หลังจากรถม้าของตวนอ๋องหายลับสายตาไป ทุกคนในตระกูลเสิ่นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ท่านลุงสามพูดขึ้นมาว่า “ที่รักษาร้านไว้ได้ ต้องขอบคุณอาเจิงแท้ๆ"
ป้าสามพูดสำทับสามี “ถ้าไม่ใช่เพราะมีครอบครัวน้องสี่อยู่ พวกเราสองคนคงรับมือไม่ไหวจริงๆ” นางมองสามีพร้อมเอ่ยบอกว่า “รอทำร้านเสร็จแล้ว ข้าจะทำอาหารเลี้ยงทุกคนที่นี่ รวมถึงครอบครัวของพี่ใหญ่กับพี่รองด้วย”
ลุงสามมีสีหน้ายินดี ภายนอกภรรยาเขาเหมือนไม่เป็อะไร ทว่าในใจกลับยังรู้สึกผิดต่อทุกคนอยู่ แต่วันนี้นางกลับบอกว่าจะเชิญญาติพี่น้องมากินข้าวด้วยกัน ก้าวขั้นนี้สำหรับนางแล้วไม่ง่ายเลย
คนตระกูลเสิ่นเริ่มลงมือช่วยกันจัดร้านอีกครั้งอย่างมีความสุข
นายหญิงเสิ่นดึงลูกสะใภ้ไปถามว่า นางกับตวนอ๋องยังคุยกันดีอยู่หรือไม่? กู้เจิงจึงเล่าในสิ่งที่คุยกันให้ฟัง
นายหญิงเสิ่นดีใจที่ตวนอ๋องจะยอมลืมเื่ในอดีตระหว่างเขากับกู้เจิง อย่างไรเสียบุตรชายของนางก็ทำงานให้กับตวนอ๋อง ทั้งยังได้รับความชื่นชมจากตวนอ๋องมาก อีกอย่าง ตวนอ๋องยังเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนาง หากสามารถอยู่ร่วมกันได้ย่อมเป็เื่ดี “อาเจิง เ้าทำได้ดีมาก”
กู้เจิงรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมจากแม่สามี
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มๆ “ล้วนกล่าวกันว่าทางที่เดินยากที่สุด คือทางใจ คนทำการใหญ่เช่นข้า หยิบขึ้นได้ ก็วางลงได้* เ้าค่ะ”
(*หมายถึง อยากทำอะไรก็กล้าทำและปล่อยมันไปเมื่อถึงเวลาต้องปล่อย หรือการไม่ใส่ใจอดีตที่ผ่านไปแล้ว)
“นี่กลับมาชมตัวเองเสียได้" นายหญิงเสิ่นล้อกู้เจิง
กู้เจิงกับชุนหงขอตัวกลับตระกูลเสิ่นก่อนเพื่อไปเตรียมอาหารเย็นให้กับทุกคนที่มาช่วยทำงานกันวันนี้ พวกลุงสามก็เหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน ทุกคนจึงชวนพวกเขามากินข้าวด้วยกันเสียเลย อาหารเย็นที่พวกกู้เจิงเตรียมก็ค่อนข้างเรียบง่าย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าเสิ่นเยี่ยนก็กลับมาแล้วเช่นกัน มีกงกงสองคนในชุดมหาดเล็กกลับมากับเขาด้วย ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อกู้เจิงและชุนหงกลับมาถึง พวกกงกงก็เอ่ยขอตัวกลับ
เสิ่นเยี่ยนรีบกล่าวแนะนำกู้เจิงกับกงกงว่า "”นี่คือภรรยาของข้า”
“ข้าน้อยคารวะฮูหยินน้อยเสิ่น” กงกงทั้งสองโค้งคำนับให้กู้เจิง
กู้เจิงรีบย่อตัวคารวะกลับไปตามมารยาท
“พวกข้าน้อยขอตัวกลับวังก่อนนะขอรับ” พวกเขากล่าวลากับเสิ่นเยี่ยนอีกครั้ง
“ท่านพี่ ท่านกลับมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเดินเข้าไปกอดแขนอ้อนสามี “กงกงสองคนนั้นมาทำอะไรหรือเ้าคะ?”
