านางรู้กู่เพียงผิวเผินเท่านั้น ครั้งนั้นเกิดจากการคาดเดาและนางเดาไม่ผิด
เล่อเทียนแทบคลั่งกับสิ่งที่มู่จื่อหลิงเรียกว่าการคาดเดา
หากคาดเดาถูกเพียงครั้งหรือสองครั้งยังถือว่าสมเหตุสมผล
แต่ยามนี้ เดาถูกครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้ง...เช่นนี้เป็เพียงการถ่อมตัวว่าไม่รู้ใช่หรือไม่? ใช่ไหม? เล่อเทียนบ่นในใจว่า มีเพียงผีเท่านั้นที่จะเชื่อว่านางรู้เพียงน้อยนิด
ในยามนี้ เล่อเทียน้าขจัดข้อสงสัยทั้งหมดในหัวของเขาด้วยการถามออกไปตรงๆ เสียจริง
แต่ยามได้เห็นใบหน้าบริสุทธิ์ไม่เป็พิษเป็ภัยของมู่จื่อหลิง เล่อเทียนก็รู้สึกวิตกเล็กน้อย
ใครจะรู้ว่าภายใต้รูปลักษณ์บริสุทธิ์ปราศจากพิษภัย จะมีความคิดที่ไม่อาจเข้าใจได้กี่เื่ภายในนั้น ดังนั้นเล่อเทียนจึงยังคงเลือกปิดปากเงียบ
อย่างไรก็ตาม ความฉงนสนเท่ห์ของเขาเป็เื่เล็กน้อย ความปลอดภัยของฉีหวางเฟยเป็สิ่งสำคัญที่สุด ยามจัดการกับกู่ซากศพนี้ นางควรจัดการมันอย่างปลอดภัย
หากฉีหวางเฟยสูญเสียเส้นผมไปเพียงหนึ่งเส้น เขาเกรงว่ายามใครบางคนกลับมา เขาคงได้แต่ถูกสับออกเป็ชิ้นๆ ก็เท่านั้น...เล่อเทียนเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงยังคงมีสุขภาพดี ไม่บุบสลาย เขาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ยามเห็นเล่อเทียนมองตนราวสัตว์ประหลาดอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน สายตาของเขาก็เหมือนตรวจสอบบางอย่างอีกครู่หนึ่ง หัวใจของมู่จื่อหลิงก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย
มู่จื่อหลิงหยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ ขว้างใส่เล่อเทียนสุดกำลัง มองเขาอย่างรำคาญ “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้? เ้าไม่คิดเกี่ยวกับเื่กู่เลยหรือ?”
หลังจากหลบหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไปอันหนาทึบของแผ่นดินได้อย่างหวุดหวิด เล่อเทียนก็ตระหนักว่าเขาสูญเสียความสงบของตนไป จึงกระแอมไอด้วยความอับอาย ยกมือขึ้นแตะจมูกอย่างไม่พอใจ
แต่มันเป็ความจริง ทักษะทางการแพทย์ของมู่จื่อหลิงนั้นยากหยั่งถึงสำหรับเขา นางจะประมาทได้อย่างไร? จะปล่อยให้ตนเองมีปัญหาได้อย่างไร?
รอยยิ้มเ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นในใจของเล่อเทียน เขาอดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหัว เขาเป็พวกกินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วยังจะพะวงอีก [1] จริงๆ!
ทันใดนั้น เล่อเทียนจึงหยิบภาชนะขนาดเล็กในมือขึ้นมาสังเกตอีกครั้ง ก่อนถามอย่างสงสัย “แก้ไขด้วยวิธีก่อนหน้านี้ไม่ได้หรือ? ใช้เสี่ยวไตกู...”
ต้องรู้ว่า เล่อเทียนสนใจเสี่ยวไตกูที่เต็มไปด้วยจิติญญาเป็อย่างมาก เหตุการณ์ที่มีหนอนกู่ปรากฏตัวสองครั้งก่อน ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยเ้าตัวน้อยตัวนี้
ยามพูดถึงเสี่ยวไตกู...มู่จื่อหลิงย่อมรู้ว่าเล่อเทียนหมายถึงอะไร
“หากใช้เสี่ยวไตกู มันจะล่อกู่ซากศพออกมาได้” มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นเท้าคาง ก่อนถอนหายใจเบาๆ “อย่างไรก็ตาม กู่ซากศพตัวนี้...เ้าดูที่รูปร่างของมันสิ ยามข้าดึงมันออกมา ดูเหมือนมันจะมีการหยั่งรากลึกลงในหัวใจภายในกายมนุษย์ หากถูกบีบให้ออกมา ย่อมเกิดแผลในหัวใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะตาย”
เร้นกายในหัวใจ ทุกคนรู้ดีว่าหัวใจมีความสำคัญเพียงใดในร่างกายมนุษย์ ดังนั้นวิธีการกระตุ้นกู่จึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เล่อเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาเขย่าภาชนะขนาดเล็กแล้วถามว่า “ต้องฆ่ามันโดยตรง มีวิธีใดที่จะกำจัดเ้าปีศาจนี้ในร่างกายมนุษย์หรือไม่?”
