เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ขอบพระทัยพระสนมที่ห่วงใย แต่เช้านี้ ท่านอาจารย์มาตรวจอาการให้แล้ว และสือจิ่นก็กินยาแล้วเพคะ” น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้นอนพัก ก็ถูกเรียกมาที่นี่เสียก่อน... แน่นอน ประโยคท้าย นางได้เพียงพูดในใจเท่านั้น
พระสนมเสียนได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะขึ้น “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย เ้าเป็ศิษย์เอกของท่านราชครู การแพทย์ของราชครูล้ำเลิศกว่าหมอหลวงเป็ไหนๆ ที่ข้าเรียกเ้ามาพบ ก็เพราะอยากจะถามเื่อาการของพระสนมอวี๋เสียหน่อย”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ทูลพระสนม อาจารย์กำลังรักษาโรคให้พระสนมอวี๋อย่างเต็มที่ พระอาการของพระสนมอวี๋ก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน อาการป่วยก็คงจะหายดีเพคะ”
เมื่อพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมชั่วขณะ
พระสนมเสียนเอ่ย “แค่นี้หรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ไม่ทราบว่าพระสนมเสียนอยากทราบเื่ใดเพิ่มเติมหรือเพคะ?”
พระสนมเสียนพูดด้วยเสียงราบเรียบ “เมื่อคืน เ้าก็ทูลฝ่าาเช่นนี้หรือ?”
อาจเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเช้า ดังนั้นเมื่อพระสนมเสียนพูดถึงเื่นี้ เฟิ่งสือจิ่นก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมา พลันความสะอิดสะเอียนคล้ายอยากอาเจียนก็กลับคืนมาอีกครั้ง “เพคะ”
พระสนมเสียนพูด “กราบทูลเป็คำพูดสั้นๆ แต่กลับเข้าเฝ้าฝ่าานานหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าอาการของพระสนมอวี๋ซับซ้อนเสียอีก ถึงได้ใช้เวลาในการอธิบายยาวนานขนาดนั้น” เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งโหยง ขณะที่พระสนมเสียนยังคงพูดต่อไป “เ้ายังอายุน้อย แถมยังผอมแห้ง บอบบางถึงเพียงนี้ ฝ่าาช่างไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย ถึงเรียกพบเ้านานแบบนั้น หากปล่อยให้เ้ากลับไปพักั้แ่แรก เ้าก็คงไม่ป่วยหนักเช่นนี้” พระสนมเสียนชะงักลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเฟิ่งสือจิ่นยังเอาแต่เงียบจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูเสียหน่อย”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสบเข้ากับสายตาของพระสนมเสียน ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้สายตานี้ เฟิ่งสือจิ่นไม่อาจเก็บซ่อนความลับใดๆ ได้เลย ถึงกระนั้น นางก็ยังมองสบตาอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ เพราะนางมั่นใจว่าตนไม่มีสิ่งใดที่ต้องหลบซ่อนนั่นเอง พระสนมเสียนยังคงอมยิ้มอย่างเป็มิตร “ลูกสาวตระกูลเฟิ่งมีโฉมหน้างดงามทุกคนจริงๆ เ้ากับสือหนิงเหมือนกันทุกส่วน แม้แต่ข้าก็แทบจะแยกไม่ออกทีเดียว ไม่ต้องใไป เมื่อคืน กู้เหยียนมาหาข้าในวัง ข้าจึงพอจะรู้เื่ในตำหนักของฝ่าามาบ้าง คงเพราะเ้าเป็น้องสาวของสือหนิง กู้เหยียนเลยเป็ห่วง กลัวว่าเ้าที่เพิ่งตกน้ำจะไม่สบาย ก็เลยดึงดันจะพาเ้าออกมาจนทำให้ฝ่าากริ้วเช่นนี้”
“พระสนมเป็มารดาของซูกู้เหยียนหรือเพคะ?” เฟิ่งสือจิ่นโพล่งออกไป