“พวกเขามามอบของรางวัลจากฝ่าาน่ะ” สายตาของเสิ่นเยี่ยนที่มองภรรยานั้นเปล่งประกาย ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ กู้เจิงก็วิ่งนำเข้าไปในบ้านก่อนแล้ว
ภายในห้อง ชุนหงกับกู้เจิงกำลังมองก้อนเงินก้อนทองในถาด แต่ละถาดมีก้อนเงินและก้อนทองอย่างละสิบก้อน และมีถาดหนึ่งเป็สิ่งล้ำค่าในห้องอักษรทั้งสี่[1] ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจคุณสมบัติของมัน แต่ของที่ฮ่องเต้ทรงมอบให้ ย่อมต้องเป็ของดีอย่างแน่นอน
“นี่เป็ครั้งแรกที่บ่าวเห็นทองใหญ่ขนาดนี้เ้าค่ะ” ชุนหงตาลายไปกับแสงสีทองแวววับจับตา
กู้เจิงถูกชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้มที่แขวนอยู่ในห้องดึงดูดเข้า นางหยิบชุดขึ้นมาดูพลางพูดด้วยความดีใจกับเสิ่นเยี่ยนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้อง “ท่านพี่ ท่านสวมชุดขุนนางให้ข้าดูหน่อยสิเ้าคะ”
เห็นรอยยิ้มตื่นเต้นของภรรยา เสิ่นเยี่ยนก็กางแขนออกทันที
กู้เจิงรีบเข้ามาสวมชุดให้เขา เมื่อใส่ชุดขุนนางเต็มยศแล้ว กู้เจิงก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อมองเขา ‘ผู้สูงส่งคือสุภาพชน หยกงามห้อยเป็ต่างหู หมวกฝังอัญมณีแวววาวดุจดวงดารา*’ นาทีนี้กู้เจิงเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ชุดขุนนางทำให้เขาดูสุขุมและมีสง่าราศีขึ้นอีกเท่าตัว
(*มาจาก ‘กั๋วเฟิงเว่ยเฟิงฉีอ้าว’ เป็บทกวียกย่องภาพลักษณ์ของบุรุษในสมัยจีนโบราณ)
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” เสิ่นเยี่ยนทักเมื่อเห็นภรรยาเงียบไป
“ข้ารู้สึกว่าท่านพี่เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลชนชั้นสูงเลยเ้าค่ะ” รูปร่างสูงโปร่งของเสิ่นเยี่ยน ต่อให้ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบก็ยากที่จะทำให้คนมองข้าม
ดวงตาของเสิ่นเยี่ยนฉายแววหม่นหมองที่ยากจะสังเกตเห็น เขารีบถอดชุดขุนนางออกแล้วส่งให้ชุนหง “อย่าคิดฟุ้งซ่าน เ้าเอาเงินไปเก็บเถอะ ส่วนพู่กันกับหมึกข้าจะเอาไปไว้ที่ห้องหนังสือ”
“บ่าวเอาไปเก็บให้นะเ้าคะ” ชุนหงรีบยกถาดออกไป
นางคิดฟุ้งซ่านที่ไหนกัน กู้เจิงยิ้มประจบพลางเอ่ยว่า “เงินพวกนี้ ต้องให้ท่านพ่อท่านแม่เป็คนจัดการก่อน แต่ถ้าพวกเขายอมให้ข้าดูแล ข้าก็จะเก็บดูแลไว้เองเ้าค่ะ”
“เ้าเอาอกเอาใจท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ พวกเขาไม่ชอบเ้าก็ยากแล้ว” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสิ่นเยี่ยนสังเกตเห็นความเอาใจใส่ของภรรยา
“ท่านพ่อท่านแม่ดีต่อข้า แน่นอนว่าข้าก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีเช่นกันเ้าค่ะ รางวัลที่ได้มานี้ย่อมต้องให้แก่บิดามารดาก่อนเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนคิดอยากจะแกล้งภรรยาเล่นสักหน่อย “หากพ่อแม่ของข้าเอาเงินพวกนี้ไปเก็บดูแลไว้เองเล่า?”
