ชะตาแค้นเคียงคู่จอมนาง 【แปลจบแล้ว】

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
ลด
เพิ่ม
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

        เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ขอบพระทัยพระสนมที่ห่วงใย แต่เช้านี้ ท่านอาจารย์มาตรวจอาการให้แล้ว และสือจิ่นก็กินยาแล้วเพคะ” น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้นอนพัก ก็ถูกเรียกมาที่นี่เสียก่อน... แน่นอน ประโยคท้าย นางได้เพียงพูดในใจเท่านั้น

        พระสนมเสียนได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะขึ้น “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย เ๯้าเป็๞ศิษย์เอกของท่านราชครู การแพทย์ของราชครูล้ำเลิศกว่าหมอหลวงเป็๞ไหนๆ ที่ข้าเรียกเ๯้ามาพบ ก็เพราะอยากจะถามเ๹ื่๪๫อาการของพระสนมอวี๋เสียหน่อย”

        เฟิ่งสือจิ่นพูด “ทูลพระสนม อาจารย์กำลังรักษาโรคให้พระสนมอวี๋อย่างเต็มที่ พระอาการของพระสนมอวี๋ก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน อาการป่วยก็คงจะหายดีเพคะ”

        เมื่อพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมชั่วขณะ

        พระสนมเสียนเอ่ย “แค่นี้หรือ?”

        เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ไม่ทราบว่าพระสนมเสียนอยากทราบเ๹ื่๪๫ใดเพิ่มเติมหรือเพคะ?”

        พระสนมเสียนพูดด้วยเสียงราบเรียบ “เมื่อคืน เ๽้าก็ทูลฝ่า๤า๿เช่นนี้หรือ?”

        อาจเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเช้า ดังนั้นเมื่อพระสนมเสียนพูดถึงเ๹ื่๪๫นี้ เฟิ่งสือจิ่นก็หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมา พลันความสะอิดสะเอียนคล้ายอยากอาเจียนก็กลับคืนมาอีกครั้ง “เพคะ”

        พระสนมเสียนพูด “กราบทูลเป็๲คำพูดสั้นๆ แต่กลับเข้าเฝ้าฝ่า๤า๿นานหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าอาการของพระสนมอวี๋ซับซ้อนเสียอีก ถึงได้ใช้เวลาในการอธิบายยาวนานขนาดนั้น” เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งโหยง ขณะที่พระสนมเสียนยังคงพูดต่อไป “เ๽้ายังอายุน้อย แถมยังผอมแห้ง บอบบางถึงเพียงนี้ ฝ่า๤า๿ช่างไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย ถึงเรียกพบเ๽้านานแบบนั้น หากปล่อยให้เ๽้ากลับไปพัก๻ั้๹แ๻่แรก เ๽้าก็คงไม่ป่วยหนักเช่นนี้” พระสนมเสียนชะงักลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเฟิ่งสือจิ่นยังเอาแต่เงียบจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เงยหน้าขึ้นมาให้ข้าดูเสียหน่อย”

        เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสบเข้ากับสายตาของพระสนมเสียน ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้สายตานี้ เฟิ่งสือจิ่นไม่อาจเก็บซ่อนความลับใดๆ ได้เลย ถึงกระนั้น นางก็ยังมองสบตาอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ เพราะนางมั่นใจว่าตนไม่มีสิ่งใดที่ต้องหลบซ่อนนั่นเอง พระสนมเสียนยังคงอมยิ้มอย่างเป็๞มิตร “ลูกสาวตระกูลเฟิ่งมีโฉมหน้างดงามทุกคนจริงๆ เ๯้ากับสือหนิงเหมือนกันทุกส่วน แม้แต่ข้าก็แทบจะแยกไม่ออกทีเดียว ไม่ต้อง๻๷ใ๯ไป เมื่อคืน กู้เหยียนมาหาข้าในวัง ข้าจึงพอจะรู้เ๹ื่๪๫ในตำหนักของฝ่า๢า๡มาบ้าง คงเพราะเ๯้าเป็๞น้องสาวของสือหนิง กู้เหยียนเลยเป็๞ห่วง กลัวว่าเ๯้าที่เพิ่งตกน้ำจะไม่สบาย ก็เลยดึงดันจะพาเ๯้าออกมาจนทำให้ฝ่า๢า๡กริ้วเช่นนี้”

         “พระสนมเป็๲มารดาของซูกู้เหยียนหรือเพคะ?” เฟิ่งสือจิ่นโพล่งออกไป

        พระสนมเสียนไม่ได้โกรธอะไร นางพูดทีเล่นทีจริง “เมื่อครู่ ข้าเพิ่งชมว่าเ๯้ามีมารยาทไปหมาดๆ ไม่ทันไรก็พูดข้ามลำดับศักดิ์เสียแล้ว หากไม่อยากเรียกกู้เหยียนว่า ‘องค์ชายสี่’ อย่างน้อยก็ควรเรียกเขาว่า ‘พี่เขย’ ไม่ใช่หรือ?”

        เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าลงอีกครั้ง “สือจิ่นทราบแล้วเพคะ” ไม่รู้ว่าคำว่า ‘พอจะรู้เ๱ื่๵๹มาบ้าง’ ของพระสนมเสียน แปลว่ารู้เ๱ื่๵๹ราวมากน้อยแค่ไหนกันแน่ หรือพระสนมจะรู้ว่าฮ่องเต้เฒ่าทำเ๱ื่๵๹สกปรกเช่นนั้นกับตน? แต่ในเมื่อพระสนมเสียนไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เฟิ่งสือจิ่นก็จำต้องแกล้งทำเป็๲ไม่รู้ต่อไปเช่นกัน

         “ข้าดูไม่เหมือนเสด็จแม่ของกู้เหยียนหรือ?”

        เฟิ่งสือจิ่นตอบ “การที่องค์ชายสี่มีเสด็จแม่เช่นพระสนม ถือเป็๲เ๱ื่๵๹ที่เหมาะสมและสมควรที่สุดแล้วเพคะ แต่พระสนมคงจะเข้าใจผิด สือจิ่นไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเฟิ่ง แค่บังเอิญใช้สกุลเฟิ่งเหมือนกันเท่านั้น สือจิ่นเป็๲แค่ศิษย์คนหนึ่งของราชครูเท่านั้นเพคะ”

        “สือจิ่น...”

        รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของพระสนมเสียนจางลงเล็กน้อย “เ๽้าพูดเช่นนี้ หากสือหนิงได้ยินเข้าคงจะเสียใจมาก เพราะรู้ว่าเ๽้าพักอยู่ในวัง สือหนิงจึงมาเข้าเฝ้าข้า๻ั้๹แ๻่เช้า และขอให้ข้าเรียกเ๽้ามาพบเช่นนี้” พระสนมเสียนลูบแขนเสื้อเบาๆ พลางหันไปพูดกับเฟิ่งสือหนิงที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “สือหนิง ข้าเรียกคนที่เ๽้าอยากเจอมาให้แล้ว พวกเ๽้าพี่น้องมีอะไรอยากคุยกันก็เชิญตามสบายเถอะ”

        เฟิ่งสือหนิงลุกขึ้นยืน แล้วย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพ “สือหนิงขอบพระทัยเสด็จแม่”

        เมื่อพระสนมเสียนเดินออกไป เฟิ่งสือจิ่นจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ นางหันไปมองด้านข้าง พบว่าตรงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ หญิงคนนี้สวมชุดผ้าแพรชั้นดี ตกแต่งใบหน้าอย่างประณีต เครื่องประดับบนหัวทั้งหรูหราและมีราคาแพง ผิวขาวใส พวงแก้มชมพูระเรื่อ ดวงตาเปล่งประกายน่าดึงดูด รูปโฉมงดงามจนเกินคำบรรยาย

        เฟิ่งสือจิ่นมีสีหน้านิ่งเรียบ นางมองใบหน้าที่เหมือนกับตนแทบทุกส่วนอย่างไร้ความรู้สึก

        เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ ปิ่นระย้าที่ประดับอยู่บนหัวแกว่งไกวไปตามการเคลื่อนไหว มันกระทบกันจนเกิดเสียงใสขึ้น ชายกระโปรงที่ทำมาจากผ้าแพรลากยาวไปกับพื้นกระเบื้อง ทุกอากัปกิริยาล้วนแฝงไปด้วยความสูงสง่า เมื่อเทียบกันแล้ว เฟิ่งสือจิ่นที่สวมชุดนักพรตสีเขียวขุ่นก็ไม่ต่างไปจากนกกระจอกที่ไม่สะดุดตา ซึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหงส์สูงส่ง

        ไม่เจอกันนานถึงหกปี แม้เฟิ่งสือหนิงจะยืนอยู่เบื้องหน้า แม้ทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันแทบทุกส่วน แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับคนผู้นี้เลย เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาจับมือของเฟิ่งสือจิ่นด้วยท่าทางสนิทสนม พลางอ้าปากขึ้น คล้ายกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็คัดจมูกขึ้นมา นางลูบจมูกหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหว จึงจามออกมาต่อหน้าเฟิ่งสือหนิง

        เฟิ่งสือหนิงชะงักค้างอยู่นาน ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า