ในยามนี้เล่อเทียนซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหนอนกู่ ทำได้เพียงแค่ขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม แม้ว่าเขาจะไม่สามารถช่วยเหลือในเื่นี้ได้มากนัก แต่เขาหวังว่ามู่จื่อหลิงจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเื่แปลกๆ ในยามนี้ได้
“ข้าก็กำลังคิดหาหนทางอยู่เช่นกัน” มู่จื่อหลิงพยักหน้าและพูดด้วยความมั่นใจ “...สังหารเ้าสิ่งดื้อรั้นนี้จากในร่างมนุษย์ นี่เป็วิธีเดียว”
อย่างที่เล่อเทียนพูดั้แ่ต้น นางคิดมาั้แ่แรกแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากปัญหานี้ นางจึงคิดอย่างหนักจนจิตใจว้าวุ่น
“ดูเหมือนจะไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ” เล่อเทียนรู้สึกหดหู่อยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ยังคิดหาเหตุผลไม่ได้ จึงอดไม่ได้จนต้องถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่ เ้าคิดออกหรือยัง?”
“มีเงื่อนงำเล็กน้อย” รูม่านตาใสของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ นางผายมือออกอย่างหมดหนทาง ขมวดคิ้วแน่น “เพียงแต่ในยามนี้ข้ายังหาวิธีการที่ไร้ข้อผิดพลาดไม่ได้ เ้าก็เห็นแล้ว เ้าสิ่งนี้ดื้อรั้นเกินไป พิษทั่วไปไม่สามารถฆ่ามันได้”
เหตุที่มู่จื่อหลิงกล่าวว่านางยังคิดวิธีที่ไร้ข้อผิดพลาดไม่ได้ เป็เพราะนางพบวิธีการแล้ว แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าวิธีนี้จะไม่มีข้อผิดพลาด
เื่นี้มีหลายชีวิตเป็เดิมพัน นางไม่อาจยอมให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้แม้เพียงนิด
ขณะพูด มู่จื่อหลิงก็หยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ “ใช้ได้เฉพาะยาพิษชนิดพิเศษเท่านั้น นี่คือยาพิษที่ข้ากลั่นเมื่อสองสามวันก่อนเพื่อใช้ในการรักษา เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ยามนี้นางเกือบปรับปรุงยาแก้พิษจนได้ที่แล้ว แต่นางยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป นางไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามีอะไรหายไป
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้ทำการทดลองมากมายในระบบซิงเฉิน แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็มีความคืบหน้าเล็กน้อยนี้
อย่างไรก็ตาม มันยากมากที่จะวางยาพิษกู่ซากศพได้โดยตรง โดยไม่ทำอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ในขณะเดียวกันกู่ซากศพก็ต้องหายไปอย่างสิ้นซาก
“ยานี้...” มีประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาของเล่อเทียน เขาหยิบขวดยาโดยไม่พูดอะไรออกมา เทยาสองสามเม็ดใส่มือ
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมสดชื่นกระจายออกมา นี่คือกลิ่นของน้ำยาหลิงอวิ้น ซึ่งเล่อเทียนคุ้นเคยมาก
กลิ่นหอมของน้ำยาหลิงอวิ้นกลบกลิ่นอื่นๆ ของยาได้จนหมดสิ้น หากไม่รู้ว่ามีพิษร้ายแรง เล่อเทียนคงอดไม่ได้ที่จะกลืนมันลงไป
เล่อเทียนมองดูเม็ดยาในมืออย่างระมัดระวังอีกครั้ง ยาตัวนี้ใสยิ่งนัก สีและคุณภาพช่างดูบริสุทธิ์ เกือบจะเป็ยาระดับสูงสุด ยามมองแวบแรกให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมเป็อย่างยิ่ง
ชั่วขณะหนึ่งเล่อเทียนรู้สึกใเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพของยานี้ เพียงแค่พูดว่ายาเม็ดที่บอบบางและละเอียดอ่อนเช่นนี้ เป็สิ่งที่เขาไม่สามารถทำออกมาได้ภายในสิบวันถึงครึ่งเดือน แล้วมู่จื่อหลิงสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร?