พระสนมเสียนไม่ได้โกรธอะไร นางพูดทีเล่นทีจริง “เมื่อครู่ ข้าเพิ่งชมว่าเ้ามีมารยาทไปหมาดๆ ไม่ทันไรก็พูดข้ามลำดับศักดิ์เสียแล้ว หากไม่อยากเรียกกู้เหยียนว่า ‘องค์ชายสี่’ อย่างน้อยก็ควรเรียกเขาว่า ‘พี่เขย’ ไม่ใช่หรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าลงอีกครั้ง “สือจิ่นทราบแล้วเพคะ” ไม่รู้ว่าคำว่า ‘พอจะรู้เื่มาบ้าง’ ของพระสนมเสียน แปลว่ารู้เื่ราวมากน้อยแค่ไหนกันแน่ หรือพระสนมจะรู้ว่าฮ่องเต้เฒ่าทำเื่สกปรกเช่นนั้นกับตน? แต่ในเมื่อพระสนมเสียนไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เฟิ่งสือจิ่นก็จำต้องแกล้งทำเป็ไม่รู้ต่อไปเช่นกัน
“ข้าดูไม่เหมือนเสด็จแม่ของกู้เหยียนหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “การที่องค์ชายสี่มีเสด็จแม่เช่นพระสนม ถือเป็เื่ที่เหมาะสมและสมควรที่สุดแล้วเพคะ แต่พระสนมคงจะเข้าใจผิด สือจิ่นไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเฟิ่ง แค่บังเอิญใช้สกุลเฟิ่งเหมือนกันเท่านั้น สือจิ่นเป็แค่ศิษย์คนหนึ่งของราชครูเท่านั้นเพคะ”
“สือจิ่น...”
รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของพระสนมเสียนจางลงเล็กน้อย “เ้าพูดเช่นนี้ หากสือหนิงได้ยินเข้าคงจะเสียใจมาก เพราะรู้ว่าเ้าพักอยู่ในวัง สือหนิงจึงมาเข้าเฝ้าข้าั้แ่เช้า และขอให้ข้าเรียกเ้ามาพบเช่นนี้” พระสนมเสียนลูบแขนเสื้อเบาๆ พลางหันไปพูดกับเฟิ่งสือหนิงที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “สือหนิง ข้าเรียกคนที่เ้าอยากเจอมาให้แล้ว พวกเ้าพี่น้องมีอะไรอยากคุยกันก็เชิญตามสบายเถอะ”
เฟิ่งสือหนิงลุกขึ้นยืน แล้วย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพ “สือหนิงขอบพระทัยเสด็จแม่”
เมื่อพระสนมเสียนเดินออกไป เฟิ่งสือจิ่นจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ นางหันไปมองด้านข้าง พบว่าตรงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ หญิงคนนี้สวมชุดผ้าแพรชั้นดี ตกแต่งใบหน้าอย่างประณีต เครื่องประดับบนหัวทั้งหรูหราและมีราคาแพง ผิวขาวใส พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงตาเปล่งประกายน่าดึงดูด รูปโฉมงดงามจนเกินคำบรรยาย
เฟิ่งสือจิ่นมีสีหน้านิ่งเรียบ นางมองใบหน้าที่เหมือนกับตนแทบทุกส่วนอย่างไร้ความรู้สึก
เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ ปิ่นระย้าที่ประดับอยู่บนหัวแกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหว มันกระทบกันจนเกิดเสียงใสขึ้น ชายกระโปรงที่ทำมาจากผ้าแพรลากยาวไปกับพื้นกระเบื้อง ทุกอากัปกิริยาล้วนแฝงไปด้วยความสูงสง่า เมื่อเทียบกันแล้ว เฟิ่งสือจิ่นที่สวมชุดนักพรตสีเขียวขุ่นก็ไม่ต่างไปจากนกกระจอกที่ไม่สะดุดตา ซึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหงส์สูงส่ง
ไม่เจอกันนานถึงหกปี แม้เฟิ่งสือหนิงจะยืนอยู่เบื้องหน้า แม้ทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันแทบทุกส่วน แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับคนผู้นี้เลย เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาจับมือของเฟิ่งสือจิ่นด้วยท่าทางสนิทสนม พลางอ้าปากขึ้น คล้ายกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็คัดจมูกขึ้นมา นางลูบจมูกหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหว จึงจามออกมาต่อหน้าเฟิ่งสือหนิง
เฟิ่งสือหนิงชะงักค้างอยู่นาน ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า
เฟิ่งสือจิ่นฉวยโอกาสนี้ดึงมือกลับมาเช็ดจมูกตัวเอง “ขอโทษด้วย ข้ารู้สึกคันจมูกนิดหน่อย”
เฟิ่งสือหนิงฉีกยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เป็ไร สือจิ่น ไม่เจอกันนาน ออกไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อยเถอะ”
่เวลาต่อจากนั้น เฟิ่งสือหนิงจับมือของเฟิ่งสือจิ่นตลอดทาง พวกนางเดินออกมาจากตำหนักชิงเสียน คนรับใช้ทุกคนในตำหนักต่างก็มองว่าพระชายาขององค์ชายสี่ช่างอ่อนโยนและมีเมตตาเหลือล้น การที่คนระดับล่างอย่างเฟิ่งสือจิ่นมีพี่สาวที่สูงศักดิ์และสง่างามเช่นนี้ ถือเป็บุญวาสนาที่น่าภูมิใจที่สุดในชีวิตของนางแล้ว นางควรพอใจและขอบคุณในสิ่งที่มี สองพี่น้องเดินเล่นไปตามทางสายเล็กภายในสวนดอกไม้ ดอกท้อเบ่งบานเรียงรายอยู่สองข้างทาง กลีบสีชมพูร่วงหล่นอยู่บนพื้น เป็เหมือนพรมที่ปูยาวไปตลอดทาง ชายกระโปรงลูบผ่านกลีบบาง ทำให้กลีบบุปผาปลิวขึ้นอย่างแ่เบาราวกับเกลียวคลื่น
เฟิ่งสือหนิงเอาแต่นิ่งเงียบ ปานถูกทิวทัศน์ที่แสนงดงามดึงดูดความสนใจจนลืมไปเสียสนิท ว่าตนมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเฟิ่งสือจิ่นที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ นางกำลังรอให้เฟิ่งสือจิ่นเป็ฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน
ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง เกสรดอกไม้ทำให้เฟิ่งสือจิ่นจามออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เฟิ่งสือหนิงจึงจำต้องปล่อยมือนาง ทั้งสองหยุดลงใต้ต้นดอกท้อ เฟิ่งสือจิ่นจมูกแดงก่ำ ที่หางตามีน้ำตาเปียกชุ่ม นางลูบจมูกตัวเองพลางพูดขึ้น “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าไม่เหมาะจะอยู่ในที่แบบนี้จริงๆ อาจารย์ไปประชุมที่ท้องพระโรงแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปดูอาการของพระสนมอวี๋แทนอาจารย์ หากเ้าแค่อยากเดินชมสวน ก็ไปหาคนอื่นเถอะ”
เฟิ่งสือหนิงหยุดลง นางหันกลับมามองเฟิ่งสือจิ่นด้วยแววตาลึกซึ้งและจริงใจ ไม่ใช่แค่นั้น นางยังจับมือเฟิ่งสือจิ่นแล้วพูดด้วยท่าทางเป็ห่วงเป็ใย “อาการหวัดของเ้า ไม่เป็ไรมากใช่ไหม เรียกหมอหลวงมาตรวจดูเสียหน่อยดีหรือไม่? ข้าเห็นเ้าจามมาตลอดทางแล้ว”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ชินกับการกระทำของเฟิ่งสือหนิงสักเท่าไร “ข้าไม่เป็ไร”
“สือจิ่น...” เฟิ่งสือหนิงลูบเส้นผมข้างใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นอย่างรักใคร่ พลันน้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นมาให้เห็น “ไม่เจอกันตั้งหกปี เ้าโตขนาดนี้แล้วหรือนี่ กลับมาแล้ว ทำไมถึงไม่บอกให้ข้ารู้เสียหน่อย อยากจะพบเ้าสักครั้งช่างยากเสียจริง คิดไม่ถึงว่าเราจะได้เจอกันในวังหลวงเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นคล้อยสายตาลงต่ำ เวลาหกปีผ่านไปเร็วราวชั่วพริบตา แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังจำเื่ในอดีตได้อย่างเลือนราง นางจำได้ว่าตนไปจากเมืองหลวงท่ามกลางความรังเกียจและเย้ยหยันจากทุกคน มีแค่อาจารย์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า และคอยปกป้องนางอย่างเงียบงัน จำได้ว่าในตอนนั้น พี่สาวแท้ๆ คนนี้ไม่ได้ก้าวออกมาช่วยเหลือ หรือแก้ต่างแทนนางแม้แต่คำเดียว