เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เสี่ยวหมี่ก็นึกถึงเื่ที่แม่ลูกสกุลสุยมาหาเมื่อวานนี้ จึงคิดจะเข้าเมืองไปศาลาว่าการเพื่อสอบถามดู
เฝิงเจี่ยนเปลี่ยนอาภรณ์ คิดจะตามเสี่ยวหมี่เข้าเมืองไปด้วย ผู้เฒ่าหยางคิดจะห้ามปรามแต่เฝิงเจี่ยนกลับโบกมือ
เสี่ยวหมี่ไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามว่า “ผู้เฒ่าหยางมีเื่อะไรหรือเปล่าเ้าคะ หรือมีอะไรจะฝากซื้อ?”
ผู้เฒ่าหยางยิ้มขื่นตอบว่า “เส้นยาสูบข้าหมดแล้วขอรับ”
“ท่านลุงหยาง ข้าจะซื้อเส้นยาสูบชั้นดีมาฝากท่านเองเ้าค่ะ สักสองตำลึง ไม่สิอย่างน้อยต้องสี่ตำลึง เมื่อวานเห็นว่ายาเส้นของนายท่านเฝิงเองก็พร่องไปแล้วเหมือนกัน”
พี่ใหญ่ลู่เตรียมรถม้า พวกเขาลงเขาไปอย่างช้าๆ งานขุดบ่อน้ำเหมือนจะเสร็จหมดแล้ว เรือนสองหลังที่นางว่าจ้างคนมาสร้างก็เป็รูปเป็ร่างแล้วเช่นกัน เสี่ยวหมี่คิดถึงว่าอีกไม่นานก็ต้องจ่ายเงินค่าแรงแล้ว จึงเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เฝิง อย่าลืมเตือนข้าให้แลกเงินเหรียญกลับมาบ้างนะเ้าคะ”
“ได้สิ”
อากาศต้นฤดูใบไม้ผลิไม่นับว่าหนาวเย็นนัก เฝิงเจี่ยนเปิดหน้าต่างรถออกกว้าง เนื่องจากด้านหน้ารถมีพี่ใหญ่ลู่นั่งอยู่ด้วย เฝิงเจี่ยนจึงไม่จำเป็ต้องกังวลว่าจะมีใครเอาไปพูดว่าร้ายแต่อย่างใด
ระหว่างทางมีพวกชาวบ้านโบกมือทักทายตลอดแนว เสี่ยวหมี่ชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่างยิ้มแย้มสนทนากับพวกเขา เมื่อผ่านเพิงทำอาหาร ท่านป้าหลิวก็ไล่ตามมาขอให้เสี่ยวหมี่ซื้อด้ายกลับมาฝาก เปลี่ยนฤดูกาลใหม่แล้ว พวกผู้หญิงรักสวยรักงาม ต่อให้จะไม่เย็บชุดใหม่ อย่างน้อยก็ต้องปักลวดลายใหม่ๆ ลงไปบนอาภรณ์ชุดเดิม
วันนี้เป็หน้าที่หลิวเสี่ยวเตาเฝ้าปากทางเข้าูเา เขาเห็นเสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถม้าก็อึ้งไป โบกมือทักทายเสี่ยวหมี่ด้วยท่าทางไม่ค่อยเป็ธรรมชาตินัก
เสี่ยวหมี่โบกมือให้เขา “พี่เสี่ยวเตา ลำบากท่านแล้ว เดี๋ยวข้าจะซื้อไก่ย่างมาฝาก พี่รองข้ายังบอกด้วยว่าอีกเดี๋ยวจะมาชวนท่านขึ้นเขาไปด้วยกันเพื่อดูสถานการณ์หน่อย อีกไม่กี่วันก็น่าจะเริ่มล่าสัตว์ได้แล้ว”
“ได้ น้องเสี่ยวหมี่ เข้าเมืองระวังด้วย ่นี้คนเลวเยอะนัก”
เสี่ยวเตากวาดสายตามองไปทางเฝิงเจี่ยน ชัดเจนว่าเขาหมายถึงผู้ใด น่าเสียดายที่เสี่ยวหมี่ไม่คิดสักนิดว่าคนข้างกายนางคือคนเลวที่เขาพูดถึงผู้นั้น
“ได้ พี่เสี่ยวเตาวางใจ มีพี่ใหญ่เฝิงอยู่”
รถม้าเคลื่อนผ่านไปไกลแล้ว แต่เสี่ยวเตาก็ยังไม่ยอมดึงสายตากลับมา สีหน้าแลดูไม่ค่อยดีนัก โก่วเซิ่งเอ๋อร์ที่มาเฝ้าูเากับเขาถามขึ้นอย่างพาซื่อ “เสี่ยวเตา เ้าอยากได้เสี่ยวหมี่เป็ภรรยาหรือ?”