กู้เจิงทำหน้าบึ้งพูดว่า “ท่านพี่ ข้าเพิ่งบอกไปว่าท่านพ่อท่านแม่ดีต่อข้า แน่นอนว่าข้าก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีเช่นกันเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนเผลอยิ้มออกมา
ในตอนที่สองสามีภรรยาเสิ่น ลุงสามและป้าสามมาถึงที่บ้าน กู้เจิงและชุมหงก็ได้เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว
ทุกคนนั่งเบียดเสียดล้อมวงกันกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย
ทุกคนล้วนเอ่ยถามเสิ่นเยี่ยนว่าเขาจะได้เข้าพบฮ่องเต้และองค์ชายทุกวันหรือไม่ จะต้องเข้าวังทุกวันหรือเปล่า
ทุกคนฟังเสิ่นเยี่ยนอธิบายแล้วกินไปพลาง
กู้เจิงไม่ได้เล่าเื่ที่ฮ่องเต้ทรงประทานรางวัลให้แก่เสิ่นเยี่ยน อย่างไรเสียลุงสามและป้าสามก็ถือเป็คนนอก
เสิ่นเยี่ยนก็ไม่กล่าวถึงเช่นกัน เขามอบให้ภรรยาดูแลไปแล้ว ในเมื่อให้ไปแล้ว เขาย่อมไม่สนใจอีก
หลังจากลุงสามกับป้าสามจากไป กู้เจิงจึงเล่าเื่นี้ให้พ่อแม่สามีฟัง
“อาเจิงขอบคุณเ้าจริงๆ ที่คิดถึงพวกเราอยู่ตลอด” สองสามีภรรยาเสิ่นมองลูกสะใภ้ด้วยความปลื้มใจ นายหญิงเสิ่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “เ้าเก็บไว้ก็ดีแล้ว พวกข้าอายุปูนนี้ ไม่มีเื่ต้องใช้เงินมากนักหรอก ต่อไปหากได้รับพระราชทานรางวัลมาอีก เ้าก็เก็บรักษาดูแลไปเถอะ” แค่ลูกสะใภ้ยังนึกถึงพวกนาง แค่นี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งกว่าการได้รับพระราชทานของรางวัลจากฮ่องเต้เสียอีก
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่เ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
เสิ่นเยี่ยนปอกเปลือกถั่วลิสงกินเงียบๆ เขามองภรรยาคุยกับพ่อแม่ไปพลาง หลังจากกู้เจิงแต่งเข้ามา ครอบครัวของเขาก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ปกติที่บ้านมีแต่เสียงท่านพ่อ เขากับแม่มักจะนิ่งเงียบ แต่พอมีภรรยาเข้ามา ท่านแม่ก็พูดมากขึ้น ส่วนท่านพ่อพูดน้อยลง แต่มีรอยยิ้มมากขึ้นแทน
“ท่านพี่ ข้าก็อยากกินถั่วลิสงเหมือนกันเ้าค่ะ” กู้เจิงหันหน้ามาอ้าปากให้สามี
เสิ่นเยี่ยนโยนถั่วใส่ปากนาง “ยังมีอีกเื่หนึ่ง ทางวังได้จัดเตรียมที่พักอาศัยให้ขุนนางชนชั้นสามัญ อยู่ในเขตรอบๆ วังหลวงขอรับ”
“ยังมีบ้านให้ด้วยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงคิดไม่ถึงว่าการเป็ขุนนางจะดีขนาดนี้
“แม้ข้าจะไม่ต้องเข้าร่วมประชุมทุกวัน แต่หนังสือฎีกาบางเล่มที่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต้องนำขึ้นท้องพระโรงล้วนต้องให้ข้าจดลงทะเบียน บางเล่มถึงกับต้องเขียนตามแบบ และการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ต้องรอยามเหม่า* เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่จะทยอยเข้ามารอั้แ่ยามอิ๋น* พวกเราก็ต้องคอยติดตามอยู่ด้วย”
(*คือ่เวลาั้แ่ 05.00 น. – 07.00 น.)
(*คือ่เวลาั้แ่ 03.00 น. – 05.00 น.)
กู้เจิงฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก ยามเหม่าเทียบเท่ากับ่ตีห้าถึงเจ็ดโมงกระมัง ยามอิ๋นก็ั้แ่ตีสามถึงตีห้า “ต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้าพูดเรียบๆ ว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีบ้านให้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน”
นายหญิงเสิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ที่บ้านมีรถม้าเพียงคันเดียว ไม่ว่าเ้ากับอาเจิงจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่จัดไว้หรือไม่ พวกเราก็ต้องซื้อรถม้าอีกคันหนึ่ง”
กู้เจิงลังเล การอยู่ในตระกูลเสิ่นนั้นสุขสบายมาก มีพ่อแม่สามีคอยหนุนหลังช่วยเหลือ แต่การไปอยู่กับสามีเพียงสองคนคิดไปคิดมาก็ดียิ่ง แถมยังน่าตื่นเต้นอีกด้วย
“เช่นนั้นก็ซื้อรถม้าอีกคันเถอะ อาเยี่ยน กับอาเจิงไปอยู่ที่นั่น จะได้สะดวกสบายขึ้น” นายท่านเสิ่นตัดสินใจ
-----------------------------------
[1] สิ่งล้ำค่าในห้องอักษรทั้งสี่ เป็สี่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับห้องหนังสือ(ห้องอักษร) เพราะห้องหนังสือเป็ที่ที่ใช้อ่านหนังสือ แต่งกลอนบทกวี หรือวาดภาพ ซึ่งสี่สิ่งนี้ประกอบด้วย พู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึก