กงจื้อิขมวดคิ้วอย่างคิดหนักอยู่พักใหญ่ ใบหน้าที่เ็ามาหลายวันค่อยๆ เริ่มปรากฏความสุขขึ้นมา เขาตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “น่าจะรู้สึก...ชานิดหน่อย!”
“เยี่ยมไปเลย!” ติงเหว่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาและพูดว่า “การนวดมาครึ่งเดือนไม่ได้ไร้ประโยชน์ และยังค่อนข้างได้ผลดีเลยทีเดียว หากอดทนต่อไปไม่แน่ว่านายน้อยอาจฟื้นตัวได้เร็วกว่านี้อีกก็เป็ได้”
“ขอ์คุ้มครองและบรรพบุรุษคุ้มครอง!” เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ ขาทั้งสองข้างของท่านลุงอวิ๋นก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมเริ่มคำนับ ปากเอาแต่สะอึกสะอื้นพึมพำขอบคุณเหล่าเทพเ้าที่เขานึกถึงทั้งหมดหนึ่งรอบ
มีเพียงกงจื้อิเท่านั้นที่ก้มลงไปมองสตรีที่กำลังยุ่งอยู่กับการนวดเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
ติงเหว่ยครุ่นคิดเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บางทีกงจื้อิอาจใจร้อนอยากช่วยนาง จึงยกแขนขึ้นมาได้โดยไม่รู้ตัว หรืออาจเป็พลังพิเศษที่ซ่อนอยู่ก็เป็ได้ แต่อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เื่ปกติจึงสามารถอธิบายได้ว่าเส้นลมปราณที่แขนของเขาได้รับการรักษาและกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวอยู่
คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยและเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะต้องกลับมาเดินได้อีกครั้งอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็มีกำลังใจขึ้นอย่างมาก หลังจากนวดเสร็จ นางก็หาพู่กันเล็กๆ ในห้องมาใส่ไว้ในมือซ้ายของกงจื้อิแล้วลองให้เขากำเอาไว้ ถึงแม้ทุกครั้งจะต้องให้นางช่วยขยับ ทว่านิ้วของกงจื้อิเองก็กระตุกขึ้นมาเป็ครั้งคราวจึงทำให้นางยิ้มได้อีกครั้ง
“นายน้อย หากว่าท่านเป็วรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ เช่น มีดบิน ปาหิน เป็ต้น ท่านสามารถใช้วรยุทธ์เหล่านี้ในการฝึกแขนขวา เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเมื่อเวลาผ่านไปนาน ส่วนแขนซ้ายท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ค่อยๆ ลองหยิบจับของไปก่อน รอจนกระทั่งสามารถขยับนิ้วได้แล้วจึงเริ่มกลิ้งลูกเหอเถา”
“ตกลง” กงจื้อิพยักหน้า และหางตาของเขาก็เหลือบมองไปที่ท้องติงเหว่ย จากนั้นก็พูดว่า “ตอนเที่ยงให้ครัวใหญ่จัดเตรียมอาหารกลางวัน ส่วนเ้าก็ไปพักสักวันเถอะ”
ติงเหว่ยเองก็รู้สึกเหนื่อยล้านิดหน่อยจริงๆ เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิเสธ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตกลง งั้นตอนเย็นข้าจะมาใหม่ นอกจากนี้ควรจะกินอาหารกลางวันที่สวนจึงจะดีที่สุด อีกอย่างนายน้อยต้องออกไปเจอแสงแดดเสียบ้าง”
ในขณะที่นางกำลังพูด นางก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าจะแนะนำรถเข็นสารพัดประโยชน์ให้ดีหรือไม่ ปรากฏว่าท่านลุงอวิ๋นที่เมื่อครู่ยังร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเดินออกมาจากฉากกั้น พลางเข็นรถเข็นทำมือพร้อมที่วางแขนออกมาด้วย ท่านลุงอวิ๋นเดินมาหน้าเตียงด้วยความดีใจสุดขีด เขายิ้มและพูดว่า “นายน้อย ข้าจะพาท่านไปเดินเล่นรอบๆ สวนเอง ดอกกุหลาบหนามสองต้นที่ปลูกไว้คราวก่อนก็บานหมดแล้ว ท่านเองก็ชอบสีสันสดใสของดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งไม่ใช่หรือ ทั้งยังเหมาะแก่การไปนั่งอ่านหนังสือข้างหน้าดอกไม้อีกด้วย หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จค่อยกลับเข้ามาพักผ่อน ท่านว่าดีหรือไม่?”
ติงเหว่ยเอื้อมมือออกไปััลวดลายที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงบนรถเข็นคันนั้น นางตั้งมั่นที่จะเอาความคิดเมื่อครู่โยนทิ้งไปให้ไกล และจะไม่ดูถูกภูมิปัญญาของคนโบราณอีกต่อไป หลังจากนี้จะทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว
……
ไม่ว่าในใจของติงเหว่ยจะคิดอย่างไร วันนี้ทุกคนในจวนสกุลอวิ๋นต่างได้รับรางวัลกันทั้งนั้น และทุกคนยังได้ยินมาว่าเป็เพราะติงเหว่ยตั้งใจปรนนิบัติรับใช้ดูแลเื่อาหารการกินของนายท่านเป็อย่างดี ตอนนี้อาการป่วยของนายท่านเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจึงทำให้ทุกคนพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ดังนั้นพวกเขาต่างก็ซาบซึ้งใจ ท่านป้าหลี่ตั้งใจเตรียมต้มซวนเหมยทัง [1] เป็พิเศษ และเก็บไว้ในหม้อให้นางเกือบทั้งวัน เมื่อติงเหว่ยตื่นจากนอนกลางวันแล้วดื่มไปหนึ่งชามก็รู้สึกสดชื่นเป็อย่างมาก
เด็กในท้องของนางอาจรับรู้ได้ถึงความสุขของแม่ เขาจึงเอื้อมมือต่อยไปมาอยู่ในท้องของนางด้วย ติงเหว่ยยื่นมือออกไปตบท้องของนางเบาๆ นางนั่งพิงเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าต่าง จากนั้นก็อ่านหนังสือให้เด็กน้อยฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมไปทำอาหารเย็นสำหรับกงจื้อิที่ห้องครัว
น่าเสียดายที่ในจวนแห่งนี้มีคนหนึ่งคนที่ไม่เต็มใจจะรับรางวัล
เซียงเซียงอุตส่าห์ใช้โอกาสตอนที่ท่านปู่ของนางไม่อยู่ด้วยแอบเข้าไปในห้องครัวเล็กเพื่อจะไปหาเื่ติงเหว่ยสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าติงเหว่ยกำลังหลับอยู่และอวิ๋นอิ่งก็ยืนกรานที่จะขวางนางไว้นอกประตูเรือน
เซียงเซียงโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางใช้มือชี้ไปจนเกือบจะโดนปลายจมูกของอวิ๋นอิ่ง และสบถออกมาด้วยเสียงเบาๆ ว่า “อย่าคิดว่าเ้าเรียกท่านปู่ของข้าว่าท่านพ่อบุญธรรมแล้ว ข้าจะยอมรับเ้าเป็ท่านป้าของข้าจริงๆ คนอย่างเ้าก็เป็ได้แค่ขี้ข้าชั้นต่ำ! ติดตามนางผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นได้ไม่กี่วันก็ทำตัวเป็สุนัขรับใช้ซะแล้ว เ้าหยุดแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับข้าสักที รีบหลบออกไปเดี๋ยวนี้ ระวังให้ดีเถอะข้าจะฟ้องท่านปู่ว่าเ้ารังแกข้า คอยดูสิว่าต่อไปเ้าจะเสแสร้งกตัญญูยังไงได้อีก!”