เสี่ยวเตาถูกถามก็ดึงสติกลับมาได้ในทันที กล่าวอย่างโมโหว่า “พูดอะไรไร้สาระ ข้าไม่ได้คิดอะไร แต่เสี่ยวหมี่เป็ผู้หญิง หากเื่นี้ลือออกไปทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงจะทำอย่างไร?”
โก่วเซิ่งเอ๋อร์ลูบหลังศีรษะด้วยท่าทางซื่อๆ เขาพึมพำเสียงเบาว่า “ข้าก็แค่ถามดู ท่านแม่ข้าบอกว่าวันหน้าเสี่ยวหมี่จะได้แต่งให้กับคนร่ำรวยสูงศักดิ์ ไม่มีทางอยู่ในหมู่บ้านเขาหมีตลอดไป ให้ข้าแต่งผู้หญิงนิสัยดีซื่อสัตย์คลอดลูกได้มาเป็ภรรยา”
เสี่ยวเตาได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ดำคล้ำ สายตามองทะลุแมกไม้ออกไป คล้ายว่าจะไล่ตามรถม้าคันนั้นไป แต่ก็ปรากฏภาพใบหน้าของเฝิงเจี่ยนที่แลดูสนิทชิดเชื้อ แต่แท้ที่จริงแล้วแฝงความโอหังถือตัวเอาไว้ขึ้นมาแทน
หรือว่าเขาจะมีชาติกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย และคือคนนั้นที่จะได้แต่งงานกับเสี่ยวหมี่?
เสี่ยวเตาลอบกำหมัดแน่น การล่าสัตว์สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความอดทน ยังไม่ถึงตอนสุดท้าย ใครจะแพ้ใครจะชนะยังไม่อาจตัดสิน...
อาจเป็เพราะปีนี้ผลผลิตดี ชาวเมืองอันโจวจึงออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยกันขวักไขว่ ทุกคนเดินบนถนนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แม้แต่ทหารยามเฝ้าประตูเมืองก็ไม่ได้รีดเืมากจนเกินไป พี่ใหญ่จ่ายเงินไปสิบกว่าอีแปะแล้วจึงผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น
เขาในยามนี้เป็ว่าที่บุตรเขยสกุลเฉิน ในเมื่อเข้าเมืองมาแล้วก็ย่อมต้องไปเยี่ยมเยียน เสี่ยวหมี่ช่วยเขาเลือกของขวัญ จากนั้นพวกเขาก็แยกกันไปคนละทาง
พี่ใหญ่ลู่ไปบ้านสกุลเฉิน ส่วนเสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนไปศาลาว่าการ ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อใจเถ้าแก่เฉิน แต่เพราะเื่ที่ถูกแย่งซื้อูเาไปนี้ทำให้เถ้าแก่เฉินถึงกับล้มป่วย ยามนี้หากเื่ราวมีการเปลี่ยนแปลงอีก อาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็เป็ได้ สกุลลู่แบกรับผลลัพธ์เช่นนั้นไม่ไหว จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปสืบความเองเลยจะดีกว่า
ศาลาว่าการในวันนี้ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนคลาคล่ำ บรรยากาศแลดูเหมือนจะกดดันเล็กน้อย
คนที่ทำงานในศาลาว่าการได้ย่อมไม่ใช่คนโง่
ก่อนหน้านี้ท่านที่ปรึกษาสุยผู้เป็ใหญ่เกือบจะที่สุดในอันโจว จู่ๆ ก็ถูกจับกุม ท่านเ้าเมืองไม่สนใจความสัมพันธ์แต่เก่าก่อน พาลให้คนสนิทของท่านที่ปรึกษาก็โดนหางเลขไปด้วย
เื่นี้ถูกเล่าลือไปทั่วทั้งเมือง นอกเสียจากชาวบ้านรากหญ้าที่ต้องทุ่มเทหาเช้ากินค่ำ คนอื่นต่างทราบข่าวนี้กันหมด แน่นอนว่าทุกคนต่างเฝ้ารอดูว่าเื่นี้จะจบลงอย่างไร
ตอนที่พวกลู่เสี่ยวหมี่มาถึง ศาลาว่าการมีคนมาติดต่อไม่เยอะมากนัก อาลักษณ์ส่วนหนึ่งจึงนั่งดื่มชาแก้เบื่อ เห็นคนทั้งสองเดินเข้ามาก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ถามว่า “มีเื่อะไรหรือ?”
