ตอนที่ 56 ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกฉงนใจกับการวางค่ายกลยิ่งนัก ทว่าฟังจากน้ำเสียงที่รู้สึกเสียดายของท่านอาจารย์ไฮ๋หยวน ก็ทราบได้ทันทีว่าท่านอาจารย์คงซื่อได้จากไปแล้ว
“พระชายาหกคงอยากพิสูจน์เกี่ยวกับเสียงเตือนอันแปลกประหลาดนี้ใช่หรือไม่?” ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนถามขึ้นอีกครั้ง
“มิใช่” มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า แอบคิดในใจว่าหากเสียงเตือนภัยเป็ของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ตัวนางคงต้องย้อนยุคมาเป็พันปีแล้ว และเพื่อหลีกเลี่ยงการคาดเดาต่าง ๆ นานาของผู้คน จึงต้องทำตัวไม่ทราบที่มาที่ไป
ฉู่ลี่ได้ฟังมู่อวิ๋นจิ่นตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่น ดวงตาที่จับจ้องคู่นั้นก็ค่อย ๆ นิ่งสงบลง
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนััได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของฉู่ลี่ จึงชำเลืองมองและเอ่ยขึ้น “องค์ชายหก…”
“กลับจวน!”
หลังเดินออกจากห้องกลไก มู่อวิ๋นจิ่นรับรู้ถึงความกดดันบางอย่างในตัวของฉู่ลี่ที่แผ่ซ่านออกมา ด้านติงเซี่ยนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว
มู่อวิ๋นจิ่นปรายตามองฉู่ลี่ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเดินกลับมาถึงรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่นั่งติดหน้าต่างชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติตลอดทาง ขณะที่ในหัวมีเสียงเตือนภัยนั้นดังอยู่ในโสตประสาทเกือบตลอดเวลา
จากคำพูดของพวกเขาที่ว่าค่ายกลนั้นมีความยาก มิอาจเอาชนะได้ คงมาจากเสียงกลไกเตือนภัย เช่นนั้นค่ายกลทำขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
มู่อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดก่อนจะนึกถึงภาพห้องกลไกที่โอ่อ่ากว้างขวางไม่มีสิ่งใดขวางกั้น แต่หลังจากท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนโยนไข่มุกไม่กี่เม็ดไป เสียงก็ดังขึ้นทันที
หรือนี่มันคือ…
มู่อวิ๋นจิ่นแทบไม่อยากจะเชื่อว่านางย้อนยุคมาหลายพันปี แต่ยังสามารถเห็นเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันที่ตนเองจากมาได้
เช่นนั้น ท่านอาจารย์คงซื่อผู้นั้นเป็ใครกันแน่?
หรือว่าเขามาจากยุคสมัยปัจจุบันเช่นเดียวกับนาง?
ภายในใจมู่อวิ๋นจิ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย พลางคิดในใจว่าอีกสองสามวันนางจะแอบกลับมาที่วัดอวิ๋นสุ่ยเพียงลำพังอีกรอบหนึ่ง
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งรถม้ามาจอดเทียบหน้าจวน ตะวันที่สาดแสงใกล้ลาลับขอบฟ้าจนหมดแล้ว
ฉู่ลี่เดินลงจากรถม้าเป็คนแรก แล้วเดินตรงเข้าจวนไป
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วมองฉู่ลี่จากด้านหลัง จื่อเซียงที่ยืนอยู่ข้างล่างได้ถามอย่างอดเสียมิได้ “คุณหนูทำให้องค์ชายหกโกรธเคืองอันใดหรือเ้าคะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” มู่อวิ๋นจิ่นเองก็พลันรู้สึกงงงวยกับท่าทีของฉู่ลี่
มู่อวิ๋นจิ่นลงจากรถม้าเดินกลับไปที่เรือนลี่เฉวียน โดยเห็นห้องที่อยู่ติดกันนั้นได้จุดไฟให้แสงสว่างขึ้นแล้ว
จากนั้นนางเดินเข้าเรือนแล้วปิดประตูลง ก่อนจะก้มตัวลงนอนบนเตียงอันอ่อนนุ่มและพึมพำ “จื่อเซียง เ้าเชื่อหรือไม่ว่าในโลกใบนี้ยังมีโลกอื่นอยู่อีก?”