จู่ๆ เล่อเทียนก็รู้สึกแปลกๆ
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา นอกจากเวลาอ่านหนังสือแล้วมู่จื่อหลิงทำเพียงนอนหลับตลอดเวลา นางเอาเวลาไหนมาสำรวจปัญหามากมายเหล่านี้ ที่สำคัญที่สุด นางจะมีเวลากลั่นยาได้อย่างไร?
ตอนแรก เล่อเทียนคิดว่ามู่จื่อหลิงี้เี คาดไม่ถึง ยามนี้ดูเหมือนว่านางเป็คนที่ยุ่งที่สุด...ฉีหวางเฟยผู้นี้ เป็ผู้หญิงแบบใดกันแน่?
ดี! ช่างน่าสนใจจริงๆ...ใจของเล่อเทียนพันกันยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น
เหตุใดทุกครั้งที่พบกัน นางถึงสามารถนำเื่น่าอัศจรรย์อันแสนลึกลับและแปลกประหลาดมากมายเช่นนี้มาด้วยเสมอ?
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินสิ่งที่มู่จื่อหลิงพูด เล่อเทียน ก็ตกอยู่ในความทุกข์เช่นกัน
เื่นี้ค่อนข้างระทึกขวัญเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วจุดที่กู่ซากศพแฝงตัวอยู่ไม่ใช่ที่อื่นๆ ในร่างกายมนุษย์ หากแต่เป็หัวใจ จึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้านให้ชัดเจน
เล่อเทียนหยิบยาขึ้น ใช้ปลายนิ้วบดจนกลายเป็ผง ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วสรุปได้ทันทีว่า “คุณภาพอันยอดเยี่ยมของยาพิษนี้เพียงพอที่จะแก้ปัญหานี้ได้ แต่พิษรุนแรงเกินไป เข้าสู่ร่างกายเพียงเล็กน้อยผลย่อมไม่อาจจินตนาการถึง”
มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น นั่นคือเหตุผลที่ข้าคิดว่ายานี้ยังมีบางอย่างขาดหายไป ยามนี้ข้าต้องรอหลี่ซินหย่วนเพื่อดูว่ามีเบาะแสใหม่หรือไม่...”
ยามพูดถึงหลี่ซินหย่วน...เล่อเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยามนี้ยังมีปัญหาหนักหนาอีกประการหนึ่ง
หากกู่ซากศพในครั้งนี้เป็การล้างแค้นจากเศษซากของนิกายกู่ตู๋จริง ปัญหาจะไม่ใช่แค่เื่ที่พวกเขาต้องแก้ไขเื่โรคระบาดอย่างสมบูรณ์เพียงเท่านั้น
หากสถานการณ์ยังคงเป็เช่นนี้ เป็ไปได้ว่าเื่นี้จะไม่อาจหยุดยั้งได้
เล่อเทียนชำเลืองมองมู่จื่อหลิงอย่างครุ่นคิด ตาสีเข้มแวววาวของเขาส่องประกายราวกับดวงดาวสว่างไสว มีแสงซับซ้อนส่องประกายในดวงตา
ดูเหมือนเื่กู่ซากศพนี้จะต้องรายงานต่อฮ่องเต้เหวินอิ้นตามข้อเท็จจริง...แต่เขากังวลเกี่ยวกับการให้มู่จื่อหลิงเข้าวัง เหล่าสัตว์ร้ายทุกชนิด [2] ที่อยู่ในวังหลวง พวกผีวัวงูเทพ [3] ยังรอนางราวรอเหยื่ออยู่เสมอ
ยามนี้เื่ที่เป็ความลับเช่นนี้สำคัญมาก ชายตุ้งติ้งอย่างหลี่ซินหย่วนเหมาะที่สุดที่จะเข้าวังเพื่อกราบทูลฮ่องเต้เหวินอิ้น...เล่อเทียนแอบตัดสินใจอย่างลับๆ
ในเวลาเดียวกัน เล่อเทียนยังคร่ำครวญอีกครั้งในใจ ยามนี้มันยากสำหรับเขาจริงๆ ด้วยยามนี้เขาเป็คนเดียวที่รู้ว่าชายตุ้งติ้งผู้ยากจะเข้าใจอยู่ที่ใด เขาเป็คนเดียวที่รู้ความลับของอีกฝ่าย
ในขณะนี้เองที่กุ่ยเม่ยพุ่งเข้าประตูมาอย่างรีบร้อน
การมาของกุ่ยเม่ยในคราวนี้ เปรียบดังการอยากนอนแล้วมีคนส่งหมอนมาถูกเวลา [4]
ยามนี้มู่จื่อหลิงกำลังดิ้นรนเพื่อค้นหาปัญหาจากแหล่งที่มาของโรค และคราวนี้กุ่ยเม่ยกลับมาพร้อมข่าวดี
หลังจากค้นหามาหลายวัน ในที่สุดแหล่งที่มาของโรคระบาดบนเขาโฮ่วซานของเมืองหลงอันก็ถูกค้นพบ
ต้นตอของโรคนี้เป็ความหวังเดียว ทั้งยังเป็ความหวังสุดท้าย
เมื่อทราบข่าว อารมณ์หดหู่ของมู่จื่อหลิงที่เป็มาสองสามวันก็ค่อยๆ จางหายไป