เสี่ยวหมี่ขมวดคิ้ว แต่เปรียบเทียบกับขุนนางบางที่ในยุคปัจจุบันนางก็พอจะปล่อยผ่านไปได้ จึงยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าท่านนี้ ข้าจะซื้อที่บนูเา รบกวนท่านช่วยจัดการให้หน่อยเ้าค่ะ”
“ูเา?”
เขายกมือขึ้นรินชาอีกถ้วย “ที่ไหน?”
“เขาเตี้ยสองลูกขนาบยอดเขาหมีเ้าค่ะ”
“หุบเขาหมี...หา!”
แรกเริ่มอาลักษณ์คนนั้นยังไม่สนใจเท่าใดนัก แต่เมื่อดึงสติกลับมาได้แล้วก็ต้องใเป็อย่างมาก มือที่ถือถ้วยชาร้อนๆ อยู่สั่นน้อยๆ น้ำชาหกรดผิวจนแดงเป็ปื้น
แต่เขากลับไม่มีอารมณ์ไปสนใจ เขาเอาแต่พิจารณาเสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “แม่นาง ท่านเป็คนสกุลลู่จากหุบเขาหมีหรือขอรับ..”
เสี่ยวหมี่พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนั้น นางพยักหน้า “ใช่แล้ว”
อาลักษณ์คนนั้นกลอกตาไปมา “เอ่อ...แม่นางลู่เชิญนั่งก่อนขอรับ เมื่อเช้าตรู่วันนี้เราเพิ่งได้รับโฉนดของูเาสองลูกนี้กลับมา ตอนนี้ทางเบื้องบนยังไม่มีคำสั่งใดลงมา เชิญแม่นางนั่งรอสักครู่ ข้าขออนุญาตไปถามดูก่อนนะขอรับ”
“ได้เ้าค่ะ ลำบากท่านแล้ว”
เมื่อเสี่ยวหมี่ตอบตกลง อาลักษณ์คนนั้นก็รีบวิ่งหายไปทันที เสี่ยวหมี่หันไปมองเฝิงเจี่ยน ถามเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่เฝิง ทำเช่นไรดีเ้าคะ”
“วางใจเถอะ ถ้าเ้าตั้งใจแน่วแน่แล้ว ใครก็มาขัดแข้งขัดขาเราไม่ได้” เฝิงเจี่ยนดึงแขนเสี่ยวหมี่ให้นั่งลง น้ำชาของอาลักษณ์คนนั้นยังร้อนอยู่ คนทั้งสองจึงไม่เกรงใจ ยกกาน้ำชาขึ้นมารินให้ตัวเอง พวกเขาออกเดินทางั้แ่เช้า ยามนี้จึงรู้สึกคอแห้งอยู่บ้าง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม พวกเขาทั้งสองดื่มชาจนหมด อาลักษณ์คนนั้นถึงกลับมา เหมือนเขาจะหวั่นเกรงเล็กน้อย ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “ท่านทั้งสอง คือว่า...ท่านเ้าเมืองเชิญให้เข้าพบขอรับ”
เสี่ยวหมี่ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกอย่างที่เขาคาดไว้ นางลุกขึ้นยืน “ได้เ้าค่ะ โปรดนำทางด้วย”
เฝิงเจี่ยนเองก็เดินตามอยู่เื้ั ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยพูดแม้แต่ประโยคเดียว แต่รัศมีที่แผ่ออกมาก็ทำให้อาลักษณ์คนนั้นรู้สึกสงสัยในสถานะของเขา รวมถึงสงสัยในความกล้าหาญผิดธรรมดาของเสี่ยวหมี่ด้วย พวกชาวบ้านกล้าหาญกันขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร นั่นท่านเ้าเมืองเชียวนะ ยามปกติเวลาพบเจอล้วนต้องคุกเข่าทำความเคารพ แต่เหตุใดสองคนนี้ไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด
มิน่าเล่าถึงว่ากันว่าคนบนหุบเขาหมีล้วนป่าเถื่อน ยามนี้ดูแล้วไม่เพียงป่าเถื่อน แต่ยังโง่นิดหน่อยด้วย...
เรือนหลังของศาลาว่าการใหญ่กว่าที่เสี่ยวหมี่คิดไว้มาก ูเาจำลองกลางสวนดอกไม้สร้างอย่างใหญ่โตหรูหราเกินคาด ราวกับเรือนหลังของตระกูลใหญ่ๆ สักตระกูลก็ไม่ปาน
จ้าวจื้อเกากำลังจิบน้ำชาครุ่นคิด ร่างกายของเขาที่ถูกสุรากัดกร่อนอยู่ทุกวันอวบอ้วน ใต้ตาดำคล้ำ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา เขาหรี่ตาน้อยๆ เงยหน้ามอง
เสี่ยวหมี่นั่นเขาไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ดูแล้วเหมือนแม่นางน้อยที่ได้รับการทะนุถนอมมาเป็อย่างดี แววตาดูเฉลียวฉลาด แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างเฝิงเจี่ยนนั่นต่างหากที่ทำให้เขาขนลุก
เขาไม่เหมือนอาลักษณ์พวกนั้น เขาเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาั้แ่เด็ก สถานะของเฝิงเจี่ยนต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เขาลองค้นพื้นที่ในสมองดูแล้วก็หาไม่เจอเลยว่ามีคุณชายตระกูลสูงศักดิ์คนใดที่หน้าตาเหมือนคนตรงหน้า ดังนั้นจึงวางแก้วชาลง ยิ้มน้อยๆ “ท่านทั้งสองเชิญนั่ง”
เดิมทีเสี่ยวหมี่ยังลังเลอยู่ว่าควรจะคุกเข่าโขกศีรษะหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็เป็แค่ชาวบ้านธรรมดา เมื่อพบขุนนางก็ควรคุกเข่าอยู่แล้ว แต่คำสอนที่นางได้รับมาจากโลกก่อนคือที่เข่านั้นมีทองคำ เพราะฉะนั้นนางจึงไม่ค่อยอยากให้ ‘ทองคำ’ ของนางััพื้นสักเท่าไร
พอดีได้ยินจ้าวจื้อเกากล่าวเช่นนี้ นางจึงยอบกายคารวะน้อยๆ ส่วนเฝิงเจี่ยนนั้นแค่ประสานมือคารวะอย่างลวกๆ แล้วลากเสี่ยวหมี่ให้นั่งลง
ท่าทางเช่นนี้ไม่ได้ทำให้จ้างจื้อเกาโมโห แต่กลับทำให้เขาต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น
“ได้ยินว่าทั้งสองท่านอยากจะซื้อที่บนูเาหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ใต้เท้า ก่อนหน้านี้ที่จริงข้าได้วางมัดจำไปก่อนแล้ว แต่ถูกคนแย่งไป ยามนี้ได้ยินว่าใต้เท้าช่วยขจัดภัยร้ายให้ชาวบ้าน จับคนชั่วนั่นไปแล้ว ข้าและพี่ชายจึงเข้าเมืองมาดูว่าจะซื้อูเาสองลูกนั้นได้หรือไม่”
เสี่ยวหมี่เห็นว่าเฝิงเจี่ยนไม่มีท่าทีจะเอ่ยปาก จึงเป็ฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
จ้าวจื้อเกากลอกตาไปมา เขาลูบเคราของตัวเองที่มีสีหมอกแซมเป็หย่อมๆ แล้วยิ้มออกมา “แม่นางชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ร่างกายของข้าไม่ใคร่จะแข็งแรง ยามปกติเื่ราวน้อยใหญ่ก็เอาแต่พึ่งพาที่ปรึกษา คิดไม่ถึงว่าเ้าคนชั่วนั่นจะอาศัยชื่อของข้าไปทำชั่วกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน คนที่แย่งซื้อที่ดินบนูเาของแม่นางไปก็คือตัวที่ปรึกษาสุยนั่นเอง แม่นางลู่ฟ้องร้องได้เต็มที่ วันหน้าเมื่อถึงยามตัดสินโทษ ข้าจะคืนความยุติธรรมให้แม่นางแน่นอน”
“ใต้เท้าว่าอะไรนะเ้าคะ” เสี่ยวหมี่มีสีหน้าสงสัย ถามกลับว่า “คนที่แย่งซื้อที่กับข้าไม่ใช่คุณชายตู้หรอกหรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็ที่ปรึกษาสุยไปได้ คนที่บุกไปข่มขู่เราถึงหุบเขาหมีก็คือคุณชายตู้เช่นกัน”
“เอ่อ” จ้าวจื้อเกาแปลกใจเล็กน้อย เขาหรี่ตาพิจารณาเสี่ยวหมี่แต่กลับไม่พบเห็นความผิดปกติจากใบหน้านางแม้แต่น้อย
แม่นางคนนี้ไม่รู้จริงๆ หรือกำลังแกล้งโง่กันแน่
“ตู้โหย่วไฉเป็หลานชายของที่ปรึกษาสุย หากไม่มีที่ปรึกษาสุยคอยชี้นำอยู่เื้ั แน่นอนว่าตู้โหย่วไฉย่อมไม่กล้าออกไปรังแกประชาชนเช่นนั้น แม่นางลู่ เ้าเข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวหมี่ส่ายหน้า ยืนยันว่า “บิดาข้าบอกไว้ว่าเชื่อได้แต่สิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น เป็ตู้โหย่วไฉที่มาสร้างความวุ่นวายที่บ้านข้า ข้าไม่เห็นที่ปรึกษาสุยติดตามอยู่เื้ัเลยนี่นา ดังนั้น ใต้เท้าก็ฟังคำจากเ้าทุกข์เถิด พวกเราสกุลลู่ไม่ได้ถูกที่ปรึกษาสุยรังแก มีแต่ตู้โหย่วไฉผู้เดียวที่กระทำชั่ว”
“เื่นี้...” จ้าวจื้อเกาขมวดคิ้ว ตอนที่ยังคิดจะพูดอะไรต่ออีกนั้น เฝิงเจี่ยนกลับกวาดสายตาเ็ามามองเขา เขาจึงกลืนคำที่จะพูดกลับลงไปทันที
เสี่ยวหมี่เอ่ยถามว่า “ใต้เท้า ยามนีู้เาสองลูกในหุบเขาหมีได้กลับมาอยู่ในมือของทางการแล้วใช่หรือไม่? ข้าสามารถซื้อมันได้แล้วใช่หรือไม่?”
“หา เื่นี้หรือ?” จ้าวจื้อเกาลังเลเล็กน้อย เขาคิดจะกดข่มแม่นางน้อยตรงหน้าอีกสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงผู้ตรวจการมณฑลที่ยามนี้ยังไม่ได้พบหน้า สุดท้ายก็ตอบว่า “แน่นอน”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณใต้เท้ามาก คนที่บ้านข้ายามนี้คงชะเง้อคอรอแล้ว ข้าจะจ่ายเงิน ฝั่งท่านก็เตรียมโฉนดเลยเถอะ”
เสี่ยวหมี่ยืนขึ้น ยอบกายคารวะอีกครั้ง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด แต่เมื่อเดินออกจากห้องมาแล้ว กลับเอนกายไปหาเฝิงเจี่ยน “พี่ใหญ่เฝิง ข้าใหมดเลย เมื่อครู่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้