“คุณหนู บ่าวไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูถามเ้าค่ะ” จื่อเซียงตอบอย่างคนที่ฟังไม่เข้าใจ
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่หัวเราะชอบใจ ยกมือดึงปิ่นที่เสียบผมออก ในที่สุดผมที่ถูกเกล้าจนแน่นมาทั้งวันก็สามารถปล่อยได้แล้ว นางบริหาร่คออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปพูดกับจื่อเซียงต่อ “ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าอาบน้ำที”
…
ต่อจากนั้นมามู่อวิ๋นจิ่นก็เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนเกือบทุกวันจนครบเวลาหนึ่งเดือน
อีกทั้งภายในตลอดเวลาหนึ่งเดือนมานี้ นางไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของฉู่ลี่แม้แต่ครั้งเดียว จนบางคืนที่ตื่นขึ้นมากลางดึกก็มักจะเผลอชำเลืองมองห้องที่อยู่เยื้องกันอยู่บ่อย ๆ
ทว่าทุกครั้งที่มองไป ภายในห้องก็เต็มไปด้วยความมืดมิดที่ปกคลุม ดูก็ทราบได้ทันทีว่าไม่มีคนอยู่
มู่อวิ๋นจิ่นเองก็ี้เีรู้เื่ว่าฉู่ลี่ไปที่ไหนทำสิ่งใด อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ใช่สามีภรรยากันอย่างแท้จริง ไม่ช้าเร็วก็ต้องเลิกรากันอยู่ดี
“คุณหนู เมื่อครู่ในวังหลวงมีคนมาแจ้ง เชิญองค์ชายหกและคุณหนูเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงค่ำคืนนี้” จื่อเซียงเดินเข้ามาในห้องแจ้งให้มู่อวิ๋นจิ่นทราบ
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักไปชั่วครู่ “ฉู่ลี่ไม่อยู่ที่จวน ข้าขอไม่ไปร่วมงานคนเดียวได้หรือไม่?”
“คุณหนู อย่างนี้อาจไม่ค่อยดี คุณหนูกับองค์ชายหกเพิ่งออกเรือนกันไม่นาน องค์ชายหกไม่อยู่ในจวน คุณหนูก็ควรเป็ตัวแทนองค์ชายหกเข้าร่วมงานเลี้ยงถึงจะถูกต้อง” จื่อเซียงอธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นทำได้ได้พยักหน้าอย่างแก้ไขอะไรไม่ได้
เมื่อใกล้เวลาแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นที่แต่งตัวอย่างเรียบง่ายกำลังเดินออกจากเรือนลี่เฉวียน ก็บังเอิญพบกับแม่นมเสิ่นพอดิบพอดี
แม่นมเสิ่นหันมาทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น พลางเอ่ยปากขึ้นว่า “ไม่เห็นองค์ชายมาหลายวันแล้ว มิทราบว่าพระชายาทราบหรือไม่ว่าองค์ชายหกไปที่ใด?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าก็มิทราบเช่นกัน”
ด้านแม่นมเสิ่นแสดงความแปลกใจออกมาทางสายตา แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของฉู่ลี่ในยามปกติก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ค่ำคืนนี้บ่าวจะเดินทางเข้าวังหลวงไปพร้อมกับพระชายาเ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นเอ่ยขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นมองว่าแม่นมเสิ่นเป็เพียงคนที่ถูกองค์ชายหกปล่อยให้ดูแลจวน ก็คงเป็แม่นมเก่าแก่ที่จัดการเื่ทั่ว ๆ ไป หากแม่นมผู้นี้อยากไปด้วยก็ปล่อยให้ไปแล้วกัน
…
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินทางไปถึงวังหลวง แม่นมเสิ่นได้นำทางนางเดินไปที่พระที่นั่งฉิงฮวน
ระหว่างที่เดินผ่านสวนดอกไม้อวี่ฮวา บังเอิญพบเข้ากับเจิ้งไทเฮาที่มีแม่นมหยางประคองเดิน ด้านหลังมีนางกำนัลและขันทีเดินตามมาเป็ขบวน
ข้างกายของเจิ้งไทเฮามีสตรีที่หน้าตางดงามสองคนพูดคุยอยู่อย่างยิ้มแย้ม
เจิ้งไทเฮาที่เดินมาเห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็พลันหยุดฝีเท้าลง ส่งสายตาที่ไม่ค่อยสบอารมณ์และเอ่ยขึ้นอย่างเสียดสีว่า “โอ้ ดูสิ นี่ชายาขององค์ชายหกมิใช่หรอกหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นที่ได้ยินเสียงเจิ้งไทเฮาดังขึ้นมา ก็แอบด่าในใจว่า “ซวยแล้ว” แต่ต้องแสร้งทำเป็เคารพนอบน้อม “คารวะไทเฮาเพคะ”
“ชายาองค์ชายหกเอ่ยเช่นนี้ไม่ดูห่างเหินไปหน่อยหรือ? อายเจียเป็ไทเฮา องค์ชายหกยังเรียกว่าเสด็จย่า เ้าก็ควรเรียกอายเจียว่าเสด็จย่าเช่นกัน” เจิ้งไทเฮาตั้งใจค่อนขอดเพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับของมู่อวิ๋นจิ่น
“ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี อวิ๋นจิ่นก็ต้องเรียกตามองค์ชายหกเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยชื่อฉู่ลี่ขึ้นมาอ้าง
สีพระพักตร์ของเจิ้งไทเฮาแสดงไม่สู้ดี สตรีที่หน้าตาสะสวยข้างกาย เมื่อเห็นสีหน้าเจิ้งไทเฮาถอดสี จึงรีบพูดขึ้นมา
“เหอะ ออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี แต่ทำไมเปิ่นกงได้ยินมาว่า องค์ชายหกแทบไม่ได้อยู่ในจวนตลอดทั้งเดือน น่าสงสารเหลือเกินที่เพิ่งออกเรือนแล้วต้องเป็หม้ายนอนเฝ้าห้องหอที่ว่างเปล่า” สตรีผู้นั้นยกมือขึ้นปิดปากที่ยิ้มกว้าง ส่งสายตาหยามเหยียดให้มู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อสตรีคนแรกพูดจบ สตรีอีกคนก็ไม่รอช้า รับ่ต่อทันที “พี่ลี่เฟยพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ในวัยนี้องค์ชายหกอยู่ใน่อารมณ์พุ่งพล่าน มีหรือจะยอมอยู่กับสตรีคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวเล่า”
“น้องหว่านเฟยก็พูดไปเรื่อย เดิมทีงานแต่งในครั้งนี้ถูกฉินไท่เฟยบังคับ ต่างฝ่ายต่างไม่เต็มใจ มีหรือที่องค์ชายหกจะยอมเฝ้าแต่ชายาคนเดียวของเขา” ลี่เฟยพูดต่อ
เจิ้งไทเฮามองลี่เฟยกับหว่านเฟยด้วยสายตาชื่นชม ภายในวังหลวงพวกนางทั้งสองมีฝีปากดั่งอาวุธที่เชือดเฉือนคนฟังมากที่สุด
มู่อวิ๋นจิ่นไม่สะทกสะท้านคำพูดพวกนั้นแต่อย่างใด ทว่าอาภรณ์ของพวกนางทั้งสองกับความหยิ่งยะโส ดูแล้วก็น่าชังไม่น้อย
“สิ่งที่ลี่เฟยกับหว่านเฟยพูดออกมานั้น หากไม่บอกอวิ๋นจิ่นคิดว่าพวกท่านทั้งสองแอบอยู่ใต้เตียงเสียอีก” มู่อวิ๋นจิ่นพูดพลางปรายตามองพวกนางทั้งสองคน
สีหน้าลี่เฟยกับหว่านเฟยบูดบึ้งลงทันที กระนั้นลี่เฟยรีบสวนกลับมู่อวิ๋นจิ่นอย่างทันควัน “แต่เปิ่นกงเอาความจริงมาพูดทั้งนั้นมิใช่หรอกหรือ?”
“หากไม่ใช่เพราะฉิ่นไท่เฟยกับภรรยาอัครเสนาบดีมู่ที่เคยให้สัญญากันไว้ ตำแหน่งชายาองค์ชายหกไม่มีทางเป็ของเ้า รู้หรือไม่?” ลี่เฟยเห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่พูดไม่จาจึงคิดว่านางเกิดเกรงกลัว ยิ่งพูด คำพูดนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จื่อเซียงที่ยืนฟังลี่เฟยพูดเช่นนั้น ก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่ด้วยฐานะที่ต่ำต้อยจึงไม่อาจโต้กลับได้
เมื่อมองสีหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นอย่างพินิจ กลับมิอาจคาดเดาความรู้สึกภายในใจของนางได้
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ มู่อวิ๋นจิ่นก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง “หากอวิ๋นจิ่นจำไม่ผิดละก็ ดูเหมือนองค์ชายหกเดินไปขอพระราชงานสมรสจากฝ่าา”
“พวกท่านก็ทราบดีว่า องค์ชายหกผู้นั้น นอกเสียจากจะยอมทำอย่างเต็มใจแล้ว ใครก็มิอาจบังคับได้ทั้งนั้น”
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นสวนกลับอย่างนิ่มนวล ก็เผยยิ้มมุมปากขึ้น ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้และย่อตัวแสดงความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป
ลี่เฟยยืนเดือดดาลอยู่ที่เดิม เมื่อถูกมู่อวิ๋นจิ่นตอกหน้ากลับมา นางจึงหันไปเอ่ยกับไทเฮาอย่างไม่ชอบใจ “ไท่เฮากล่าวไว้ไม่มีผิด มู่อวิ๋นจิ่นผู้นี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ”
“เชอะ รอไปอีกสามเดือนแล้วกันกว่าองค์ชายหกจะกลับมา ดูสิถึงตอนนั้นนางจะฝีปากกล้าได้ถึงเมื่อไหร่เชียว” เจิ้งไทเฮาแสยะยิ้ม ดวงตาฉายแววแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ต่อมู่อวิ๋นจิ่นออกมา
หลังจากเดินออกมาไกลพอสมควรแล้ว เเม่นมเสิ่นได้หันมองมู่อวิ๋นจิ่นอย่างห่วงใย “พระชายาหกมิควรเอ่ยกับลี่เฟยและหว่านเฟยเช่นนั้นเลย พวกนางทั้งสองเป็ที่โปรดปรานที่สุดของฝ่าาในเวลานี้เ้าค่ะ”
“ช่างหัวพวกนางไปเถอะ จะให้ข้ายืนแน่นิ่งเป็คนบ้าใบ้ ข้าทำไม่ได้หรอก” มู่อวิ๋นจิ่นเดินนวยนาด ในมือถือผ้าเช็ดหน้ากวัดแกว่งไปมา
แม่นมเสิ่นมิอาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ “นิสัยของพระชายาที่เอากลับซึ่งหน้า ช่างเหมือนองค์ชายหกเหลือเกินเ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับสงสัยหันไปถามแม่นมเสิ่น “แม่นมอยู่รับใช้ข้างกายองค์ชายหกมานานแค่ไหนแล้ว?”
“สิบปีกว่าเห็นจะได้เ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นตอบ
“สิบกว่าปีมานี้ องค์ชายมักจะหายตัวไปอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยเช่นนี้บ่อยใช่หรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถาม
แม่นมเสิ่นเม้มปาก ยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาแทน “เื่นี้บ่าวมิอาจเอ่ยปากออกมาได้ ไม่สู้พระชายารอถามองค์ชายด้วยตัวเองเถอะเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจ ช่างเป็คนที่ฉู่ลี่สั่งสอนมาเป็อย่างดีเสียจริง
เมื่อเดินกันมาจนถึงพระที่นั่งฉิงฮวนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นบังเอิญพบเข้ากับฉินไท่เฟยพอดิบพอดี พอพระนางเห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“จิ่นเอ๋อร์”
พอคิด ๆ ดูท่าทางของเจิ้งไทเฮาเมื่อครู่ เทียบกับท่าทางยิ้มแแย้มของฉินไท่เฟยในตอนนี้ ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิบ มู่อวิ๋นจิ่นจึงยิ้มตอบในทันที “คารวะฉินไท่เฟย”
“ดี ดีจริง” ฉินไท่เฟยเอ่ยอย่างยินดี จากนั้นมองไปรอบๆ และเอ่ยถามขึ้น “ลี่เอ๋อร์ล่ะ?”
“องค์ชายมีเื่ที่ต้องไปสะสาง สองสามวันนี้ไม่อยู่ที่จวนเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นตอบเสียงเรียบ
ฉินไท่เฟยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นจับมือมู่อวิ๋นจิ่นพาเดินเข้าไปในพระที่นั่งฉิงฮวน
ทันทีที่เดินผ่านเข้าประตูไป มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงสายตาจากรอบทิศจับจ้องมาที่นางเป็สายตาเดียวกัน นางเห็นฉู่ชิงและพวกนั่งอยู่ด้านในเป็ที่เรียบร้อย แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจมากที่สุดคือ มู่อวิ๋นหานกลับอยู่ที่นี่ด้วย
“พี่ชายของเ้าเพิ่งเป็หัวหน้าทหาร เป็ที่วางพระทัยอย่างมาก วันนี้ฝ่าาจึงตั้งใจเชิญเขามาด้วย” ฉินไท่เฟยเข้าใจความรู้สึกประหลาดใจของมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่พยักหน้ารับ
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นใส่อาภรณ์สีเงินเดินเข้ามาในตำหนักลี่เฉวียน มู่อวิ๋นหานที่เห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาหา
“อวิ๋นจิ่น เ้าไปอยู่ในจวนขององค์ชายหกดูเหมือนมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย” มู่อวิ๋นหานอมยิ้ม
มู่อวิ๋นจิ่นรีบลูบคลำใบหน้า เนื้อตัว แขนทั้งสองข้าง ก่อนจะพูดสัพยอกกลับมู่อวิ๋นหาน “นี่เป็งานเลี้ยงของบรรดาราชวงศ์ ฝ่าาเชิญท่านพี่มาดูท่าจะต้องมีเื่แอบแฝงเป็แน่แท้”
มู่อวิ๋นหานหน้าแดงในทันที พร้อมรีบห้ามปรามมู่อวิ๋นจิ่นในทันใด “อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อย”
เมื่อเห็นพี่ชายแสดงท่าทางเขินอายทำตัวไม่ถูก มู่อวิ๋นจิ่นก็ยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นหัวเราะ “หากต้องเลือกสักคนหนึ่งจริง ๆ ขึ้นมาละก็ พี่เลือกองค์หญิงเก้าแล้วกัน นางเป็คนน่ารัก น้องคงไม่รังเกียจที่จะเรียกนางว่าพี่สะใภ้ใหญ่หรอกนะ”