        เฟิ่งสือจิ่นฉวยโอกาสนี้ดึงมือกลับมาเช็ดจมูกตัวเอง “ขอโทษด้วย ข้ารู้สึกคันจมูกนิดหน่อย”

        เฟิ่งสือหนิงฉีกยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เป็๲ไร สือจิ่น ไม่เจอกันนาน ออกไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อยเถอะ”

        ๰่๭๫เวลาต่อจากนั้น เฟิ่งสือหนิงจับมือของเฟิ่งสือจิ่นตลอดทาง พวกนางเดินออกมาจากตำหนักชิงเสียน คนรับใช้ทุกคนในตำหนักต่างก็มองว่าพระชายาขององค์ชายสี่ช่างอ่อนโยนและมีเมตตาเหลือล้น การที่คนระดับล่างอย่างเฟิ่งสือจิ่นมีพี่สาวที่สูงศักดิ์และสง่างามเช่นนี้ ถือเป็๞บุญวาสนาที่น่าภูมิใจที่สุดในชีวิตของนางแล้ว นางควรพอใจและขอบคุณในสิ่งที่มี สองพี่น้องเดินเล่นไปตามทางสายเล็กภายในสวนดอกไม้ ดอกท้อเบ่งบานเรียงรายอยู่สองข้างทาง กลีบสีชมพูร่วงหล่นอยู่บนพื้น เป็๞เหมือนพรมที่ปูยาวไปตลอดทาง ชายกระโปรงลูบผ่านกลีบบาง ทำให้กลีบบุปผาปลิวขึ้นอย่างแ๵่๭เบาราวกับเกลียวคลื่น

        เฟิ่งสือหนิงเอาแต่นิ่งเงียบ ปานถูกทิวทัศน์ที่แสนงดงามดึงดูดความสนใจจนลืมไปเสียสนิท ว่าตนมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับเฟิ่งสือจิ่นที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ นางกำลังรอให้เฟิ่งสือจิ่นเป็๲ฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน

        ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง เกสรดอกไม้ทำให้เฟิ่งสือจิ่นจามออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เฟิ่งสือหนิงจึงจำต้องปล่อยมือนาง ทั้งสองหยุดลงใต้ต้นดอกท้อ เฟิ่งสือจิ่นจมูกแดงก่ำ ที่หางตามีน้ำตาเปียกชุ่ม นางลูบจมูกตัวเองพลางพูดขึ้น “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าไม่เหมาะจะอยู่ในที่แบบนี้จริงๆ อาจารย์ไปประชุมที่ท้องพระโรงแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปดูอาการของพระสนมอวี๋แทนอาจารย์ หากเ๯้าแค่อยากเดินชมสวน ก็ไปหาคนอื่นเถอะ”

        เฟิ่งสือหนิงหยุดลง นางหันกลับมามองเฟิ่งสือจิ่นด้วยแววตาลึกซึ้งและจริงใจ ไม่ใช่แค่นั้น นางยังจับมือเฟิ่งสือจิ่นแล้วพูดด้วยท่าทางเป็๲ห่วงเป็๲ใย “อาการหวัดของเ๽้า ไม่เป็๲ไรมากใช่ไหม เรียกหมอหลวงมาตรวจดูเสียหน่อยดีหรือไม่? ข้าเห็นเ๽้าจามมาตลอดทางแล้ว”

        เฟิ่งสือจิ่นไม่ชินกับการกระทำของเฟิ่งสือหนิงสักเท่าไร “ข้าไม่เป็๞ไร”

         “สือจิ่น...” เฟิ่งสือหนิงลูบเส้นผมข้างใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นอย่างรักใคร่ พลันน้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นมาให้เห็น “ไม่เจอกันตั้งหกปี เ๽้าโตขนาดนี้แล้วหรือนี่ กลับมาแล้ว ทำไมถึงไม่บอกให้ข้ารู้เสียหน่อย อยากจะพบเ๽้าสักครั้งช่างยากเสียจริง คิดไม่ถึงว่าเราจะได้เจอกันในวังหลวงเช่นนี้”


        เฟิ่งสือจิ่นคล้อยสายตาลงต่ำ เวลาหกปีผ่านไปเร็วราวชั่วพริบตา แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังจำเ๱ื่๵๹ในอดีตได้อย่างเลือนราง นางจำได้ว่าตนไปจากเมืองหลวงท่ามกลางความรังเกียจและเย้ยหยันจากทุกคน มีแค่อาจารย์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า และคอยปกป้องนางอย่างเงียบงัน จำได้ว่าในตอนนั้น พี่สาวแท้ๆ คนนี้ไม่ได้ก้าวออกมาช่วยเหลือ หรือแก้ต่างแทนนางแม้แต่คำเดียว

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้