อวิ๋นอิ่งหลับตาลงครึ่งหนึ่งราวกับว่าไม่เห็นนิ้วที่ชี้อยู่ที่ปลายจมูกของนาง แขนทั้งสองข้างยังคงยืนหยัดขวางหน้าประตูเอาไว้โดยไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว
“เ้ากลับไปเสียเถอะ นายน้อยมีรับสั่งว่าแม่นางติงทำงานหนัก อนุญาตให้นางพักผ่อนอย่างเต็มที่สักครึ่งวัน”
“เ้า…เ้ากล้าดียังไงถึงยกเอานายน้อยมาสั่งข้า?” เซียงเซียงได้ฟังก็ยิ่งโกรธมากขึ้น นางยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของอวิ๋นอิ่ง “ติงเหว่ยนางเป็ใครกันแน่ แล้วนายน้อยยังรับสั่งด้วยตัวเขาเองอีก ต้องเป็เพราะว่าเ้า…”
“อวิ๋นอิ่ง มานี่เร็ว!” ติงเหว่ยออกมาจากประตูแม้ว่านางจะได้ยินไม่ชัดเจนว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงเื่อะไร แต่เมื่อเห็นเซียงเซียงดึงอวิ๋นอิ่งในท่าทางดุดัน นางก็เดาได้ว่าไม่ใช่เื่ดีอีกเป็แน่ ดังนั้นนางจึงะโเรียกอวิ๋นอิ่งเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะถูกรังแกเข้า
เมื่อได้ยินเช่นนี้อวิ๋นอิ่งก็หันไปมองติงเหว่ย แววตาของนางฉายแววอบอุ่นขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วนางก็ตอบว่า “แม่นาง ท่านตื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ เ้ามานี่แล้วช่วยข้าจัดเตรียมวัตถุดิบหน่อย จะไปคุยเล่นกับคนที่ไม่สำคัญอะไรทำไมกัน?” ติงเหว่ยตำหนิออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเซียงเซียง
มุมปากของอวิ๋นอิ่งโค้งขึ้นเล็กน้อย และนางก็ตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่หาได้ยากยิ่ง “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” หลังพูดจบนางก็สะบัดแขนของเซียงเซียงออกอย่างง่ายดาย จากนั้นดันประตูไปปิดไว้อย่างแ่าดัง “ปัง”
เซียงเซียงไม่คิดว่าพวกนางทั้งสองคนจะกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ นางจึงยืนตกตะลึงที่หน้าประตูอยู่นานสองนานกว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็กรีดร้องออกมาด้วยความโมโห “เ้าพวกชั้นต่ำสารเลวทั้งสองคน ข้าจะไม่ปล่อยพวกเ้าไว้แน่!”
ในขณะที่นางพูดอยู่ก็ยกเท้าถีบไปที่ประตู ผลลัพธ์ก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะเดิมทีฝ่าเท้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประตูอยู่แล้ว นางเจ็บจนจับเท้าไว้แล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ทำให้ซานอีที่เดินผ่านมาเห็นกลอกตามองบน จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หยุดแม้เพียงครึ่งก้าว
พูดกันตามตรง ไม่มีใครชอบหลานสาวของท่านลุงอวิ๋นผู้นี้เลยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าท่านผู้าุโ ข้างกายของนายน้อยจะมีที่สำหรับนางได้อย่างไร เป็ผู้หญิงแต่เย็บผ้าก็ไม่ได้ ทำอาหารก็ไม่เป็ ทำได้แต่แหกปากโวยวายและเที่ยวด่าทอคนอื่นไปทั่ว ช่างเป็คนที่ไร้ประโยชน์จริงๆ
เซียงเซียงไม่รู้ตัวว่าทุกคนต่างก็ไม่ชอบนาง ขณะที่นางกำลังเดินกะโผลกกะเผลกกลับไปที่เรือนของตนเองก็ยิ่งเกลียดติงเหว่ยมากขึ้น ั้แ่ที่นางปรากฏตัวขึ้นมาเื่ทุกอย่างก็ดูจะไม่ราบรื่นเอาเสียเลย แล้วเมื่อไรนางจะได้ลืมตาอ้าปากบ้างสักที! หรือนางต้องยอมดูติงเหว่ยใช้เสน่ห์ยั่วยวนนายน้อยอย่างนั้นหรือ? หากว่านางต้องเรียกผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ว่าท่านฮูหยินน้อยขึ้นมา ให้นางยอมโดนชนตายเสียยังดีกว่า!
เอ้ย หกล้มตายเสียยังเสียดีกว่า!
ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเซียงเซียง ทำเอานางใจนตัวสั่นไปหมด จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวอยู่เป็เวลานาน เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ทว่าความคิดในสมองของนางราวกับได้หยั่งรากลึกลงไปจนทำให้นางถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว…
“ทำเช่นนั้นก็คงไม่เลวเหมือนกัน!”
ยามเดือนหกถึงแม้ในบริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้จะมีูเาและป่าไม้ปกคลุมอยู่ แต่อากาศก็ยังร้อนมากจนราวกับว่าเวลาที่หายใจเข้าไปในปอดยังรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวอย่างไรอย่างนั้น และในเวลานี้เด็กที่ซุกซนที่สุดในหมู่บ้านก็ถูกท่านแม่ของเขาบิดหูแล้วเข้าไปหลบเล่นโคลนอยู่ในสวนหลังบ้านแทน แต่ในจวนสกุลอวิ๋นที่เงียบสงัดมาตลอดจู่ๆ กลับมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาว่า “ทำเช่นนั้นก็คงไม่เลวเหมือนกัน!”
……
กงจื้อิยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รอยยิ้มที่หาได้ยากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ความหงุดหงิดที่เคยรวมตัวกันอยู่บริเวณหว่างคิ้วก็ดูเหมือนจะหายไปเสียส่วนใหญ่ และมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแทน
ท่านลุงอวิ๋นยิ้มพลางรับมีดบินมาจากหลินลิ่วที่ไปเก็บมาจากเป้าที่อยู่ไกลออกไปหลายจั้ง เขายิ้มอย่างมีความสุขและเอ่ยปากชมว่า “มีดบินของนายน้อยค่อยๆ แม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ!”
หลินลิ่วเองก็พูดว่า “นั่นสิ วิธีการของแม่นางติงนั้นไม่เลวเลยจริงๆ หากในอนาคตนายน้อยกลับเข้าสู่สนามรบก็จะมีวิธีสังหารเพิ่มขึ้นมาอีกวิธี”
ซานอีนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ รถเข็น เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ยื่นมือออกมาตรวจชีพจรของนายท่าน และในตอนท้ายเขาก็พึมพำออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “ถ้าข้ารู้ว่าวิธีการเล็กๆ น้อยๆ เ่าั้มีผลที่น่าทึ่งเช่นนี้ ข้าก็คง... "
“เ้าก็คงจะทำอะไร?” หลินลิ่วโต้ฝีปากกับซานอีด้วยความเคยชิน แล้วเขาก็พูดออกมาอย่างคล่องแคล่วอีกว่า “ถ้าสมองขี้เลื่อยของเ้าคิดเื่นี้ได้เร็วกว่านี้ ทำไมยังต้องให้แม่นางติงออกโรงอีกหรือ?”
“ข้า…ข้าก็กำลังคิดหาวิธีล้างพิษในตัวของนายน้อยให้หมดอยู่ไม่ใช่หรือ?” ใบหน้าของซานอีมืดหม่น ต่อให้เขาจะยอมรับ แต่ปากก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าหมอเช่นเขาจะแพ้ให้กับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวชาวนา
กงจื้อิฟังทั้งสองคนทะเลาะกัน มือซ้ายก็กำลังตั้งใจหมุนเหอเถาในมือไปด้วย ถึงแม้จะช้ามากแต่ก็ไม่ได้ร่วงบ่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ร่างกายของเขาก็เหมือนกับป่าและูเารอบๆ ที่ฟื้นพลังชีวิตขึ้นมาใหม่ ต่อให้ตอนนี้เขาจะยังยืนขึ้นไม่ได้ แต่เขาก็ยกมือขึ้นและปามีดบินออกไปได้ ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็ขยะไร้ประโยชน์อีกต่อไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากจนล้นออกมาข้างนอกหัวใจของเขา
……
ติงเหว่ยเดินมาพร้อมอวิ๋นอิ่งพอดี พวกนางกำลังถือกล่องข้าวเดินเข้ามาในสวน เมื่อติงเหว่ยมองเห็นภาพเบื้องหน้านี้นางเองก็อดที่จะยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ทำให้ผู้คนมีความสุขมากไปกว่าการได้เห็นผลลัพธ์จากความพยายามของตนเอง
และเมื่อรอยยิ้มนี้ตกอยู่ในสายตาของกงจื้อิ ความซาบซึ้งในใจของเขาก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
“ท่านลุงอวิ๋น” เขาเรียกด้วยเสียงแ่เบา ท่านลุงอวิ๋นโน้มตัวมาข้างหน้าทันที “แม่นางติงจะคลอดลูกเมื่อไร เ้าต้องเตรียมการเอาไว้ให้พร้อมเข้าใจไหม?”
ท่านลุงอวิ๋นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่านายท่านที่มีใบหน้าและท่าทีเ็ามาั้แ่ไหนแต่ไรจะเปลี่ยนนิสัยไปเสียแล้ว แต่เมื่อคิดถึงฐานะที่แท้จริงของติงเหว่ยสองแม่ลูกแล้ว เขาก็อดมีความสุขไม่ได้ และตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “นายท่านโปรดวางใจ บ่าวได้เตรียมการทุกอย่างไว้ตั้งนานแล้ว”
หลังจากพูดจบทั้งนายและบ่าวก็หันไปมองติงเหว่ยที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ตอนนี้ท้องของติงเหว่ยใหญ่มากแล้วเวลาเดินก็ต้องใช้แรงไม่ใช่น้อย นางถอนหายใจออกมาเบาๆ สองทีแล้วยังอยากจะคำนับ แต่กลับถูกท่านลุงอวิ๋นประคองให้นั่งที่ข้างๆ รถเข็นและเขาก็ตำหนิว่า “อากาศร้อนขนาดนี้แม่นางติงให้อวิ๋นอิ่งเอากล่องข้าวมาส่งก็พอแล้ว เหตุใดเ้าจะต้องเดินมาด้วยตนเอง ระวังจะเป็ลมแดดเอาได้นะ?”
กงจื้อิเองก็พยักหน้าและจากนั้นก็มองไปที่ซานอี ซานอีก้าวไปข้างหน้าและตรวจชีพจรให้ติงเหว่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ และเขาก็ตอบอย่างอ่อนแรงว่า “แม่และลูกปลอดภัยทั้งคู่ ตอนกลางคืนนอนพักให้มากสักหน่อย เด็กจะได้เติบโตอย่างแข็งแรงมากขึ้น”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินดังนั้น ก็ถามทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น แม่นางติงตอนกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับอย่างนั้นหรือ?”
ติงเหว่ยไม่ชินกับการที่มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งต่างจ้องมองมาที่ท้องของนาง นางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยจึงดึงเสื้อไปมา จากนั้นก็ยิ้มและพูดเปลี่ยนเื่ว่า “พอดีเมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับเท่าไร แต่ข้าก็คิดออกมาเื่หนึ่ง หากว่าสามารถยืนหยัดทำได้เป็เวลานาน นายน้อยก็อาจฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย”
“เื่อะไร เชิญเ้าพูดออกมาได้เลย”
แน่นอนว่าท่านลุงอวิ๋นเบิกตาขึ้นมาทันที และเงี่ยหูตั้งใจฟัง
หรือแม้แต่คนที่ไม่ชอบพูดอะไรมากอย่างหลินลิ่วก็ยังเอ่ยปากออกมา “หากว่ามีของอะไรที่ต้องใช้ขาดไป เชิญแม่นางติงเอ่ยปากมาได้เลย ข้าจะไปหาวิธีการให้”
ซานอีไม่ได้พูดอะไร แต่กลับก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
ติงเหว่ยเริ่มลังเลและรู้สึกเสียใจที่พูดเื่นี้ออกมา ทว่าจะเปลี่ยนเื่กลับไปตอนนี้ก็ไม่ง่ายเลย ดังนั้นนางจึงพยายามทำใบหน้าให้นิ่งสงบและจริงจัง แล้วพูดว่า “นายน้อยนอนอยู่บนเตียงมานานกว่าครึ่งปี ถึงแม้จะได้รับการดูแลอย่างดีไม่มีร่องรอยของแผลกดทับ แต่กล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างและบั้นเอวกลับแข็งทื่อไปหมด หากปล่อยไว้นานไปเกรงว่าจะฟื้นตัวได้ไม่ค่อยดี ในส่วนนี้…เอ่อ ข้าคิดว่าจะต้องถอดเสื้อผ้า และนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังต้องแช่น้ำร้อนทุกวันพร้อมนวดจุดลมปราณไปด้วย”
-----------------------------------------
[1] ซวนเหมยทัง 酸梅汤 หมายถึง ซุปบ๊วยเปรี้ยวสมุนไพร 6 ชนิด ซึ่งชาวจีนจะนิยมดื่มเพื่อคลายร้อน