เห็นได้ว่าร่างกายอ่อนปวกเปียกของนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที ความสุขส่องประกายในดวงตาของมู่จื่อหลิง “เช่นนั้นเราไปดูกันเถอะ ไปเร็ว”
“หลิงเอ๋อร์ เ้าล่วงหน้าไปก่อน ข้ายังมีอย่างอื่นที่ต้องจัดการ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะตามไปสมทบเ้าในภายหลัง” เล่อเทียนเพียงเอ่ยประโยคนี้ทิ้งไว้ เมื่อหันไปมองอีกครั้ง เขาก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
เอ่อ...มู่จื่อหลิงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าเล่อเทียนหายตัวไปด้วยความเร็วที่หาตัวจับยาก ในใจมู่จื่อหลิงเกิดความอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง
เกลียดยิ่งนัก! นางมีสุขภาพดีเพียงนี้ อีกทั้งกระดูกยังมีความยืดหยุ่น ไม่ว่ามองอย่างไรนางก็เป็ต้นกล้าที่ดี แล้วเหตุใดนางถึงไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้กัน?
...ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งคิดยิ่งไม่มีความสุข
เห็นมู่จื่อหลิงจ้องมองประตูที่เล่อเทียนหายตัวไป ยืนนิ่ง ดวงตาของนางแทบลุกเป็ไฟ กุ่ยเม่ยจึงเอ่ยเตือนด้วยเสียงแ่เบา “หวางเฟย?”
“ให้ตายเถอะ! น่ารังเกียจยิ่งนัก ไปกันเถอะ!” มู่จื่อหลิงสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางที่มีชีวิตชีวา แล้วก้าวเท้าออกไปด้านนอก
ทันใดนั้น หัวใจของกุ่ยเม่ยก็สั่นสะท้าน สับสนกับการกระทำของมู่จื่อหลิงที่เป็เช่นนี้...มีใครยั่วยุบรรพบุรุษตัวน้อยผู้นี้หรือ?
-
หลังจากมู่จื่อหลิงเดินออกจากห้องหนังสือด้วยความกราดเกรี้ยว เมื่อเห็นม้าขาวสง่ายืนอยู่ด้านนอกเงียบๆ หัวใจของนางก็มั่นคงขึ้นในทันที
แม้ว่านางจะไม่สามารถฝึกวิชาตัวเบาได้ แต่ยามนี้นางมีม้าดีที่วิ่งติดต่อกันได้หลายพันลี้ซึ่งทำให้ทุกคนอิจฉาในยามเดินทาง ม้าเมฆาที่มีชื่อเสียงพอๆ กับม้าเปินเหลย
ม้าเมฆาเข้าใจในมนุษย์ แต่กลับมีความดื้อรั้น เยือกเย็นและเย่อหยิ่งที่ไม่รู้ว่ามันได้นิสัยนี้มาจากนายของมันหรือไม่ เช่นนี้คงต้องรักเรือนนี้ต้องรักยันอีกาแล้ว
กล่าวได้ว่า มันประพฤติตัวว่านอนสอนง่ายต่อหน้ามู่จื่อหลิง ทั้งยังชอบอยู่ใกล้นาง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังชอบถูไถร่างนาง ทำตัวราวเด็กอ่อน
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็เพราะมู่จื่อหลิงมีอาวุธลับที่ใช้กับม้าเมฆาเป็พิเศษต่างหาก
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วยังจะพะวงอีก (咸吃萝卜淡操心) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า เวลาดองหัวไชเท้าแล้วใส่เกลือมากๆ เราก็ไม่ต้องคอยมากังวลว่ามันจะเสีย ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ชอบกังวลไปทั่วทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
[2] เหล่าสัตว์ร้ายทุกชนิด (豺狼虎豹) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า จุดรวมตัวของคนที่มีความโหดร้ายจนต้องระวังการโจมตีในทุกฝีก้าว
[3] พวกผีวัวงูเทพ (牛鬼蛇神) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า พวกวายร้าย หรือคน หรือสิ่งที่น่าเกลียดทุกรูปแบบในสังคม
[4] อยากนอนแล้วมีคนส่งหมอนมาถูกเวลา (想睡觉有人送枕头) เป็วลี มีความหมายว่า เป็ไปตามความปรารถนา หรือ์เป็ใจ